หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 174 คำขอร้องของอานซีจวิ้นอ๋อง (1)
มู่ชิงอีชะงักไป จากนั้นก็นึกถึงคำพูดของหย่งจยาจวิ้นจู่ที่เคยพูดข้างหูตนเลยอดร้องโอดครวญไม่ได้ว่า “ข้าขอไม่เจอพวกเขาได้หรือไม่” อิ๋งเอ๋อร์ปิดปากแอบหัวเราะ นางติดตามรับใช้คุณหนูมาตั้งนานไม่ยักเห็นคุณหนูกลัวใครมาก่อนเลย
“คุณหนูไม่เจอพวกเขาย่อมได้อยู่แล้ว ในเมื่อคุณหนูเป็นถึงองค์หญิงใช่ว่าใครอยากเจอก็ต้องได้เจอเสียหน่อย แต่…บ่าวรู้สึกว่าต่อให้ครั้งนี้คุณหนูไม่ไปเจอ แม่นางเชียนหลิงก็ไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆ หรอกเจ้าค่ะ” ใช่แล้ว เพราะเชียนหลิงเป็นคนอยากเจอมู่ชิงอีมิใช่เว่ยอู๋จี้สักหน่อย ถึงแม้เว่ยอู๋จี้จะตามมาด้วยก็จริง แต่มู่ชิงอีรู้ดีว่าเว่ยอู๋จี้ไม่มีทางมาหานางถึงจวนเองเช่นนี้ เพราะถึงอย่างไรนางก็มีตำแหน่งเป็นองค์หญิงคนหนึ่ง
มู่ชิงอีโบกมือแล้วเอ่ยอย่างจนใจว่า “ช่างเถิด ให้พวกเขาเข้ามา”
ไม่นานเว่ยอู๋จี้ก็จูงมือเชียนหลิงเดินเข้ามาพร้อมกัน บุรุษหล่อเหลาเหนือใคร ส่วนสตรีอ่อนโยนดั่งสายนที นับว่าเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยกทีเดียว
“เว่ยอู๋จี้ถวายบังคมองค์หญิงหมิงเจ๋อพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยอู๋จี้ประสานมือพร้อมเอ่ยทำความเคารพ
มู่ชิงอีอมยิ้มน้อยๆ แล้วกล่าว “เชิญคุณชายเว่ยกับแม่นางเชียนหลิงนั่งลงก่อนเถิด”
เว่ยอู๋จี้ประคองตัวเชียนหลิงนั่งลงบนเก้าอี้รับแขก มู่ชิงอีเอ่ยโดยไม่หันไปมองเชียนหลิงสักนิดแต่กลับเอ่ยถามเว่ยอู๋จี้ด้วยท่าทีสงบว่า “ไม่รู้ว่าคุณชายเว่ยมีเรื่องอันใดถึงมาหาข้าหรือ”
เชียนหลิงขบริมฝีปากเบาๆ แล้วเงยหน้ามองเว่ยอู๋จี้เอ่ย “อู๋จี้ ข้าอยากสนทนากับองค์หญิงเป็นการส่วนตัวได้หรือไม่” เว่ยอู๋จี้ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพยักหน้าเตรียมตัวลุกเดินออกไป มู่ชิงอีกลับไม่คิดจะให้เขาออกไปไหน ก่อนที่เว่ยอู๋จี้จะลุกขึ้นนางก็ชิงเอ่ยขัดขึ้นว่า “คุณชายเว่ยนั่งอยู่ที่นี่ดีแล้ว แม่นางเชียนหลิงมีเรื่องอันใดก็กล่าวออกมาตรงๆ เถิด คิดว่า…ความสัมพันธ์ของชิงอีและแม่นางเชียนหลิงคงไม่ได้สนิทสนมถึงขั้นมีหัวข้อสนทนาใดที่คุณชายฟังไม่ได้หรอกกระมัง”
