หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 185 เรื่องซับซ้อนของวังหลัง (3)
เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเนี่ยอวิ๋น จ้าวจื่ออวี้เลยเอ่ยเสียงขรึมว่า “ศิษย์พี่ไม่ได้ทำตัวเป็นคนเลว แต่ว่า…ก็อย่าใจอ่อนเกินไป เดิมทีเรื่องในตอนนั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเจ้าเลย”
เนี่ยอวิ๋นหลุบตาลงแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “ข้ารู้”
ครั้นจ้าวจื่ออวี้แน่ใจว่าเขาฟังคำพูดของตนแล้วถึงพยักหน้าอย่างวางใจ
ชีวิตในวังหลวงน่าเบื่อกว่าจวนซู่เฉิงโหวที่แสนคับแคบนั่นเสียอีก ถึงแม้จะมีกฎระเบียบและข้อห้ามต่างๆ มากมาย แต่เพราะฮ่องเต้แคว้นหวาจึงไม่มีใครตั้งเงื่อนไขว่านางต้องตั้งใจเรียนเหมือนองค์หญิงไหวหยาง มู่ชิงอีเองก็ไม่อยากท้าทายยั่วโมโหคนในวังเหล่านั้นจนเกินไป นอกจากไปเข้าเฝ้าทักทายไทเฮาและฮองเฮาในวันแรก มู่ชิงอีก็เก็บตัวอยู่แต่ในเรือนรับรองหมิงฟังซึ่งน้อยครั้งนักจะออกไปข้างนอก
เห็นได้ชัดว่าฮองเฮาและไทเฮาดูตามใจองค์หญิงที่ถูกฮ่องเต้แคว้นหวาแต่งตั้งขึ้นโดยกะทันหันผู้นี้อย่างนางไม่น้อย นอกจากไทเฮาจะบอกข้อห้ามกฎระเบียบต่างๆ ในวังแก่นาง ฮองเฮากลับไม่ได้ตรัสถามอะไรเลย เพียงแค่เอ่ยตรัสถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใยไม่กี่ประโยคราวกับนางไม่ได้ถูกแต่งตั้งเป็นองค์หญิงโดยกะทันหันอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุแต่เป็นดั่งองค์หญิงในวังก็มิปาน ท่าทีเช่นนี้ของไทเฮาและฮองเฮากลับทำเอาคนในวังจำนวนไม่น้อยผุดความคิดบางอย่างขึ้นมา เป็นผลให้ถึงแม้มู่ชิงอีจะไม่ออกจากเรือนแต่ก็มีคนแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนอย่างไม่ขาดสาย
ในบรรดาคนเหล่านั้นคนที่ลงมือรวดเร็วว่องไวที่สุดก็คือจูอวิ๋นผิน เสด็จแม่ขององค์ชายแปดและพี่สาวอย่างมู่เฟยหลวน หากพระสนมคนอื่นต่างวิ่งเข้ามาประจบเอาใจองค์หญิงหมิงเจ๋อ ทว่าโหรวเฟยในฐานะที่เป็นพี่สาวแท้ๆ ขององค์หญิงกลับแน่นิ่งไม่ทำอะไรเลยคงดูผิดปกติ อีกอย่างโหรวเฟยรู้อยู่แก่ใจดี ถึงแม้นางอยากจะไล่มู่ชิงอีให้ไปตายโดยไวแต่นางจะทำให้ฮ่องเต้แคว้นหวาสังเกตเห็นไม่ได้ โหรวเฟยมาเยี่ยมเยียนมู่ชิงอีถึงเรือนรับรองแทบทุกวันราวกับเป็นพี่น้องที่มีมารดาเดียวกันสายสัมพันธ์ลึกซึ้งอย่างไรอย่างนั้น
