หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 176 คำขอร้องของอานซีจวิ้นอ๋อง (3)
เชียนหลิงปรากฏแววตาเย็นเยียบไม่พอใจผุดขึ้นมา “ขอบพระทัยในคำชี้แนะขององค์หญิงเพคะ” ความจริงนางก็มีสิทธิ์ที่จะไม่พอใจ หากเป็นเหล่าบุตรสาวจากตระกูลสูงศักดิ์ทั่วไปนางคงรับมือสำเร็จนานแล้ว วันนั้นแค่เจอกันแวบเดียวก็จัดการองค์หญิงหมิงฮุ่ยจนได้รับโทษหนักไปแล้ว หลังจบงานองค์หญิงหมิงฮุ่ยถูกฮ่องเต้แคว้นหวาตำหนิอย่างหนักไปยกหนึ่ง อีกทั้งตอนนี้ยังถูกห้ามมิให้เข้าวังหลวงอีกด้วย คนที่ทำให้เชียนหลิงรู้สึกว่าเป็นเสี้ยนหนามอย่างแท้จริงก็คือมู่ชิงอีที่จิตใจหนักแน่นและหย่งจยาจวิ้นจู่ที่แสดงท่าทีน่ายำเกรงไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้สองคนนี้ต่างหาก ส่วนบุคลิกการวางตัวอย่างบุตรสาวในตระกูลผู้ดีที่มู่ชิงอีกล่าวถึงนั้นเชียนหลิงกลับไม่สนใจเลยสักนิด ในเมื่อเดิมทีนางก็ไม่ใช่บุตรสาวจากตระกูลผู้ดีอะไรอยู่แล้ว หากเทียบกับการวางตัวแล้วยังสู้การบ่มเพาะเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็กไม่ได้ด้วยซ้ำ ยิ่งไปกว่านั้นภาพลักษณ์รูปโฉมของนางก็มิได้โดดเด่นอยู่แล้ว หากตนวางตัวดั่งหญิงสาวผู้ดีตามคุณสมบัติกุลสตรีเช่นนั้นล่ะก็ นางจะแตกต่างกับสตรีน่าเบื่อเหล่านั้นได้อย่างไร กระทั่งนางอาจสู้คนเหล่านั้นไม่ได้ด้วยซ้ำ
“องค์หญิงหมิงเจ๋อ! ชิงอี!” ด้านนอกมีเสียงเริงร่าของหย่งจยาจวิ้นจู่ดังแว่วเข้ามา มู่ชิงอีเลิกคิ้ว ในที่สุดใบหน้าไร้อารมณ์แน่นิ่งมาตลอดก็ผุดรอยยิ้มบางๆ ขึ้นมา
ยังไม่ทันลุกขึ้น หญิงสาวในชุดสีแดงดั่งเพลิงไฟก็ชิงพุ่งพรวดเข้ามาหาก่อนแล้ว “ชิงอี!”