เชียนหลิงอดตะลึงงันไม่ได้เพราะคิดไม่ถึงว่ามู่ชิงอีจะไม่ให้เกียรตินางขนาดนี้ จากนั้นก็จับจ้องมู่ชิงอีแล้วกล่าวขึ้นว่า “เชียนหลิงแค่อยาก…คุยเรื่องผู้หญิงๆ กับองค์หญิงเท่านั้น อู๋จี้นั่งฟังอยู่ด้วยคงไม่ดีนัก องค์หญิง…รังเกียจเชียนหลิงอย่างนั้นหรือเพคะ…”
มู่ชิงอีตัดสินใจแล้วว่าต่อให้นางจะเข้าใจเชียนหลิงผิดแต่นางก็จะไม่ยอมผูกมิตรใดๆ กับหญิงผู้นี้แน่นอน คนที่มีนิสัยกระทำการต่างๆ เช่นนี้นางรับมือด้วยไม่ไหวจริงๆ หากกลายเป็นสหายกันคงมิต้องมานั่งอดทนกันทุกวันเลยหรือ เช่นนี้สู้เป็นศัตรูกันไปเลยโต้งๆ ดีกว่า
“เปล่า แม่นางเชียนหลิงเข้าใจผิดแล้ว แต่ว่า…ความสนิทสนมของชิงอีกับแม่นางเชียนหลิงคงไม่ได้ลึกซึ้งถึงขั้นพูดคุยเรื่องส่วนตัวกันได้ แม่นางเชียนหลิงอย่ามองชิงอีสูงไปนักเลย” มู่ชิงอีกล่าวเสียงหวาน
“อู๋จี้…” เชียนหลิงมองเว่ยอู๋จี้น้ำตาคลอเบ้าพลางเอ่ยเสียงเบา
เว่ยอู๋จี้สีหน้าขรึมลงเล็กน้อย เขามองมู่ชิงอีพร้อมเอ่ยขึ้นว่า “องค์หญิง หลิงเอ๋อร์เพิ่งมาเมืองหลวงเป็นครั้งแรกเลยไม่ค่อยคุ้นชินเท่าไรนัก นางอยากผูกมิตรหาสหายบ้าง หากมีจุดใดที่เสียมารยาทไป โปรดองค์หญิงเห็นแก่หน้าข้าอย่าถือโทษใดๆ เลย”
รอยยิ้มบนใบหน้าของมู่ชิงอีค่อยๆ จางลงแล้วมองเว่ยอู๋จี้ด้วยสายตาเย้ยหยันกล่าว “คุณชายเว่ยพูดเกินไปแล้ว ชิงอีเพียงแต่นึกถึง…คำเตือนของสหายคนสนิทผู้หนึ่งขึ้นได้และข้าก็คิดว่ามันถูกต้องเช่นกัน ดังนั้นข้าเลยรู้สึกลึกๆ ว่าหากพูดคุยกันเป็นการส่วนตัวเกรงว่าจะไม่เหมาะสมสักเท่าไร”
เห็นได้ชัดว่าเว่ยอู๋จี้รู้สึกเหนือคาดอยู่บ้างจึงเอ่ยขึ้นว่า “ไม่รู้ว่าคำเตือนเช่นใดถึงทำให้องค์หญิงหมิงเจ๋อระวังตัวถึงเพียงนี้หรือ”
มู่ชิงอียิ้มพรายแล้วลอกเลียนแบบน้ำเสียงของหย่งจยาจวิ้นจู่ “หากเจ้าคุยด้วยอยู่ดีๆ แล้วกระอักเลือดขึ้นมาจะทำเช่นไรเล่า เว่ยอู๋จี้ต้องโทษว่าเราทำให้นางกระอักเลือดแน่ แล้วถ้าเกิดจู่ๆ นางเกิดเป็นลมขึ้นมาจะทำเช่นไร คนอื่นต้องนึกว่าเรารังแกนางแน่นอน” นางลอกเลียนน้ำเสียงและท่าทางของหย่งจยาจวิ้นจู่เหมือนจริงมากจนอิ๋งเอ๋อร์และจูเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ด้านหลังแอบเอามือปิดปากกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่