อวิ๋นผินกับหรงเฟยยังดีเพราะมู่ชิงอียังพอมีแก่ใจรับมือไหวอยู่บ้าง แต่สำหรับมู่เฟยหลวนที่ชอบชักสีหน้าใส่ตลอดซึ่งมู่ชิงอีเองก็ไม่ได้มีความอดทนอดกลั้นมากขนาดนั้น สองวันต่อมาแทบทุกคนในวังต่างก็รู้ว่าองค์หญิงหมิงเจ๋อไม่ขอเจอโหรวเฟยอีก ได้ยินมาว่าโหรวเฟยเคยกราบทูลฮ่องเต้แคว้นหวาว่าองค์หญิงหมิงเจ๋อไร้มารยาทกับตน พูดราวกับว่าตัวเองนั้นไม่ได้เก็บมาใส่ใจนัก ทว่าฮ่องเต้แคว้นหวากลับไม่มีท่าทีใดเลย
วันนี้หลังจากส่งโหรวเฟยผู้มีสีหน้าบูดบึ้งกลับไปแล้วก็ต้องต้อนรับหรงเฟยผู้มีสีหน้ายิ้มแย้มอบอุ่นต่ออีก ครั้นหรงเฟยเห็นสีหน้าไม่สบอารมณ์ของมู่ชิงอีก็ยิ้มหวานกล่าว “น้องหญิงโหรวเฟยมาเยี่ยมองค์หญิงอีกแล้วหรือ”
มู่ชิงอีก็ไม่คิดปกปิดความไม่พอใจที่ตนมีต่อมู่เฟยหลวนจึงฉีกยิ้มบางๆ เอือมระอาส่งไปให้
หรงเฟยเองนั้นหลักแหลมไม่เบาเลยเข้าใจได้ในทันที จึงปิดปากหัวเราะกล่าว “องค์หญิงไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ ความจริงมีใครในวังที่ไม่รู้ว่าองค์หญิงไม่อยากเจอนางบ้างเล่า แต่นางก็ดันแสร้งทำเป็นไม่รู้มาหาถึงเรือนรับรองหมิงฟังอีก ก็มิใช่ว่าเพราะอยากหยิบยืมโอกาสประจบเอาใจฝ่าบาทด้วยหรืออย่างไร”
มู่ชิงอีงุดหน้าลงยิ้มบางกล่าว “หรงเฟยก็พูดเกินไปแล้วเพคะ โหรวเฟยเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท มีเหตุจำเป็นใดต้องมาเอาใจองค์หญิงที่เพิ่งถูกแต่งตั้งใหม่คนนี้ด้วยเล่า”
หรงเฟยโบกไม้โบกมือแล้วเลิกคิ้วพลางยิ้มกล่าว “เป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทอย่างนั้นหรือ บัดนี้เป็นเช่นนี้ก็จริงอยู่ ใครจะไปรู้ว่านางใช้วิธีการใดหลอกล่อฝ่าบาทถึงได้หลงนางเช่นนั้น ตอนที่นางเพิ่งเข้าวังแรกๆ ฝ่าบาทแทบจะไม่สนใจนางเลยด้วยซ้ำ”
มู่ชิงอีใจกระตุกวูบแล้วแสร้งเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “หม่อมฉันจำได้ว่า ช่วงแรกๆ ฝ่าบาทจะทรงโปรดปรานหวังกุ้ยเฟยเสด็จแม่ขององค์หญิงหมิงฮุ่ย?” หรงเฟยพยักหน้ากล่าว “ใช่แล้ว เดิมทีฝ่าบาทไม่ค่อยชอบสตรีที่หน้าตาสะสวยดูเย้ายวนสักเท่าไร หวังกุ้ยเฟยเกิดมาจากตระกูลที่มีชื่อเสียง นิสัยอ่อนหวานและไม่เบ่งอำนาจใส่ใคร นับว่าเป็นสตรีที่ดีงามเพียบพร้อมมากทีเดียว