หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 166 การสารภาพรักที่ปัญญาอ่อนที่สุดในประวัติศาสตร์ (1)
“องค์ชายเก้าได้รับบาดเจ็บ” อู๋ซินเงียบไปพักหนึ่งถึงเอ่ยเสียงขรึมออกมา
“บาดเจ็บแล้วจะเข้าห้องผู้หญิงก็ได้ตามใจชอบอย่างนั้นหรือ ไม่สนล่ะ ข้าจะเข้าไปอยู่เป็นเพื่อนคุณหนู!” อิ๋งเอ๋อร์เอ่ยพลางถลึงตาจับจ้องอู๋ซิน อู๋ซินเบี่ยงตัวให้แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “ถ้าเจ้าอยากตายก็เข้าไป”
อิ๋งเอ๋อร์สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อยเอ่ยเสียงขรึมว่า “เจ้าหมายความว่าเช่นใด”
อู๋ซินปรับสีหน้าเล็กน้อยแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “องค์ชายกับคุณหนูไม่เหมือนกัน ต่อให้เป็นคนข้างกายขององค์ชาย แต่หากเข้าไปยั่วโมโหองค์ชายก็คงมีแต่ตายไม่มีรอด” ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าเป็นคนนอกอีกต่างหาก แต่…บางทีอาจจะเห็นแก่หน้าคุณหนู องค์ชายอาจจะปราณีอยู่บ้างกระมัง อู๋ซินลูบไล้รอยแผลเลือดซึมข้างแก้มแล้วลอบขบคิดอยู่ในใจ
เวลานี้อิ๋งเอ๋อร์ถึงเห็นรอยแผลจางๆ บนใบหน้าข้างซ้ายของอู๋ซิน ดูจากปากแผลแล้วเห็นได้ชัดว่าเพิ่งโดนมาหมาดๆ “นี่…นี่เป็นฝีมือขององค์ชายเก้าอย่างนั้นหรือ”
อิ๋งเอ๋อร์ย่อมรู้ภูมิหลังของอู๋ซินอยู่แล้ว จากนั้นนางก็ยิ่งเป็นห่วงความปลอดภัยของคุณหนูมากกว่าเดิมเลยกัดฟันกล่าว “ไม่ได้การล่ะ ข้าต้องเข้าไปดูสักหน่อยแล้ว” แม้แต่ลูกน้องตนยังทำได้ลงคอ ใครจะไปรู้ว่าองค์ชายเก้าจะทำร้ายคุณหนูหรือไม่เล่า
อู๋ซินดึงนางไว้แล้วเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “องค์ชายไม่ทำร้ายคุณหนูหรอก”
“เจ้ารู้ได้เช่นไร”
อู๋ซินเงียบไปโดยไม่พูดอะไร พวกเขาสองคนจ้องตากันอยู่นาน ในที่สุดอิ๋งเอ๋อร์ก็ทนไม่ไหวนั่งลงกุมขมับร้องโอดครวญ นางเองก็กลัวตายนี่นา ใครจะรู้บ้างว่าความจริงแล้วนางกลัวองค์ชายเก้าผู้ใบหน้าหล่อเหลาที่มักทำตัวเฮฮาเริงร่านั่นจะตายไป! แต่ศักดิ์ศรีของคุณหนูจะทำเช่นไรดีเล่า
“ฮือ…ท่านพ่อ คุณชายใหญ่ อิ๋งเอ๋อร์รู้สึกผิดต่อพวกท่านนัก…คุณหนู…ชื่อเสียงอันบริสุทธิ์ของคุณหนูจะทำเช่นไรดีเล่า”
อู๋ซินมองอิ๋งเอ๋อร์ที่นั่งร้องไห้คร่ำครวญอยู่บนพื้นไม่หยุดโดยไม่พูดอะไร ถึงแม้เขาอยากจะบอกนางว่าไม่ต้องไปกังวลเรื่องชื่อเสียงความบริสุทธิ์ของคุณหนูอะไรนั่นหรอก เพราะคนที่องค์ชายถูกใจถึงอย่างไรก็แต่งงานออกเรือนกับคนอื่นไม่ได้อยู่แล้ว
“ไปพักผ่อนเถิด” อู๋ซินกล่าว
อิ๋งเอ๋อร์จับจ้องไปทางห้องของมู่ชิงอีอย่างเคียดแค้นแวบหนึ่งแล้วกัดฟันเอ่ยว่า “ข้าจะอยู่เฝ้าที่นี่รอจนกว่าคุณหนูจะออกมาในวันพรุ่งนี้!”