“หมิงเจ๋อ…องค์หญิงหมิงเจ๋อ ท่าน…หม่อมฉัน…” สีหน้าของเชียนหลิงเดือดดาลสุดขีด มองดูแล้วท่าทางใกล้เป็นลมได้ทุกเมื่อจริงๆ มู่ชิงอีเอ่ยขึ้นอย่างเอือมระอาว่า “แม่นางเชียนหลิงคงไม่ได้คิดว่าจะเป็นลมไปตอนนี้หรอกกระมัง หรือว่า…เมื่อก่อนเคยคุยกับใครแล้วกระอักเลือดเป็นลมล้มพับไปจริงๆ หรือ”
ครั้นถูกพูดถากถางแดกดันอย่างไร้ความปรานีเช่นนี้ เชียนหลิงก็อยากจะเป็นลมล้มไปเดี๋ยวนี้เลยจริงๆ แต่ตอนนี้นางจะเป็นลมล้มไปไม่ได้ มิเช่นนั้นจะเป็นดั่งคำพูดที่มู่ชิงอีกล่าวไว้ หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปนางคงไม่ต้องคิดจะผูกมิตรสร้างปฏิสัมพันธ์กับใครในแคว้นหวาแล้ว เพราะลำพังแค่คิดจะเข้าแวดวงสังคมของพวกฮูหยินคุณหนูในแคว้นหวาก็คงเป็นไปได้ยาก
“เชียนหลิงรู้ตัวว่ามาจากตระกูลต้อยต่ำ องค์หญิงหมิงเจ๋อดูแคลนเชียนหลิงยังพอช่างมันได้ แต่เหตุใดต้อง…ด่าทอทำร้ายกันเช่นนี้ด้วย เชียนหลิงเพียงแค่อยากผูกมิตรกับองค์หญิงเท่านั้นเอง” เชียนหลิงเอ่ยเสียงเบาอย่างปวดใจ
มู่ชิงอีลอบกลอกตามองขึ้นข้างบนใส่ไปที คิดจะผูกมิตรกับตนแต่ดันทำร้ายตนคืนวันงานเลี้ยงอย่างนั้นหรือ ครั้นมู่ชิงอีเหลือบเห็นเว่ยอู๋จี้ที่นั่งอยู่ด้านข้างไม่มีปฏิกิริยาใดจึงฉีกยิ้มจอมปลอมที่เห็นได้ยากพร้อมเอ่ย “แม่นางเชียนหลิงกล่าวเกินไปแล้ว ไม่ใช่ว่าข้าไม่รู้ถึงเจตนาดีแต่นิสัยของเราเข้ากันไม่ได้จริงๆ เกรงว่าคงเป็นสหายกันไม่ได้ ในฐานะที่แม่นางเชียนหลิงเป็นถึงคู่หมั้นของคุณชายเว่ย หากกล่าวถึงสถานะแล้วคิดว่าคนทั่วทั้งเมืองหลวงอยากผูกมิตรกับแม่นางจะตายไป” ดังนั้นเจ้าเลิกตามตอแยข้าสักที จะรีบไปไหนก็ไปซะ
เว่ยอู๋จี้เอ่ยเสียงขรึมว่า “เชียนหลิงอยากผูกมิตรด้วยจากใจจริง เหตุใดองค์หญิงถึงปฏิเสธผลักไสนางเช่นนี้เล่า”