อิ๋งเอ๋อร์เองก็เดินตามหลังมาเช่นกัน พลางเหลือบมองหย่งจยาจวิ้นจู่อย่างไม่พอใจ จวิ้นจู่ผู้นี้จะกระตือรือร้นเกินไปแล้ว แม้แต่จะให้เวลาเข้ามารายงานคุณหนูสักหน่อยก็ยังไม่มีด้วยซ้ำ มู่ชิงอีลุกขึ้นพลางอมยิ้มกล่าว “หย่งจยาจวิ้นจู่มาได้อย่างไรหรือ”
หย่งจยาจวิ้นจู่เอ่ยอย่างไม่ชอบใจนัก “คุยกันไว้แล้วมิใช่หรือ เรียกข้าว่าปิงเอ๋อร์ก็พอแล้ว ข้ามาเยี่ยมเจ้าอย่างไรเล่า…เอ๊ะ เหตุใดว่าที่ภรรยาคุณชายเว่ยถึงมาอยู่ที่นี่ได้” เชียนหลิงใบหน้าแดงระเรื่อขัดเขินไปชั่วขณะ มู่ชิงอียิ้มกล่าว “นี่คือแม่นางเชียนหลิง”
หย่งจยาจวิ้นจู่มองค้อนใส่นางไปทีโดยสื่อว่า ‘ก็ความหมายเดียวกันมิใช่หรือไร’ เห็นได้ชัดมากว่าหย่งจยาจวิ้นจู่จำคำเตือนของท่านพี่สิบเอ็ดได้อย่างขึ้นใจทีเดียว อีกทั้งยังคิดเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าสำหรับสตรีที่ขี้ระแวงจนพานคิดว่าจะมีคนมาแย่งคู่หมั้นของตัวเองได้ทุกเมื่ออย่างเชียนหลิงเหมาะสมกับคำเรียกนี้จะตายไป
“คารวะหย่งจยาจวิ้นจู่” เชียนหลิงพยายามเค้นรอยยิ้มออกมา
หย่งจยาจวิ้นจู่โบกมือให้อย่างไม่ใส่ใจแล้วเดินอ้อมเชียนหลิงมายื่นข้างกายมู่ชิงอี จากนั้นก็คล้องแขนมู่ชิงอีข้างหนึ่งอย่างสนิทสนมเอ่ยขึ้นว่า “ชิงอี พวกเราไปเดินเที่ยวเล่นกันดีไหม ในแคว้นหวามีของน่าสนใจมากมายที่ข้ายังไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”
มู่ชิงอีคลี่ยิ้มบางกล่าว “ได้ยินว่าเลี่ยอ๋องบาดเจ็บมิใช่หรือ เหตุใดเจ้าถึงยังมีกะจิตกะใจไปเที่ยวเล่นได้เล่า”
หย่งจยาจวิ้นจู่ยู่ปากเอ่ย “พี่สิบเอ็ดบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น ชิงอีก็รู้ว่าพี่สิบเอ็ดบาดเจ็บด้วยหรือ แล้วเหตุใดถึงไม่ไปเยี่ยมพี่สิบเอ็ดเล่า…อีกอย่าง แล้วเหตุใดถึงไม่ไปหาข้าที่สถานทูตเล่า” มู่ชิงอีมองใส่หญิงสาวอย่างเอือมระอาไปทีหนึ่งที่ยังไม่เลิกจับคู่ให้นางกับเกอซูฮั่นอีก จากนั้นก็ยิ้มบางกล่าว “สถานทูตเป็นสถานที่ที่มีการคุ้มกันหนาแน่น ข้าจะไปตามอำเภอใจได้อย่างไรกัน ฝ่าบาททรงพระราชทานยารักษาแผลและอาหารบำรุงชั้นดีมาให้ เดี๋ยวเจ้านำกลับไปให้เลี่ยอ๋องด้วยเลย เลี่ยอ๋องช่วยข้ามามากนัก ถือว่าเป็นการตอบแทนน้ำใจก็แล้วกัน” นางรู้สึกผิดต่อเกอซูฮั่นอยู่บ้าง ถึงแม้บาดแผลจะไม่ได้สาหัสอะไรแต่ก็นับว่าโดนทำร้ายโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรเลย
ครั้นเห็นมู่ชิงอีมีใจหนักแน่นไม่ไหวติง หย่งจยาจวิ้นจู่ก็นึกผิดหวังเล็กน้อยแต่ไม่นานก็ปล่อยวางได้ จากนั้นก็ดึงแขนมู่ชิงอีด้วยท่าทีตื่นเต้นพลางเอ่ย “ชิงอี เจ้ารู้หรือไม่ว่าคืนนั้นข้าได้เจอใคร”
มู่ชิงอีย่อมรู้อยู่แล้วแต่กลับให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีโดยเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มว่า “เจอใครมาหรือ”
“คุณชายอวิ๋นอิ่น” หย่งจยาจวิ้นจู่กล่าว “คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่ามาแคว้นหวาจะได้เจอคุณชายอวิ๋นอิ่นด้วย! ไม่สิๆ…แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยได้ยินว่าคุณชายอวิ๋นอิ่นปรากฎตัวในแคว้นหวามาก่อน คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าคุณชายอวิ๋นอิ่นจะมาแคว้นหวา!”
