หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 201 น้ำใจขององค์ชาย (1)
มู่ฉังหมิงเองก็กำลังกวาดตาสำรวจสาวน้อยตรงหน้าเช่นกัน เด็กสาวที่พิงกายอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทีเกียจคร้านอายุเพียงสิบห้าสิบหกปีเท่านั้น ทว่าท่วงท่ากิริยากลับสูงศักดิ์และสง่างามซึ่งหาเห็นได้ยากนักในเด็กสาววัยนี้ ดวงตาสุกใสที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มกำลังมองสำรวจสวนดอกไม้อย่างสบายๆ แต่เหมือนท่าทางบอบบางที่น่าหลงใหลกลับชวนให้ใครต่อใครต่างลุ่มหลง สตรีคนนี้…เป็นบุตรสาวที่เงียบๆ ไม่ค่อยพูดค่อยจามาตั้งแต่เด็กของเขาจริงๆ หรือ เพราะนอกจากรูปโฉมแล้ว สาวน้อยตรงหน้าไม่มีจุดใดที่เหมือนบุตรสาวของเขาเลย ทั้งนิสัย ลักษณะหรือกระทั่งบุคลิกของนางไม่เหมือนเขาและไม่เหมือนภรรยาของเขาที่ตายไปเลยสักนิด ทว่ากลับ…
“ตกลงเจ้าเป็นใครกันแน่” ทันใดนั้นมู่ฉังหมิงก็คำรามขึ้นด้วยความโมโห
มู่ชิงอียกยิ้มมุมปากพร้อมเผยท่าทีสงสัยเล็กน้อย “ข้าก็คือมู่ชิงอีอย่างไรเล่าเจ้าคะ ท่านพ่อเป็นอันใดไปหรือ”
มู่ชิงอีหรือ…มู่ฉังหมิงจับจ้องสาวน้องตรงหน้าด้วยท่าทีสงบ รูปคิ้วดวงตาของนาง อีกทั้งไฝแดงขนาดเล็กจางๆ บนใบหูข้างซ้ายก็ยืนยันแล้วว่านางเป็นบุตรสาวของเขาจริงๆ นางเป็นบุตรสาวของเขากับสะใภ้จังซึ่งก็คือมู่ชิงอีจริงๆ
“ตกลงเจ้าต้องการอะไรกันแน่” มู่ฉังหมิงเปิดปากถามอีกครั้ง
ระยะนี้เกิดเรื่องขึ้นมากมาย เวลานี้มู่ฉังหมิงอดเชื่อไม่ได้ว่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นอาจมีสาวน้อยคนนี้เป็นคนบงการ กระทั่ง…การตายของมู่หลิง เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวพันกับมู่ชิงอีหรือไม่ แต่เหตุการณ์หลายวันมานี้ที่เกิดขึ้นกับมู่อวิ๋นหรง มู่หลิงและมู่เฟยหลวน นอกจากนางแล้วจะเป็นฝีมือใครได้
“ต้องการอะไรอย่างนั้นหรือ” มู่ชิงอีปิดปากหัวเราะเงยหน้าขึ้นราวกับได้ยินเรื่องน่าขันอะไรเข้า นางหัวเราะจนน้ำตาเม็ดใสไหลรินมาจากหางตา ฉับพลันนางก็เบิกตากว้างจับจ้องมู่ฉังหมิงเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “ข้าต้องการทวงความเป็นธรรมที่ท่านแม่ของข้าควรได้รับคืนมา ข้าต้องการให้คนของจวนซู่เฉิงโหวชดใช้ในสิ่งที่กระทำไป หลายปีมานี้…พวกท่านนั่งอยู่บนกองเงินกองทองของท่านแม่ ยามที่เสพสุขบนอำนาจความมั่งคั่งที่ได้มาเพราะสถานะของท่านแม่เคยคิดบ้างหรือไม่ว่ายามที่ท่านแม่ต้องตาย ท่านแม่ทุกข์ทรมานและแค้นใจเพียงใด เหตุใดพวกท่านถึงกล้า…ถึงกล้ารังแกนางได้ถึงเพียงนี้”
“เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรกัน!” มู่ฉังหมิงคำรามด้วยท่าทีตกใจและโมโห
มู่ชิงอียิ้มเยาะ “ตำแหน่งจวนซู่เฉิงโหวของท่านพ่อได้มาเพราะช่วยชีวิตฝ่าบาทในตอนนั้นใช่ไหมเล่าเจ้าคะ แต่ว่า…ทั้งๆ ที่ตอนนั้นคนที่ช่วยฝ่าบาทก็คือท่านแม่ แต่สุดท้ายคนที่ได้รับตำแหน่งกลับเป็นท่านพ่อ หลายปีมานี้คนในจวนซู่เฉิงโหวใช้เบี้ยหวัดของท่านแม่…กระทั่งใช้เงินสินเดิมที่ป้าหญิงแบ่งมาให้ด้วย พวกท่านเคยนึกซาบซึ้งใจสักนิดบ้างหรือไม่ เคยนึกถึงความเจ็บปวดของท่านแม่ที่ต้องทนน้อยใจในความอัปยศและตายอย่างอนาถบ้างหรือไม่ ท่านพ่อรังเกียจท่านแม่…แต่ท่านพ่อกล้าพูดหรือไม่ว่าท่านพ่อไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้นเลย พวกท่าน…คงคิดว่าโลกใบนี้ไม่มีกรรมคืนสนองจริงๆ กระมัง”
มู่ฉังหมิงล้มตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างไร้เรี่ยวแรง “เจ้า…เจ้ารู้เรื่องพวกนี้ได้เช่นไร เจ้าไม่ควรรู้”
มู่ชิงอียิ้มตาหยีกล่าว “ไม่เพียงแค่ข้าเท่านั้นที่รู้ ข้าเดาว่าตอนนี้ฝ่าบาทเองก็คงรู้แล้ว หากจะโทษก็ต้องโทษบุตรสาวสุดที่รักที่ท่านพ่อฝากความหวังเอาไว้นั่นแหละเจ้าค่ะ นางคงถูกบีบให้สารภาพต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทจนหมดเปลือกแล้ว แต่ท่านพ่อไม่ต้องกลัวไป เวลานี้ฝ่าบาทไม่มีทางทำอะไรจวนซู่เฉิงโหวแน่นอน อย่างน้อย…ก็ต้องรอหลังจากขุนนางทูตแคว้นเป่ยฮั่นกลับไปก่อน มิเช่นนั้นฝ่าบาทก็ต้องไปหาจวิ้นจู่ในเชื้อพระวงศ์สักคนเพื่อไปเกี่ยวดองอีก หากเป็นแบบนั้นเหล่าท่านอ๋องในราชนิกุลคงไม่ค่อยชอบใจนัก เพื่อเรื่องนี้ตอนนี้ฝ่าบาทย่อมต้องปล่อยจวนซู่เฉิงโหวไปแน่นอน”
“เหตุใดเจ้า เหตุใดเจ้าถึงทำเช่นนี้!” มู่ฉังหมิงคำรามด้วยอารมณ์โทสะที่ปะทุขึ้นมา “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าต้องเอาคืนให้ท่านแม่ของเจ้าอยู่แล้ว! สักวันหนึ่งข้าต้องแก้แค้นคืนให้ท่านแม่ของเจ้าอยู่แล้ว! เจ้าทำลายทุกอย่าง เจ้ารู้ไหมว่าเจ้าทำลายแผนการทุกอย่างที่ข้าวางไว้จนสิ้น!” มู่ชิงอีเลิกคิ้วเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์นัก “ท่านพ่อโง่เขลาขนาดนี้ อีกอย่างแผนการกลับตาลปัตรไปหมดแล้ว ท่านพ่อพักเร็วหน่อยเถิด ความแค้นของท่านแม่ข้าจะรับเอาไว้เอง ส่วนท่านพ่อ…หากคิดจะแก้แค้นเพื่อท่านแม่จริงๆ เช่นนั้นก็จัดการตัวเองเสียเถิด”
“แต่ข้าเป็น…เป็นพ่อแท้ๆ ของเจ้านะ” มู่ฉังหมิงตะคอกใส่อย่างเดือดดาล
