หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 181 ยอมรับตัวตน เนี่ยอวิ๋นผู้โชคร้าย (3)
มู่ชิงอีปิดปากยิ้มกล่าว “ในตอนนั้นหัวหน้าที่ปรึกษาขององค์รัชทายาทสามารถยื่นมือเข้าไปช่วยองค์ชายเจ็ดได้ องค์ชายเจ็ดย่อมรู้สึกซึ้งใจไม่น้อยอยู่แล้ว” ด้วยนิสัยแก่นแท้ของมู่หรงจ้าวเป็นคนโอหังเย่อหยิ่ง เช่นนั้นย่อมจัดการเขาง่ายกว่าบรรดาองค์ชายคนอื่นๆ อยู่มากโข เพียงแต่เขามีท่านตาที่รับมือด้วยยากอยู่คนหนึ่ง อีกอย่างคนแบบนี้ไม่มีทางฟังคำเตือนของคนรอบข้างแน่นอน มู่ชิงอีเองก็ไม่ได้มีเวลาเหลือเฟือมานั่งสั่งสอนเขา ดังนั้นถึงได้เลือกมู่หรงเสีย แต่ถ้าเป็นพี่ใหญ่ล่ะก็ คิดว่าคงมีวิธีจัดการทำให้มู่หรงจ้าวเชื่อใจได้แน่
“แต่…คนในเมืองหลวงนั้นรู้จักพี่ใหญ่อยู่ไม่น้อย” มู่ชิงอีเอ่ยอย่างกังวล
กู้ซิ่วถิงยิ้มบางกล่าว “ไม่ต้องกังวลไป พี่มีวิธีอยู่แล้ว เรื่องนี้…ก็ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์เลยเสียทีเดียวมิใช่หรือ” เขายกมือลูบไล้รอยแผลเก่าน่ากลัวทางด้านล่างฝั่งซ้ายของใบหน้าอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าหล่อเหลาคู่กับรอยแผลน่ากลัวขับให้คนที่เดิมทีหน้าตาสะอาดสะอ้านหมดจดกลับแผ่ไอสังหารออกมามากกว่าเดิม
“พี่ใหญ่ต้องระวังตัวให้มากนะเจ้าคะ”
กู้ซิ่วถิงพยักหน้าพลางจับจ้องมู่ชิงอีแน่นิ่งแล้วเอ่ยเสียงนุ่มนวลว่า “เกอเอ๋อร์ หากเจ้าคิดจะเอาคืนมู่หรงอวี้กับจวนผิงหนานจวิ้นอ๋องเฉยๆ คงไม่วุ่นวายขนาดนี้ เกอเอ๋อร์ปรารถนาจะ…ทำลายแคว้นหวาอย่างนั้นหรือ”
มู่ชิงอีชะงักไป ขบริมฝีปากเบาๆ พลางมองกู้ซิ่วถิงอย่างดื้อรั้น
กู้ซิ่วถิงจับคางเรียวเล็กของนางไว้อย่างเบามือ จากนั้นก็ใช้แรงเล็กน้อยเพื่อให้นางเลิกขบริมฝีปากของตนเอง เอ่ยอย่างรักใคร่ว่า “เด็กโง่ ไม่ว่าเจ้าอยากทำสิ่งใดย่อมได้ทั้งนั้น ต่อให้จะเป็นการ…ทำลายแคว้นหวาก็ตาม”
มู่ชิงอีหลับตาลงแล้วเอ่ย “ข้าไม่ได้อยากทำลายแคว้นหวา แต่ข้าอยากทำลายทุกคนในตระกูลมู่หรง! ยกเว้นลูกพี่ลูกน้องชายของเรา…” นางไม่สนว่าคนพวกนี้จะบริสุทธิ์หรือไม่ ทุกค่ำคืนในห้วงนิทรานางรู้สึกราวกับตนกำลังถูกเพลิงไฟที่กำลังลุกโชนห้อมล้อมอยู่โดยไม่มีวันหนีหลุดพ้นออกไปได้ หากอำนาจกษัตริย์เป็นอาวุธที่มีไว้ใช้ทำร้ายครอบครัวของนางและทำร้ายนาง เช่นนั้นนางก็จะไม่สนใจหากต้องแก่งแย่งทุกอย่างจากมือของพวกเขามาเช่นกัน ตอนนั้น…ก็ไม่มีใครเคยถามว่าคนในตระกูลกู้มีความผิดหรือไม่มิใช่หรือ