เฝ้าอยู่ตรงนี้แล้วมีความหมายอะไร แววตาเคร่งขรึมของอู๋ซินตั้งคำถามขึ้นมา
อิ๋งเอ๋อร์กวาดตามองอู๋ซินตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าทีหนึ่ง ฉับพลันก็ยิ้มเย้ยหยันกล่าว “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดคุณหนูถึงเห็นเจ้าเป็นคนนอก” อู๋ซินเงียบไป ความจริงคุณหนูดีกับเขามาก แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากลับสังเกตได้ง่ายดายนัก อู๋ซินรู้แก่ใจดีว่าในใจของคุณหนูเขาไม่ได้ถูกรักใคร่เหมือนจูเอ๋อร์และยิ่งไม่มีความเชื่อใจให้อย่างอิ๋งเอ๋อร์เลย เขาเป็นเพียงองครักษ์ที่มีหรือไม่มีก็ได้เท่านั้น
อิ๋งเอ๋อร์เอ่ยเสียงเรียบ “เพราะในใจของเจ้าก็ไม่เคยเห็นคุณหนูเป็นดั่งเจ้านายเลย หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ…เจ้ายังแยกแยะไม่ได้ว่าใครกันแน่ที่เจ้าควรภักดีด้วยถึงจะถูกกระมัง”
อู๋ซินเงียบไป
อิ๋งเอ๋อร์มองเขาแล้วกล่าว “ถึงแม้เจ้าจะเป็นคนที่องค์ชายเก้ายกให้คุณหนู แต่…ถ้าเจ้ายังแยกแยะไม่ได้ว่าตัวเจ้าเองควรมีใจรักภักดีต่อใครล่ะก็ สู้เจ้าร้องขอให้องค์ชายเก้าพาเจ้ากลับไปเสียยังดีกว่า ถึงอย่างไรคุณหนูก็ไม่มีทางใช้งานเจ้าหรอก คุณหนูของพวกเราไม่ได้ขาดคนอย่างเจ้าหรอกนะ”
“……”
ผ่านไปนานอู๋ซินถึงกล่าวออกมาว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”
ยามรุ่งอรุณมู่ชิงอีค่อยๆ เปิดเปลือกตาตื่นขึ้นมา จากนั้นก็ค้นพบว่าตนยังถูกหรงจิ่นรั้งอยู่ในอ้อมอก บางทีอาจเป็นเพราะสภาพร่างกาย ร่างกายของหรงจิ่นเย็นเหมือนกับมือของเขาราวกับทำเช่นใดก็ไม่มีทางอุ่นได้อย่างไรอย่างนั้น มู่ชิงอีค้นพบบางอย่างที่น่าสงสัย เมื่อคืนตนนอนหลับยาวจนถึงเช้าเลยหรือ เพราะนี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลยนับตั้งแต่นางเกิดใหม่ ตั้งแต่นางเป็นมู่ชิงอีนางมักจะชินกับการนอนดึกตื่นเช้าเพราะตอนกลางคืนนางหลับไม่ค่อยสนิทและมักจะสะดุ้งตื่นตอนกลางดึกอยู่บ่อยๆ และหลับๆ ตื่นๆ เช่นนั้นไม่ได้หยุดหย่อน
หรงจิ่นยังไม่ตื่น แสงอรุณเจิดจ้าสาดทะลุผ่านกระดาษแผ่นบางบนบานหน้าต่างลายตาข่ายส่องเข้ามาที่พื้นและโต๊ะในห้อง มู่ชิงอีหันไปมองหรงจิ่นที่ยังคงหลับสนิทอยู่เช่นเคย ใบหน้างดงามสะกดใจเวลานี้ดูสงบราวกับเด็กไร้เดียงสาคนหนึ่งก็มิปาน
เดิมทีนางยังนึกขุ่นเคืองเขาอยู่ แต่ครั้นได้เห็นใบหน้าเช่นนี้กลับทำให้นางโกรธไม่ลงแล้ว มู่ชิงอีเลยทำได้เพียงถอนหายใจแล้วค่อยๆ ย้ายตัวออกมาจากอ้อมอกของหรงจิ่นอย่างระมัดระวังลุกขึ้นแล้วลงจากเตียงไป นางหันไปมองใครบางคนที่นอนหลับพริ้มอยู่บนเตียงแวบหนึ่ง จากนั้นก็ดึงผ้าผืนบางบนเตียงห่มให้เขาแล้วถึงหมุนตัวเดินออกไป
ในห้องหนังสือ มู่ชิงอีเลิกคิ้วมองใบหน้าหงิกงอของอู๋ซินและอิ๋งเอ๋อร์ตรงหน้าแล้วเอ่ยถามว่า “เป็นอันใดไปหรือ”
ใบหน้าเรียวงามของอิ๋งเอ๋อร์อดทำสีหน้าบูดบึ้งไม่ได้ ในที่สุดก็เอ่ยถามเสียงงึมงำว่า “คุณหนู…คือว่า…องค์ชายเก้า…องค์ชายเก้า” มู่ชิงอีเอ่ย “เขาน่าจะไม่เป็นอะไรแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก”
อิ๋งเอ๋อร์ทำสีหน้าลำบากใจไปชั่วขณะ ข้ากำลังเป็นห่วงว่าเขาจะเป็นอะไรหรือไม่อย่างนั้นหรือ ข้าเป็นห่วงว่าเขาได้ทำอะไรคุณหนูหรือเปล่าต่างหาก!