มู่ชิงอีเอ่ยยิ้มๆ “เคยเป็นเจ้าค่ะ” น่าเสียดาย…ที่บุตรสาวที่แสนว่าง่ายของท่านตายด้วยน้ำมือของท่านไปแล้ว
“นังลูกทรพี!” มู่ฉังหมิงพุ่งตัวไปข้างหน้า ยกมือขึ้นง้างหมายจะตบหน้ามู่ชิงอีแรงๆ สักฉาด
มู่ชิงอียังคงฉีกยิ้มไม่เปลี่ยนและไม่แม้แต่จะขยับสักนิด แต่การตบหน้าฉาดนี้ของมู่ฉังหมิงกลับไม่มีโอกาสได้กระทำลงบนใบหน้าอันงดงามของนาง เพราะทันใดนั้นก็มีมือใหญ่โผล่มาคว้าแขนของมู่ฉังหมิงไว้เงียบๆ เพียงใช้แรงก็ได้ยินเสียง กรอบ! พร้อมเสียงโอดครวญของมู่ฉังหมิงดังขึ้น จากนั้นแขนผิดรูปก็หล่นลงข้างกาย
“อู๋ซิน”
อู๋ซินก้มหน้ายืนอยู่ด้านหลังมู่ชิงอีอย่างสงบเอ่ยเสียงเรียบ “ก็แค่ข้อหลุดเท่านั้นแหละขอรับ”
มู่ชิงอีพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็มองมู่ฉังหมิงที่จัดการแขนตัวเองให้เข้าที่ด้วยใบหน้าเกรี้ยวโกรธ มู่ฉังหมิงจับจ้องอู๋ซินพร้อมเอ่ยอย่างระแวงว่า “เขาเป็นใคร เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
อู๋ซินมองมู่ฉังหมิงแวบหนึ่งเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร มู่ชิงอีเอ่ยเสียงเรียบ “เขาเป็นใครไม่สำคัญ แต่ท่านพ่อหุนหันพลันแล่นไปนะเจ้าคะ ท่านพ่อคิดว่า…ข้าจะเชื่อว่าท่านพ่อจะไม่ทำร้ายข้าจริงๆ หรือ ในเมื่อกล้าไล่ให้เนี่ยอวิ๋นกลับไป ข้าจะไม่มีลูกไม้ตลบหลังได้อย่างไรเล่า”
มู่ฉังหมิงจับจ้องมู่ชิงอีด้วยสีหน้าซับซ้อน เงียบไปนานถึงเอ่ยว่า “ดูท่าพวกเราคงมองเจ้าผิดไป เจ้านั้นเก็บซ่อนนิสัยได้เก่งอย่างแท้จริง ข้านึกไม่ถึงเลยว่าข้าจะมีบุตรสาวที่เจ้าเล่ห์เพทุบายขนาดนี้” มู่ชิงอีเลิกคิ้วยิ้มโดยไม่ใส่ใจคำพูดถากถางของมู่ฉังหมิงเลยสักนิด “หากท่านพ่อใช้เวลาสักสองสามปีไม่คิดเรื่องใดยกเว้นเรื่องแก้แค้นเท่านั้นละก็…คาดว่าท่านพ่อเองก็คงเป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบายเหมือนข้าเช่นกัน น่าเสียดาย ถึงแม้ท่านพ่อพูดว่าจะแก้แค้นแทนท่านแม่ แต่เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่ท่านพ่อต้องการมีมากเกินไป ดังนั้นสิ่งที่เรียกว่าแก้แค้น…ก็แค่คงถือโอกาสรวดทำไปด้วยเลยมากกว่ากระมัง ท่านพ่อรีบเสพสุขเวลาที่เหลือนี้ดีกว่าเจ้าค่ะ อืม…ท่านพ่อลองพิจารณาวิงวอนขอความช่วยเหลือกงอ๋องดูสิเจ้าคะ ไม่แน่อาจจะช่วยพลิกวิกฤตินี้ก็ได้” มู่ชิงอีฉีกยิ้มแสนดีใสซื่อแต่งแต้มใบหน้า แต่ในสายตาของอู๋ซินกลับรู้สึกเหมือนแมวที่กำลังยียวนหนูมากกว่า ช่างเหมือนองค์ชายเก้า…มากจริงๆ บนโลกใบนี้มีองค์ชายเก้าคนเดียวก็น่ากลัวพอแล้ว แต่ดันมามีเพิ่มอีก….