“พี่ใหญ่รู้แล้ว” กู้ซิ่วถิงยังคงเป็นพี่ชายคนเดิมที่รักน้องสาวสุดหัวใจเช่นเคย เขาเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่ว่าเกอเอ๋อร์คิดจะทำสิ่งใด พี่ใหญ่ก็จะช่วยให้เจ้าทำสำเร็จเอง”
“คุณหนู” จู่ๆ อู๋ซินก็รีบพุ่งพรวดเข้ามาขัดเวลาแสดงความรักของสองพี่น้องอย่างมู่ชิงอีและกู้ซิ่วถิง ครั้นเห็นพวกเขาทั้งสองสนิทสนมกันเช่นนี้ อู๋ซินก็แอบอดเป็นกังวลแทนองค์ชายเก้าไม่ได้ ถึงแม้ระหว่างคุณหนูและคุณชายใหญ่กู้จะเรียกว่าเป็นพี่น้อง แต่ควรรู้ว่าลูกพี่ลูกน้องกันอะไรนี่ ความจริงก็คือ…อีกอย่างคนที่ชอบพาลไปทั่วอย่างองค์ชายเก้าด้วยแล้ว…
“มีเรื่องอันใดหรือ” ถึงแม้มู่ชิงอีจะยังไม่เชื่อใจอู๋ซินเต็มร้อย แต่ก็รู้ว่าเขาเป็นคนรู้กาลเทศะมากพอตัว หากไม่มีเรื่องสำคัญคงไม่มีทางโผล่มารบกวนพวกเขาในเวลาเช่นนี้แน่นอน
อู๋ซินเอ่ยเสียงขรึม “โหรวเฟยเรียกเข้าเฝ้าขอรับ”
“โหรวเฟยหรือ” มู่ชิงอีเลิกคิ้ว โหรวเฟยอดกลั้นต่อความโกรธได้เก่งไม่เบาเหมือนกัน เดิมทีนางคิดว่าวันต่อมาหลังจบงานเลี้ยงของฝ่าบาทคงเรียกนางเข้าเฝ้าเลยด้วยซ้ำ หรืออาจจะ…ไม่อยากเจอนางไปตราบชั่วชีวิตเลยก็ได้
มู่ชิงอีลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ย “ข้ารู้แล้ว จะไปประเดี๋ยวนี้”
อู๋ซินขอตัวลาอย่างนอบน้อม กู้ซิ่วถิงรู้ว่านางต้องไปแล้วและคงไม่อยากอยู่ต่อ เขาจึงเพียงกำชับเสียงเบาว่า “ต้องระวังตัวให้มาก”
มู่ชิงอีพยักหน้า “พี่ใหญ่วางใจได้เจ้าค่ะ”
ครั้นปรับอารมณ์เก็บของเตรียมตัวในเวลาอันเร่งรีบเสร็จ มู่ชิงอีก็พาจูเอ๋อร์และอิ๋งเอ๋อร์ติดตามเข้าวังไปอีกครั้ง หลังจากเข้าวังมาก็มุ่งหน้าไปพระตำหนักหวาหยางของโหรวเฟยทันที ทว่าคนที่รออยู่ที่นั่นไม่ได้มีเพียงโหรวเฟยคนเดียว อีกทั้งยังมีฮ่องเต้แคว้นหวาที่นั่งอยู่ตรงนั้นมาหลายชั่วยามแล้วเช่นกัน ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือฮ่องเต้แคว้นหวาจงใจรออยู่ก่อนแล้ว มู่ชิงอีก็รีบรุดหน้าเข้าไปทำความเคารพก่อน “ถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ ถวายบังคมโหรวเฟยเพคะ”
