หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 190 ตัวเลือกผู้เกี่ยวดอง (1)
“หืม แล้วโหรวเฟยพูดอันใดหรือ” ฮ่องเต้แคว้นหวาตรัสถามเสียงเรียบ ทว่าโหรวเฟยที่อยู่ด้านข้างกลับสะท้านเฮือกในใจ
มู่ชิงอีกลับทำราวกับว่ามองไม่เห็นแล้วคลี่ยิ้มบางกล่าว “โหรวเฟยทรงเตือนชิงอีให้รักนวลสงวนตัว เพื่อเลี่ยงมิให้เสื่อมเสียชื่อเสียงจึงมิควรพูดคุยกับองค์ชายเก้าในสวนดอกไม้เช่นนี้ ชิงอีเลยกำลังขอบพระทัยโหรวเฟยที่สั่งสอนชิงอีอยู่เพคะ”
ฮ่องเต้แคว้นหวาหัวเราะร่าแล้วตรัสว่า “เราไม่เห็นว่าจะเป็นอะไรเลย สอนดอกไม้แห่งนี้มีเหล่านางในและขันทีอยู่เต็มไปหมดจะเกิดเรื่องอันใดขึ้นได้ หากหมิงเจ๋อรู้สึกเบื่อ จะพาใครสักคนออกไปเดินเล่นหน่อยก็ไม่เป็นไร แต่…องค์ชายเก้า…องค์ชายเก้าสุขภาพไม่ดีนัก หมิงเจ๋ออย่ารบกวนองค์ชายเก้าบ่อยเลยจะดีกว่า มิเช่นนั้นเอาอย่างนี้แล้วกัน…รอจบเรื่องเกี่ยวดองนี้แล้วเราจะให้คนออกไปเที่ยวนอกเมืองเป็นเพื่อนหมิงเจ๋อก็แล้วกัน พอดีเลยให้เนี่ยอวิ๋นติดตามเจ้าไป แล้วเดี๋ยวเรียกจ้าวจื่ออวี้ไปด้วยอีกคน เราจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของเจ้าด้วย” แผนการที่กะทันหันของฮ่องเต้แคว้นหวาทำเอาทุกคนต่างผงะไป ผ่านไปนานมู่ชิงอีถึงเข้าใจความหมายของฮ่องเต้แคว้นหวาที่ต้องการจะสื่อว่าสุขภาพของหรงจิ่นไม่ดีนัก อีกทั้งเป็นองค์ชายแคว้นเย่ว์ด้วยจึงไม่เหมาะสมเป็นคู่ครองกัน นอกจากนั้นยังไม่ลืมแนะนำตัวเลือกที่ไม่เลวอย่างอานซีจวิ๋นอ๋องจ้าวจื่ออวี้ให้ด้วย ครั้นนึกถึงตรงนี้มู่ชิงอีก็เคอะเขินขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
ทว่าหรงจิ่นที่ยืนอยู่เบื้องหลังมู่ชิงอีกลับสีหน้าถมึงทึงขึ้นมาทันที หากเวลานี้ไม่ได้ยืนอยู่ในสวนดอกไม้ของแคว้นหวาและฮ่องเต้แคว้นหวาไม่ได้เป็นฮ่องเต้ของแคว้นหวาล่ะก็ หรงจิ่นคงบีบคอเขาให้ตายโดยไม่คิดลังเลเลยสักนิดไปแล้ว ข้าเพิ่งหว่านล้อมให้ชิงชิงตอบตกลงคำขอร้องของข้าไป ทว่าเจ้ากลับมาพังแผนของข้าเสียได้ ใช้ชีวิตเบื่อแล้วหรืออย่างไรกัน
ถึงแม้หรงจิ่นและมู่ชิงอีต่างเข้าใจความหมายของฮ่องเต้แคว้นหวาแต่ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นๆ จะเข้าใจตามไปด้วย เพราะอย่างน้อยมู่เฟยหลวนที่มีความอิจฉาริษยาและความหวาดกลัวเกาะกุมพื้นที่หัวใจไปเกินครึ่งกลับไม่เข้าใจเลยสักนิด นางเห็นเพียงแต่ความลำเอียงและความโปรดปรานของฮ่องเต้ที่มีต่อมู่ชิงอีเท่านั้น ทั้งๆ ที่ไม่พอพระทัยที่มู่ชิงอีเข้าใกล้องค์ชายเก้าแห่งแคว้นเย่ว์ แต่ดันยอมกล่าวล่วงเกินองค์ชายแคว้นเย่ว์แต่มิยอมลงโทษมู่ชิงอี มือที่อยู่ภายใต้แขนเสื้องามของมู่เฟยหลวนกำแน่น ฉับพลันก็นึกถึงคำพูดก่อนหน้านี้ที่มู่หรงอวี้กล่าวกับตนขึ้นมา