มู่ชิงอีสูดหายใจเข้าลึกเฮือกใหญ่แล้วมองเว่ยอู๋จี้พลางเอ่ยเสียงเรียบว่า “คุณชายเว่ยกล่าวเช่นนี้ หากชิงอีปฏิเสธอีกก็จะเป็นการไม่ให้เกียรติคุณชาย ในเมื่อเป็นเช่นนั้นในระหว่างที่คู่หมั้นของคุณชายพูดคุยกับข้าที่นี่คงไม่ได้กระอักเลือด หมดสติ ได้รับบาดเจ็บเพราะได้รับความกระทบกระเทือนทางอารมณ์หรือใดๆ ก็ตามจนเป็นเหตุให้ข้าโชคร้ายกลายเป็นคนที่ทำร้ายคู่หมั้นของเจ้าหรอกกระมัง”
“เชียนหลิงไม่ใช้ลูกไม้เช่นนี้แน่นอน” เว่ยอู๋จี้กล่าวอย่างไม่ชอบใจนัก
มู่ชิงอีพยักหน้าอย่างพึงพอใจเอ่ย “เช่นนั้นก็ดี อิ๋งเอ๋อร์ เจ้าพาคุณชายเว่ยออกไปดื่มชาที ข้าจะอยู่คุยเป็นเพื่อนแม่นางเชียนหลิง” มู่ชิงอีอมยิ้มกล่าว
“เจ้าค่ะคุณหนู คุณชายเว่ยเชิญทางนี้เจ้าค่ะ” อิ๋งเอ๋อร์เดินนำหน้าไปด้วยท่วงท่างดงามแล้วเอ่ยอย่างนอบน้อม
เว่ยอู๋จี้ลุกขึ้นหันไปมองเชียนหลิงแวบหนึ่ง เชียนหลิงเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “อู๋จี้ออกไปก่อนเถิด ข้าจะพูดคุยดีๆ กับองค์หญิงแน่นอน”
อิ๋งเอ๋อร์ที่ออกไปส่งเว่ยอู๋จี้ หันกลับมามองเชียนหลิงแวบหนึ่งพลางยิ้มตาหยี เจ้าภาวนาให้คุณหนูยอมคุยกับเจ้าดีๆ ก่อนเถอะ
ภายในห้องรับรองแขกที่เงียบสงบ มู่ชิงอีถือหนังสือไว้ในมือเล่มหนึ่งพลางเปิดอ่านด้วยท่วงท่าสบายๆ จูเอ๋อร์ที่อยู่ด้านหลังคอยดูแลรับใช้รินชาใส่แก้วให้คุณหนูที่อยู่ตรงหน้าเป็นระยะๆ อย่างนอบน้อม ส่วนเวลาอื่นก็ยืนอยู่ด้านหลังมู่ชิงอีดั่งรูปปั้นไม้แกะสลักอย่างพินอบพิเทาราวกับไม่เห็นว่าภายในห้องรับแขกยังมีแขกอีกคนที่ถูกมองข้ามไป
เชียนหลิงที่เดิมทีผุดรอยยิ้มราวกับผู้ชนะที่มุมปากกลับค่อยๆ หุบยิ้มลงแล้วทำสีหน้าบึ้งตึงท่ามกลางความเงียบนี้ ตอนแรกนางยังพอนั่งทนดื่มชาเป็นเพื่อนมู่ชิงอีได้โดยไม่มีใครเปิดบทสนทนาก่อน ข้างกายมู่ชิงอีมีบ่าวรับใช้คอยยืนรินชาให้โดยเฉพาะแต่เห็นได้ชัดว่ามู่ชิงอีไม่ได้อยากดื่มชาจริงๆ เพราะนางเอาแต่จดจ่ออยู่กับหนังสือเล่มนั้นในมือของนางมากกว่า เพียงยกชาขึ้นจิบบ้างเป็นครั้งคราว ครั้นชาในแก้วตรงหน้าเชียนหลิงหมดแล้วแต่ชาในแก้วของมู่ชิงอียังเต็มอยู่ บ่าวรับใช้ที่ยืนอยู่ด้านหลังของมู่ชิงอีกลับไม่สนใจอะไรและไม่คิดจะเดินมารินชาให้แขกเลยด้วยซ้ำ