มู่เฟยหลวนยังไม่ทันได้พูดอะไร ฮ่องเต้แคว้นหวาก็คลี่ยิ้มตรัสเสียงดังว่า “รีบลุกขึ้นเถิด เจ้านี่นะ หลังวันงานเลี้ยงก็ไม่เข้าวังมาทักทายกันบ้าง ต้องให้เราสั่งคนเรียกเจ้าเข้าวังก่อนถึงจะมาอย่างนั้นหรือ”
มู่ชิงอีเลิกคิ้วอย่างเหนือความคาดหมาย นางเหลือบมองมู่เฟยหลวนที่นั่งยิ้มแห้งอยู่ข้างๆ แวบหนึ่ง ที่แท้ก็มิใช่มู่เฟยหลวนอยากพบตนอย่างนั้นหรือ มู่ชิงยิ้มกล่าว “ใช่ว่าหมิงเจ๋อจะไม่อยากมาทักทายฝ่าบาทในวัง แต่หม่อมฉันกลัวฝ่าบาทจะกำลังทรงกริ้วอยู่มากกว่าเพคะจ”
คิ้วทรงดาบของฮ่องเต้แคว้นหวาเลิกขึ้นเล็กน้อยแล้วตรัสด้วยรอยยิ้ม “เจ้าช่างใจกล้านัก คิดสิ่งใดก็กล้าพูดออกมาทั้งนั้น” หลายวันมานี้ใครๆ ต่างก็รู้ว่าเขาอารมณ์ไม่ดีแต่กลับไม่มีใครกล้าพูดออกมาต่อหน้าเขาเช่นนี้เลย ทุกคนล้วนแต่อยู่เป็นเพื่อนเขาหรือคอยพูดยกยอเขาอย่างระมัดระวัง ถึงแม้ฮ่องเต้แคว้นหวาจะชอบคนเยินยอสรรเสิรญ แต่หากคนข้างกายทุกคนล้วนมีแต่คนเยินยอ แต่ละคนเอาแต่เงียบไม่กล้าพูดอะไรแบบนี้ก็ออกจะน่าเบื่ออยู่บ้าง
ดวงตาสุกใสของมู่ชิงอีกลอกไปมา จากนั้นก็ยิ้มบางกล่าว “หมิงเจ๋อย่อมรู้อยู่แล้วว่าฝ่าบาททรงไม่พอพระทัย แต่ฝ่าบาทเป็นคนใจกว้าง ความจริงคงไม่ถือสาหาความเรื่องแค่นี้กระมังเพคะ”
ฮ่องเต้แคว้นหวาหุบยิ้มแล้วจับจ้องมู่ชิงอีแล้วตรัสว่า “อย่างนั้นหรือ เจ้าคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กอย่างนั้นหรือ ตอนนี้คนรู้กันหมดแล้วว่าเราถูกหลอก อับอายขายขี้หน้าคนทั้งงานเลี้ยงแล้วกระมัง”
มู่ชิงอีเอ่ย “ฝ่าบาทเป็นดั่งโอรสแห่งสวรรค์ เหตุใดต้องสนใจคำพูดคนรอบข้างด้วยเล่า เรื่องที่ฝ่าบาททรงกระทำย่อมถูกอยู่แล้ว ถึงแม้จะเป็นความผิด…เช่นนั้นก็เป็นความผิดของผู้อื่น เหตุใดฝ่าบาทต้องไม่มีความสุขเพราะความผิดของผู้อื่นด้วยเล่าเพคะ ต่อให้ไม่มีจิ่วจ่วนหลิงหลง ฝ่าบาทก็ทรงมีพระปรีชาสามารถปกครองแว่นแคว้นได้เช่นกัน เรื่องเล็กน้อยแค่นี้คิดว่าเป็นเรื่องขำขันไปก็สิ้นเรื่อง แน่นอนว่าหากวันหน้าจับตัวผู้บงการเบื้องหลังได้ ฝ่าบาทจะลงโทษเขาอย่างเหี้ยมโหดสักคราก็ย่อมได้เช่นกัน เวลานี้พระองค์จึงไม่จำเป็นต้องทรงกริ้วเพราะสิ่งที่หายไปหรอกเพคะ”