ทว่าหลังจากหวังกุ้ยเฟยสิ้นพระชนม์ ไม่รู้เหตุใดจู่ๆ ฝ่าบาทถึงต้องตาโหรวเฟยได้ ความจริงหลายปีมานี้โหรวเฟยเองก็อ่อนหวานสง่างามขึ้นมาก แต่หากจะลอกเลียนหวังกุ้ยเฟยนางคงห่างชั้นอีกมาก” เวลานี้หรงเฟยเอ่ยพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันไปด้วย แต่หากดูจากรูปโฉมภายนอกหรงเฟยและโหรวเฟยล้วนหน้าตาออกไปทางดูน่าเย้ายวนด้วยกันทั้งคู่ หญิงสาวที่เกิดมาจากตระกูลแม่ทัพย่อมบุคลิกสง่าอ่อนหวานสู้หญิงสาวที่เกิดจากตระกูลผู้มีความรู้ไม่ได้อยู่แล้ว ประจวบกับฮ่องเต้แคว้นหวาทรงโปรดหญิงสาวที่อ่อนหวานสง่างามมากกว่าหน่อย ดังนั้นหรงเฟยและโหรวเฟยในตอนนั้นถึงไม่ได้รับความโปรดปรานสักเท่าไร แต่เห็นได้ชัดว่าโหรวเฟยฉลาดกว่าหรงเฟย หรือจะพูดได้ว่าในฐานะบุตรสาวอนุภรรยาเลยทุ่มสุดตัวทุกอย่าง ในเมื่อมีใบหน้าที่งดงามอยู่แล้ว นางก็แค่เรียนรู้ทำให้ตัวเองดูอ่อนหวานสง่างามมากขึ้นหน่อย และเพราะเหตุนี้หากโหรวเฟยจะได้รับความโปรดปรานมากกว่าหรงเฟยก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
ครั้นหรงเฟยเห็นท่าทีนิ่งสงบของมู่ชิงอีก็มุ่นคิ้วต่อความพ่ายแพ้ เหล่าสนมในวังต่างรู้ดีว่าองค์หญิงหมิงเจ๋อไม่ชอบโหรวเฟย ดังนั้นจึงมีคนไม่น้อยคอยยั่วยุให้องค์หญิงหมิงเจ๋อไปต่อกรกับโหรวเฟย ในเมื่อบุตรสาวภรรยาเอกที่ไม่ได้เป็นที่โปรดปรานในจวนถูกแต่งตั้งเป็นองค์หญิงสถานะสูงส่งอย่างกะทันหัน อีกอย่าง น้อยนักที่จะเห็นใครอดกลั้นต่อความโกรธได้ขนาดนี้ ทว่าองค์หญิงหมิงเจ๋อผู้นี้กลับพิลึกคน ถึงแม้คำพูดและการกระทำของนางจะไม่ได้ปกปิดข่าวที่ว่านางไม่ชอบโหรวเฟย แต่ไม่ว่าใครจะยั่วยุนางทั้งในที่ลับและในที่แจ้งขนาดไหนก็ตาม นางก็ยังคงแน่นิ่ง สุขุมเยือกเย็น กระทั่งหรงเฟยยังอดคิดไม่ได้ว่าองค์หญิงผู้นี้เติบโตมาจากในวังเลยชินชากับลูกไม้พวกนี้ของเหล่าสนมในวังแล้วเสียอีก
แต่ในเมื่อหรงเฟยกล้ามาหาย่อมแสดงให้เห็นแล้วว่านางมีลูกไม้ที่แตกต่างไปจากคนอื่น พอเห็นมู่ชิงอีก้มหน้าก้มตาจิบชา หรงเฟยก็ปรากฏประกายรอยยิ้มพาดผ่าน แต่ไม่นานนางก็ยกมือขึ้นใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากกล่าวเสียงนุ่มนวลเอ่ยยิ้มๆ ว่า “พูดถึงน้องหญิงโหรวเฟยเป็นที่โปรดปรานเช่นนี้ได้ เห็นทีน่าจะเกี่ยวพันกับฉินกั๋วฮูหยินกระมัง”