แม่หนูเอ๋ย เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเขาปรารถนาที่จะสังหารพี่สิบเอ็ดของเจ้า?
มู่ชิงอีหันมาแล้วเอ่ยถามอย่างประหลาดใจว่า “คุณชายอวิ๋นอิ่นมีชื่อเสียงมากหรือ” อย่างน้อยหลายปีมานี้นอกจากไท่สื่อเหิงเคยเปรยชื่ออวิ๋นอิ่นให้นางฟังแล้ว มู่ชิงอีก็ไม่เคยได้ยินคนอื่นพูดถึงชื่อนี้เลยสักคน
“องค์หญิงไม่รู้จักหรือ คุณชายอวิ๋นอิ่นอาจจะไม่ได้มีชื่อเสียงในแคว้นหวามากนัก แต่บางแห่งในแคว้นเย่ว์และแคว้นเป่ยฮั่นกลับชื่อเสียงเลื่องลือมากเชียวล่ะ” หย่งจยาจวิ้นจู่ยังไม่ทันเปิดปาก จู่ๆ เชียนหลิงที่หาจังหวะแทรกบทสนทนาไม่ได้สักทีก็โพล่งขึ้นมาจากด้านข้าง
หย่งจยาจวิ้นจู่ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจที่จู่ๆ เชียนหลิงก็พูดแทรกขึ้นมาเลยดึงตัวมู่ชิงอีมาแล้วกล่าวต่อ “บัดนี้นับว่าคุณชายอวิ๋นอิ่นเป็นยอดฝีมือที่ลึกลับที่สุดในใต้หล้าแล้วล่ะ”
“ยอดฝีมือลึกลับหรือ” มู่ชิงอีนึกว่ายอดฝีมือที่ลึกลับที่สุดในใต้หล้าน่าจะเป็นเว่ยอู๋จี้มากกว่ากระมัง อย่างน้อยยังมีคนรู้บ้างว่าอวิ๋นอิ่นเป็นยอดฝีมือ แต่ในขณะเดียวกันจะมีสักกี่คนที่รู้ว่าเว่ยอู๋จี้เป็นยอดฝีมือเช่นกัน ทว่า…คนที่เก็บเงียบไม่เผยบอกใครอย่างคุณชายเว่ย...กลับชวนให้รู้สึกแปลกใจไม่น้อยจริงๆ
“ใช่แล้ว เจ้าไม่รู้คำเล่าลือที่กล่าวถึงใบหน้าอันงดงามและฝีมือวิทยายุทธ์อันแกร่งกล้าของคุณชายอวิ๋นอิ่นเลยสิท่า…ก่อนหน้านี้พี่สิบเอ็ดยังบอกว่าไม่เคยเจอคุณชายอวิ๋นอิ่นมาก่อนเลยไม่แน่ใจว่าตนจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้หรือเปล่า” หย่งจยาจวิ้นจู่เลื่อมใสคุณชายอวิ๋นอิ่นที่ฟาดฟันพี่สิบเอ็ดของตน ทั้งยังเอ่ยคุณงามความดีของคุณชายอวิ๋นอิ่นให้มู่ชิงอีฟังยาวเหยียด
คุณชายอวิ๋นอิ่นชื่อเสียงโด่งดังเพราะศึกชายแดนเมืองเล็กๆ ระหว่างแคว้นเป่ยฮั่นและแคว้นเย่ว์เมื่อห้าปีก่อน ว่ากันว่าเมืองเล็กๆ นั้นเป็นแหล่งกบดานโจรป่าที่โด่งดังสมคำร่ำลือ ในเมืองเล็กๆ นั้นนอกจากผู้หญิงและบ่าวไพร่ที่ถูกโจรป่าชิงตัวมาแล้ว ไม่ว่าชายหรือหญิงต่างก็เป็นโจรป่ากันทั้งนั้น อีกทั้งในบรรดาโจรป่าไม่กี่คน ยังมีคนที่มีฝีมือเป็นอันดับต้นๆ ของยุทธจักรอีกด้วย