ฮ่องเต้แคว้นหวามองมู่ชิงอีอยู่นานถึงตรัสด้วยรอยยิ้ม “เจ้านี่ช่างวาทศิลป์เป็นเลิศนัก”
มู่ชิงอีขมวดคิ้วแล้วเอ่ยอย่างกลัดกลุ้มว่า “หม่อมฉันมิได้มีวาทศิลป์เป็นเลิศอะไรเลยเพคะ เพียงแต่หม่อมฉันถูกบีบบังคับ…ให้มาร้องขอชีวิตจากฝ่าบาทมากกว่า”
“หืม?” ฮ่องเต้แคว้นหวานึกสนใจขึ้นมาจึงมองมู่ชิงอีพลางอมยิ้ม “มีใครคู่ควรให้องค์หญิงหมิงเจ๋อของเราออกหน้าเองถึงเพียงนี้ด้วยหรือ”
มู่ชิงอีกล่าว “เนี่ยอวิ๋น หัวหน้าองครักษ์เนี่ยเพคะ เมื่อวานอานซีจวิ้นอ๋องและใต้เท้าเซ่ามาขอร้องให้หม่อมฉันช่วยกราบทูลขอชีวิตคนจากฝ่าบาท”
ฮ่องเต้แคว้นหวายิ้มบาง “จ้าวจื่ออวี้และเซ่าจิ่นมาขอร้องเจ้าหรือ”
มู่ชิงอีเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “เพคะ หม่อมฉันถูกหย่งจยาจวิ้นจู่ลากไปดื่มชาที่โรงน้ำชา อานซีจวิ้นอ๋องและใต้เท้าเซ่าก็มาหา อีกทั้งยังพูดขอร้องหม่อมฉันด้วยท่าทีหนักแน่นมาก นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนมาขอร้องเรื่องสำคัญกับหม่อมฉันเลยนะเพคะ…”
ฮ่องเต้แคว้นหวาเลิกคิ้วแล้วตรัสขึ้นว่า “กล่าวเช่นนี้ เจ้าคิดว่าเนี่ยอวิ๋นถูกปรักปรำอย่างนั้นหรือ”
มู่ชิงอียิ้มกล่าว “ฝ่าบาทเองก็ทรงรู้แก่พระทัยดีว่าหัวหน้าองครักษ์เนี่ยเป็นผู้บริสุทธิ์มิใช่หรือ ฝ่าบาททรงมีสายตาหลักแหลม แล้วจะเก็บขโมยไว้คอยคุ้มกันทรัพย์สินส่วนพระองค์ไว้ข้างกายได้เช่นใด หัวหน้าองครักษ์เนี่ยเป็นที่ไว้วางใจของพระองค์ได้ย่อมต้องเป็นขุนนางที่จงรักภักดีต่อพระองค์มากแน่นอน”
ฮ่องเต้แคว้นหวาถอนหายใจพลางจับจ้องมู่ชิงอีแล้วตรัสว่า “สองวันมานี้คนที่อยากให้เราลงโทษเนี่ยอวิ๋นก็มีไม่น้อยเลย”
มู่ชิงอียิ้มกล่าว “หัวหน้าองครักษ์เนี่ยเป็นขุนนางที่จงรักภักดี ฝ่าบาทไม่มีทางทรมานเขาหรอกเพคะ ความจริงหม่อมฉันรู้ว่าฝ่าบาทต้องปล่อยเขาไปแน่นอนถึงได้รับปากอานซีจวิ้นอ๋องไปเช่นนั้น อีกทั้งยังทำให้อานซีจวิ้นอ๋องติดหนี้บุญคุณหม่อมฉันโดยที่หม่อมฉันไม่ต้องทำอะไรอีกด้วย”