ฮ่องเต้แคว้นหวามองสีหน้าที่แตกต่างกันไปของทุกคนแล้วตรัสว่า “เอาเถิด โหรวเฟยตั้งครรภ์อยู่ กลับไปพักผ่อนที่พระตำหนักหวาหยางเถิด เราจะไปหารือเรื่องเกี่ยวดองกับฮองเฮาที่พระตำหนักเสียนเต๋ออยู่พอดี หมิงเจ๋ออยากไปกับเราหรือไม่”
มู่ชิงอีย่อมไม่ปฏิเสธอยู่แล้วเลยฉีกยิ้มแต่งแต้มใบหน้ากล่าว “น้อมรับพระบัญชาเพคะ”
“องค์ชายเก้าเล่า” ฮ่องเต้แคว้นหวาเลิกคิ้วมองหรงจิ่น ฮ่องเต้แคว้นหวาไม่ค่อยชอบใบหน้าหล่อเหลาเกินมนุษย์เช่นนี้ขององค์ชายเก้าเท่าไรนัก ชื่อเสียงและเรื่องต่างๆ ของหรงจิ่นเขาเองก็ฟังมาไม่น้อย นอกจากมีใบหน้าอันหล่อเหลาก็ไม่มีความสามารถหรืออำนาจใดแล้ว แม้แต่สุขภาพที่แข็งแรงยังมีไม่ได้เลย หลังจากมาเมืองหลวงยังแทะโลมหย่งจยาจวิ้นจู่แห่งแคว้นเป่ยฮั่นอีกต่างหาก คนแบบนี้คิดอยากได้องค์หญิงหมิงเจ๋ออย่างนั้นหรือ ฮ่องเต้แคว้นหวามองหรงจิ่นด้วยสายตาจับผิดแวบหนึ่ง จากนั้นก็รู้สึกลึกๆ ว่ารีบจับเขาแยกออกจากองค์หญิงหมิงเจ๋อจะดีกว่า ในเมื่อภายนอกของหรงจิ่นก็ดูดีไม่หยอกจริงๆ
หรงจิ่นยิ้มกล่าว “พี่สี่เองก็ไปเยี่ยมน้องหญิงหกที่พระตำหนักเสียนเต๋อเช่นกัน เช่นนั้นกระหม่อมย่อมไปพร้อมกับฝ่าบาทอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แคว้นหวาหมุนตัวพาพวกเขาไปโดยไม่ได้คัดค้านอะไร “หมิงเจ๋อไปกับเราเถิด”
พวกเขาจากไปกันหมดทิ้งไว้เพียงมู่เฟยหลวนพร้อมคนของนางยืนอยู่กลางสวนดอกไม้ราวกับถูกลืมอย่างไรอย่างนั้น มู่เฟยหลวนจับจ้องพวกเขาที่เดินจากไปไกลด้วยแววตานิ่งสงบแต่กลับแฝงรอยยิ้มเย็นชาจางๆ จู่ๆ หรงจิ่นที่เดินรั้งท้ายก็หันกลับมามองมู่เฟยหลวนที่ยืนตรงจุดเดิมและไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่แวบหนึ่งพร้อมรอยยิ้มเย็นชาดูแคลน สตรีผู้โง่เขลา หากไม่ถึงตอนสุดท้ายก็คงไม่รู้ว่าเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนถูกใครบางคนวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้วกระมัง
ครั้นกลับมาถึงพระตำหนักหวาหยาง โหรวเฟยก็โบกมือไล่นางในและขันทีกลับไป จากนั้นก็เอื้อมมือคว้าโถลายครามโบราณเขวี้ยงทิ้งลงพื้นแตกกระจาย ท่าทีเดือดดาลของนางทำเอามามาที่คอยดูแลนางตกใจแทบแย่ รีบเอ่ยเกลี้ยกล่อมว่า “พระสนมเป็นอันใดไปเพคะ โปรดพระสนมเป็นห่วงองค์ชายน้อยในครรภ์บ้างเถิด” พอเอ่ยถึงองค์ชายน้อย สีหน้าของมู่เฟยหลวนถึงดูอ่อนลงมาบ้าง แต่ไม่นานก็กลับไปบูดบึ้งอีกครั้งแล้วเอ่ยเสียงเยาะเย้ยว่า “องค์ชายน้อยแล้วอย่างไรเล่า เกรงว่าในสายตาของฝ่าบาทองค์ชายน้อยของข้ายังสู้นังแพศยามู่ชิงอีนั่นไม่ได้ด้วยซ้ำ!”