ถึงอย่างไรเสียระหว่างสองแคว้นอย่างแคว้นเย่ว์และแคว้นเป่ยฮั่นก็ไม่มีใครกล้าหาเรื่องด้วยอยู่แล้ว อยู่ดีๆ วันหนึ่งคุณชายอวิ๋นอิ่นในชุดสีดำพร้อมสวมหน้ากากลายริ้วเมฆสีดำทองบนใบหน้าก็ปรากฏตัวขึ้นในเมืองเล็กๆ นี้ แต่ใช้เวลาเพียงครู่เดียวก็จัดการสังหารเหล่าโจรป่าจนราบเป็นหน้ากลอง
หลังจากนั้นทุกครั้งที่คุณชายอวิ๋นอิ่นปรากฎตัวก็มักพกกลิ่นคาวเลือดมาด้วยเสมอ แต่เพราะคนส่วนใหญ่ที่คุณชายอวิ๋นอิ่นสังหารมักเป็นผู้ต้องโทษร้ายแรง ถึงแม้เขาจะสังหารคนมามากมาย แต่ชื่อเสียงในหมู่ราษฎรระหว่างแคว้นเย่ว์และแคว้นหวากลับไม่ได้เสื่อมเสียแต่อย่างใดเลย อีกทั้งสำหรับสาวน้อยที่เลื่อมใสในวีรบุรุษมาตั้งแต่เด็กอย่างหย่งจยาจวิ้นจู่ นอกจากพี่สิบเอ็ดแล้วนางก็เลื่อมใสบุคคลอย่างคุณชายอวิ๋นอิ่นและคงมากกว่าเสียอีก
มู่ชิงอีลองคำนวณอายุของหรงจิ่นดู ความจริงปีนี้หรงจิ่นอายุเพียงยี่สิบหรืออาจจะไม่ถึงยี่สิบดีด้วยซ้ำ เมื่อห้าปีก่อนเขาอายุแค่สิบห้าปีเท่านั้น อายุแค่นี้สามารถกวาดล้างโจรป่าทั่วทั้งเมืองเล็กๆ โดยลำพังได้เลยหรือนี่ ถึงแม้หย่งจยาจวิ้นจู่จะเล่าด้วยอารมณ์ดุเดือดแต่มู่ชิงอีก็พอจะจินตนาการความโหดเหี้ยมในตอนนั้นได้
“ตกลงแล้วระหว่างเลี่ยอ๋องกับคุณชายอวิ๋นอิ่นใครเก่งกว่ากันหรือ” ครั้นเห็นหย่งจยาจวิ้นจู่ยังเคลิ้มไม่หาย มู่ชิงอีเลยเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม หย่งจยาจวิ้นจู่เอียงศีรษะพลางไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นถึงเอ่ยอย่างลังเลว่า “น่าจะ…สูสีกันกระมัง ถึงแม้พี่สิบเอ็ดจะบาดเจ็บไปบ้าง แต่เขาบอกว่าคุณชายอวิ๋นอิ่นเองก็บาดเจ็บภายในเหมือนกัน แต่เขาสงสัยว่าคุณชายอวิ๋นอิ่นน่าจะมีแผลบนร่างกายอยู่แล้ว เดิมทีหมัดนั้นไม่น่าจะโดนเขาได้ แต่เพราะจู่ๆ คุณชายอวิ๋นอิ่นนิ่งไปถึงได้รับบาดเจ็บ”
มู่ชิงอียิ้มบางเอ่ย “เลี่ยอ๋องช่างเป็นสุภาพบุรุษจริงๆ” แม้แต่เรื่องแบบนี้ยังเอ่ยออกมาอย่างเปิดเผยจนชวนให้ใครๆ ต่างเข้าใจว่าเกอซูฮั่นสู้คุณชายอวิ๋นอิ่นไม่ได้ แต่ดูท่าทางเกอซูฮั่นกลับไม่สนใจคำร่ำลือเกินจริงนั้นเลย
หย่งจยาจวิ้นจู่เองก็พยักหน้าด้วยความภูมิใจอย่างเป็นเกียรติ “แน่นอนอยู่แล้ว”