มู่ชิงอีสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อยแล้วเงยหน้าขึ้นจับจ้องหรงเฟยแน่นิ่ง พอหรงเฟยเห็นสีหน้าของมู่ชิงอีเช่นนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าก็พลันหายไปรีบเอ่ยว่า “ข้าจำได้ว่าตอนที่ข่าวการจากไปด้วยโรคร้ายของฉินกั๋วฮูหยินดังมาถึงในวัง น้องหญิงโหรวเฟยร้องห่มร้องไห้ยกใหญ่ไปทีหนึ่ง อีกทั้งยังพลอยตรอมใจป่วยหนักไปด้วย เพราะเหตุนี้ฝ่าบาทจึงชื่มชมว่านางมีใจกตัญญูถึงแต่งตั้งให้นางเป็นโหรวเฟย” มู่เฟยหลวนที่เป็นเพียงบุตรอนุกลับฉวยโอกาสเอาการตายของภรรยาเอกของจวนโหวมาเลื่อนยศให้ตัวเอง นางไม่เชื่อหรอกว่ามู่ชิงอีที่เป็นบุตรสาวภรรยาเอกจะไม่สนใจเรื่องนี้ ฉากการแสดงของมู่เฟยหลวนในตอนนั้นทำเอาคนซึ้งใจน้ำตาไหลไปตามๆ กัน เพียงแต่น่าเสียดายที่คนในวังไม่ใช่คนโง่เขลา ในตระกูลของหรงเฟยเองก็มีพี่น้องที่เป็นบุตรของอนุอยู่ไม่น้อย แล้วนางจะไม่รู้ความคิดของคนพวกนี้ได้เช่นไร ยิ่งไปกว่านั้นหากมู่เฟยหลวนเคารพยำเกรงภรรยาเอกของจวนจริง จวนซู่เฉิงโหวคงไม่ทำทีราวกับว่ามู่ชิงอีไร้ตัวตนเช่นนี้
“อย่างนี้นี่เอง หม่อมฉันนึกว่าทันทีที่โหรวเฟยเข้าวังมาก็เป็นคนโปรดของฝ่าบาทเลยเสียอีก ที่แท้ก็มีสาเหตุเช่นนี้ด้วย” มู่ชิงอีคลี่ยิ้มบางกล่าว พอหรงเฟยเห็นนางสีหน้าเรียบนิ่งก็นึกกลัดกลุ้มใจที่องค์หญิงหมิงเจ๋อรับมือยากกว่าที่คิด หญิงสาวในตระกูลนี้ไม่มีใครธรรมดาสักคน ครั้นกวาดตามองเห็นสีหน้าละอายใจเล็กน้อยของหรงเฟย รอยยิ้มบนใบหน้าของมู่ชิงอีก็ยิ่งกว้างขึ้นกว่าเดิม จากนั้นก็เอ่ยพลางยิ้มบางว่า “สมแล้วที่พระสนมอยู่ในวังมานาน รู้เรื่องราวเยอะนัก”
หรงเฟยฉีกยิ้มได้ใจกล่าว “เป็นธรรมดา องค์หญิงมีเรื่องใดอยากรู้ก็มาถามข้าได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ” หรงเฟยมีสิทธิ์ที่จะภาคภูมิใจจริงๆ นางเกิดมาจากตระกูลผู้ดี ขอแค่ตระกูลเว่ยไม่ล้มนางที่อยู่ในวังก็ย่อมยืนหยัดไม่มีวันล้มด้วยเช่นกัน ไม่ว่านางจะได้รับความโปรดปรานหรือไม่ ทว่าท่าทีภูมิใจเช่นนี้ของนางกลับดูน่าสงสารในสายตาของมู่ชิงอีอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะบางครั้งความรุ่งเรืองและตกอับของตระกูลๆ หนึ่งกลับขึ้นอยู่กับคำพูดของฮ่องเต้เท่านั้น