“พระสนมคิดเช่นนี้ได้อย่างไรเล่าเพคะ” มามาเอ่ยพลางอมยิ้ม “ไม่ว่าเช่นไร องค์ชายน้อยต่างหากที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของฝ่าบาท ต่อให้องค์หญิงหมิงเจ๋อนั่น…ได้รับความโปรดปรานมากเพียงใดแต่ก็เป็นแค่องค์หญิงคนหนึ่งเท่านั้น บัดนี้อายุก็ปาไปสิบหกปีแล้ว อย่างมากอีกสองปีก็ต้องออกเรือนแล้ว เหตุใดพระสนมต้องสนใจนางด้วยเล่า”
มู่เฟยหลวนยิ้มเย็นชากล่าว “หากจัดการให้นังนั่นแต่งออกเรือนไปไกลๆ ได้คงดีไม่น้อย ข้ากลัวว่าฝ่าบาทจะทำใจไม่ได้มากกว่า”
มามาเงียบไป ท่าทีของฝ่าบาทในช่วงหลายวันมานี้เห็นได้ชัดว่าไม่อยากให้องค์หญิงหมิงเจ๋ออภิเษกแต่งออกเรือนไปไกลนัก ทว่ากลับไม่ระแคะระคายในคำพูดของมู่เฟยหลวนเลยสักนิด นางอมยิ้มกล่าว “ต่อให้เป็นเช่นนั้น รอองค์หญิงอภิเษกออกเรือนไปก็ไม่อยู่ขัดหูขัดตาพระสนมแล้ว มิเช่นนั้นพระสนมก็ลองเกลี้ยกล่อมให้ฝ่าบาททรงรีบจัดการเรื่องงานอภิเษกให้องค์หญิงสิเพคะ แบบนั้นก็พลอยทำให้เห็นว่าพระสนมทรงรักและเป็นห่วงน้องสาวมากเหมือนกัน”
มู่เฟยหลวนยกมือขึ้นคว้าแก้วที่ตั้งอยู่บนโต๊ะขึ้นมาเขวี้ยงลงพื้นแล้วเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “เป็นห่วงอย่างนั้นหรือ จุดจบความเป็นห่วงเมื่อครู่ก็คือถูกฝ่าบาทไล่กลับมาอย่างไรเล่า! ข้าที่อยู่ข้างกายฝ่าบาทมาตลอดหลายปีนี้ยังสู้นังเด็กเมื่อวานซืนที่เพิ่งเจอกันไม่ถึงสองครั้งไม่ได้เลยเชียวหรือ” เมื่อพูดถึงตรงนี้มู่เฟยหลวนก็อดเจ็บใจไม่ได้ นางเหม่อมองของที่กระจัดกระจายเต็มพื้นพร้อมน้ำตาที่ไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง ขณะเดียวกันความเกลียดชังที่มีต่อมู่ชิงอีก็ทวียิ่งขึ้น ปัญหาไม่ใช่เรื่องที่ว่านางรักหรือไม่รักฮ่องเต้แคว้นหวา แต่นางคอยปรนนิบัติรับใช้ฮ่องเต้แคว้นหวาอย่างระมัดระวังมาตั้งหลายปี ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้รับความโปรดปราน กระทั่งเป็นหนึ่งในพระสนมที่พระองค์ทรงโปรดมากที่สุด แต่พอมู่ชิงอีปรากฏตัว ความพยายามทั้งหมดที่นางทุ่มเทไปก็ไร้ความหมายราวกับเป็นเรื่องขบขันก็มิปาน แล้วแบบนี้จะไม่ให้มู่เฟยหลวนเกลียดชังนางได้เช่นไร
พอเห็นสีหน้าโมโหพร้อมน้ำตาที่เอ่อล้นออกมาของมู่เฟยหลวน มามาเลยทำได้แค่ถอนหายใจอย่างจนใจเท่านั้น นางเข้าใจนิสัยของเจ้านายตนเป็นอย่างดี เวลาแบบนี้มู่เฟยหลวนไม่ฟังอะไรแน่นอน