มู่ฉังหมิงมองมู่ชิงอีด้วยแววตาลึกซึ้งแวบหนึ่งแล้วหมุนตัวเดินจากไป ชั่ววินาทีนั้นเหมือนเขาแก่ลงนับสิบปีก็มิปาน
“หลายวันมานี้มีเรื่องใดเกิดขึ้นบ้างหรือไม่” มู่ชิงอีเอ่ยถามพลางมองอู๋ซินตรงหน้า จูเอ๋อร์และอิ๋งเอ๋อร์ต่างก็ถูกนางลากเข้าวังไปด้วย ดังนั้นคนที่สามารถดูแลจัดการเรือนหลานจื่อได้ก็มีแค่อู๋ซินคนเดียวแล้ว อีกทั้งอู๋ซินห้ามปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนเด็ดขาด นับว่าหลายวันมานี้ลำบากเขามากทีเดียว อู๋ซินส่ายศีรษะ “คุณหนูไม่อยู่ ในเรือนหลานจื่อก็ไม่มีเรื่องใดเลย งานศพของคุณชายรองเป็นไปอย่างเรียบง่าย อีกเรื่องเหมือนสะใภ้ซุนอยากจะเข้ามาเอาของบางอย่างในเรือนหลานจื่อ แต่กลับถูกซู่เฉิงโหวและมู่ฮูหยินผู้เฒ่าห้ามเอาไว้ก่อน”
มู่ชิงอีแค่นเสียงหัวเราะเย็นชาทีหนึ่ง เรื่องนี้ไม่อยู่เหนือคาดเลยสักนิด เมื่อเทียบกับมู่ฉังหมิงและมู่ฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว สะใภ้ซุนออกจะมองการณ์ตื้นเขินกว่าหน่อย พอเห็นว่านางไม่อยู่ในจวนนางคงคิดวางแผนจะเข้ามาหาผลประโยชน์ใส่ตนง่ายๆ มากกว่า แต่ตอนนี้เกรงว่าคงไม่มีความคิดนั้นแล้ว “เหตุใดวันนี้ถึงไม่เห็นสะใภ้ซุนเลยเล่า” อู๋ซินตอบ “หลังจากข่าวของโหรวเฟยแพร่งพรายออกมา สะใภ้ซุนก็เป็นลมหมดสติไปตั้งแต่ตอนนั้นเลย เกรงว่าตอนนี้คงยังไม่ฟื้นขอรับ”
มู่ชิงอีพยักหน้า นางเองก็พอเดาได้ว่าจวนซู่เฉิงโหวคงไม่เป็นอะไรมากนัก แต่…ทางฝั่งพี่ใหญ่…ครั้นนึกถึงการกระทำของตัวเองเมื่อวาน มู่ชิงอีก็อดหวั่นใจไม่ได้ ขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ยังไม่ไปหาพี่ใหญ่คงดีกว่า เช่นนั้นก็ไปพบอานซีจวิ้นอ๋องจ้าวจื่ออวี้ซึ่งเป็นหนึ่งในสองตระกูลอ๋องที่ได้รับพระราชทานเพราะความดีความชอบก่อนแล้วกัน หากเทียบกับจูเปี้ยนที่ใกล้จะหมดความโปรดปรานลงเรื่อยๆ แล้ว จ้าวจื่ออวี้ต่างหากที่คุ้มค่าที่จะเข้าหา แต่ในขณะเดียวกันจ้าวจื่ออวี้ก็รับมือยากกว่าจูเปี้ยนอยู่มาก หากสามารถได้รับคำมั่นสัญญาจากจ้าวจื่ออวี้ได้ เช่นนี้ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่เลวแล้ว