ครั้นเห็นสีหน้าเช่นนั้นของอิ๋งเอ๋อร์ มู่ชิงอีก็ปิดปากหัวเราะอย่างเหนื่อยหน่ายส่ายศีรษะแล้วกล่าว “เลิกคิดอะไรเพ้อเจ้อได้แล้ว ในจวนมีเรื่องอันใดหรือไม่”
“เรื่องอันใดอย่างนั้นหรือเจ้าคะ” อิ๋งเอ๋อร์รู้สึกงงงันอยู่ครู่หนึ่งถึงเข้าใจ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยท่าทีตื่นตกใจว่า “เกิดเรื่องขึ้นแล้วนี่นา! คุณหนู เมื่อคืนคุณชายรองไม่ได้กลับมาจากในวังเจ้าค่ะ”
“ท่านพ่อกลับไปตามแล้วไม่ใช่หรือ ตามหาไม่เจอ?” มู่ชิงอีเอ่ยถาม
อิ๋งเอ๋อร์อดทับถมมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นไม่ได้ “ก็เพราะหาไม่เจออย่างไรล่ะเจ้าคะ หากหาตัวเจอคงไม่เป็นเรื่องหรอกเจ้าค่ะ วันนี้ตอนเช้าตรู่ท่านโหวก็ส่งคนออกไปตามหาแล้ว เกรงว่าตอนนี้คงพลิกเมืองหลวงหาแล้วล่ะเจ้าค่ะ คุณหนู…คุณหนูว่าเหตุใดอยู่ดีๆ คุณชายรองถึงหายตัวไปได้หรือเจ้าคะ” อีกทั้งยังหายตัวไปจากวังอีก น่าแปลกมากจริงๆ
อิ๋งเอ๋อร์และจูเอ๋อร์ไม่ได้ตามมู่ชิงอีไปที่สวนดอกไม้ย่อมไม่รู้เรื่องที่นางเจอกับมู่หลิงอยู่แล้ว มู่ชิงอีเองก็ไม่คิดจะบอกใครเลยเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “ใครจะไปรู้เล่า แล้วยังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่”
“แล้วก็…” อิ๋งเอ๋อร์มองมู่ชิงอีแวบหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “เมื่อคืน…จูหมิงเยียนจวิ้นจู่ของจวนผิงหนานอ๋องฆ่าตัวตายแล้วเจ้าค่ะ”
มู่ชิงอีชะงักไปแล้วเอ่ยพลางขมวดคิ้วน้อยๆ ว่า “นางไม่เหมือนคนจะฆ่าตัวตายได้เลยนี่นา เมื่อคืน…มีใครไปเจอนางหรือเปล่า” อิ๋งเอ๋อร์เอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าค่ะ…คุณชายใหญ่เจ้าค่ะ” อิ๋งเอ๋อร์มองมู่ชิงอีอย่างเป็นกังวล ถึงแม้ตอนนี้พวกเขาจะเป็นบ่าวรับใช้ของคุณหนูและจงรักภักดีกับคุณหนู แต่ถึงอย่างไรตอนแรกพวกเขาก็เป็นคนของตระกูลกู้ ถึงแม้คุณหนูกับคุณชายใหญ่จะมีความสัมพันธ์ที่ดีสนิทสนมกัน แต่พวกเขาก็ไม่มั่นใจว่าคุณหนูจะนึกโกรธหรือไม่
ครั้นเห็นอิ๋งเอ๋อร์มีสีหน้าเคร่งเครียด มู่ชิงอีก็ยิ้มเอ่ย “ก็ไม่ได้เป็นคนสำคัญอะไร พี่ใหญ่อยากฆ่าก็ฆ่าไปเถิด เจ้าจะทำสีหน้าเคร่งเครียดไปทำไมกัน” อิ๋งเอ๋อร์ถอนหายใจออกมาทันทีแล้วก้มหน้าอย่างรู้สึกผิด หากระหว่างเจ้านายคนเก่ากับเจ้านายคนใหม่เกิดข้อบาดหมางอะไรกันคงทำให้คนภายใต้อาณัติรู้สึกลำบากใจไปด้วยอยู่แล้ว ถึงแม้เมื่อวานนางจะเยาะเย้ยว่าอู๋ซินอยู่กับเจ้านายคนใหม่แต่ยังไม่ลืมเจ้านายคนเก่า แต่ความรู้สึกของคนเราบทจะตัดก็ตัดได้ง่ายๆ ขนาดนั้นเชียวหรือ ที่คุณหนูไม่คิดเล็กคิดน้อยก็เพราะความสัมพันธ์ที่คุณหนูมีต่อคุณชายใหญ่ลึกซึ้งกว่าองค์ชายเก้า
“อิ๋งเอ๋อร์ผิดไปแล้ว โปรดคุณหนูให้อภัยด้วยเจ้าค่ะ”
มู่ชิงอียิ้มบางแล้วเอ่ยคาดโทษนางเสียงเบาว่า “หากเจ้ายังพูดมากอีกจะลงโทษเจ้าแล้วจริงๆ ไปดูสิว่าหรงจิ่นเป็นเช่นไรบ้างแล้ว”