“ทูลพระสนม พระสนมอวิ๋นผินมาขอพบพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีกราบทูลด้วยท่าทีหวาดระแวงอยู่นอกประตู
มู่เฟยหลวนชะงักไป จากนั้นก็ยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับคราบน้ำตาบนใบหน้าให้สะอาดก่อนเอ่ยถามว่า “นางจะมาหาข้าได้เช่นใด” ถึงแม้อวิ๋นผินจะใจดีกับทุกคนมาตลอด แต่ถึงกระนั้นศักดิ์ศรีของตำแหน่งผินเฟยของนางก็ยังต้องรักษาไว้อยู่ ดังนั้นน้อยครั้งนักที่นางจะมาเยือนพระตำหนักหวาหยางของมู่เฟยหลวนด้วยตัวเอง อีกทั้งเพื่อแสดงความจงรักภักดีที่จวนซู่เฉิงโหวมีต่อจวนกงอ๋อง นางจึงเป็นฝ่ายไปพระตำหนักอวิ๋นผินเองมากกว่า จู่ๆ พอได้ยินว่าอวิ๋นผินมาหาเองเลยทำเอามู่เฟยหลวนนึกแปลกใจไม่น้อย
“อวิ๋นผินมาทำอันใดหรือ” เมื่อครู่เพิ่งถูกมู่ชิงอีราวกับตบหน้าฉาดใหญ่กลางสวนดอกไม้มา อารมณ์ของมู่เฟยลวนเลยไม่ดีเท่าไรนัก ยิ่งไปกว่านั้นด้วยสถานะของนางในตอนนี้ไม่จำเป็นต้องระวังล่วงเกินอวิ๋นผินเลยสักนิด ดังนั้งนางเลยไม่อยากเจออวิ๋นผิน มามาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยตามความจริงว่า “น่าจะมาเพราะเรื่ององค์หญิงหมิงเจ๋อกระมัง เมื่อวานองค์หญิงหมิงเจ๋อและกงอ๋องทะเลาะผิดใจกันที่เรือนรับรองหมิงฟัง ได้ยินมาว่ากงอ๋องถูกฝ่าบาทสั่งสอนไปยกหนึ่งด้วยเพคะ”
ครั้นได้ยินเช่นนั้นรอยยิ้มของมู่เฟยหลวนก็ยิ่งเย็นยะเยือกมากกว่าเดิม เอ่ยเสียงขรึมว่า “เป็นนังจิ้งจอกเหมือนแม่ของนางไม่มีผิดเลยจริงๆ! กงอ๋องเป็นองค์ชายที่ฝ่าบาททรงให้ความสำคัญมากที่สุด แต่เพราะปะทะฝีปากกับนางไม่กี่ประโยคก็ถูกฝ่าบาทตำหนิแล้ว แล้วศักดิ์ศรีความเป็นองค์ชายอยู่ที่ใดเล่า” มิน่าอวิ๋นผินถึงยอมถ่อมาหานางถึงที่นี่ มู่เฟยหลวนเข้าใจอวิ๋นผินเป็นอย่างดี ดั่งสำนวนที่ว่ากันว่า สุนัขที่กัดมักไม่เห่า[1] ใช่ว่าอวิ๋นผินจะเป็นคนว่าง่ายใจดีจริงๆ เสียเมื่อไร หากคนแบบนี้ไม่มีเรื่องให้ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ต่อให้คนทั้งวังต้องตายนางก็สามารถอยู่อย่างมีความสุขได้เช่นเดิม แต่สิ่งที่อวิ๋นผินเป็นกังวลและเป็นจุดอ่อนเพียงหนึ่งเดียวก็คือบุตรทั้งสองของนาง แต่หากจะพูดให้ถูกจริงๆ ต้องกล่าวว่าคนที่นางเป็นกังวลเพียงหนึ่งเดียวก็คือบุตรชายคนโตอย่างมู่หรงอวี้ต่างหาก
—————————–
[1]สุนัขที่กัดมักไม่เห่า สำนวนนี้แปลว่าคนที่ดูอ่อนหวานนุ่มนวล แต่หากลงมือทำอะไรจริงๆ ก็โหดไม่เบา