หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 206 สภาพที่น่าเวทนาของโหรวเฟย (2)
ในที่สุดฮ่องเต้แคว้นหวาก็ระบายจนหนำใจถึงหยุดลง จากนั้นก็มองมู่ชิงอีด้วยความรักใคร่แล้วตรัสว่า “หมิงเจ๋อไม่ต้องกังวลไป เราจะดูแลเจ้าเป็นอย่างดี เจ้าคือองค์หญิงของแคว้นหวา วันหน้าไม่มีใครกล้ารังแกเจ้าแล้ว” มู่ชิงอีก้มหน้าเอ่ยขอบพระทัย “หมิงเจ๋อขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตาอย่างมากเพคะ”
ฮ่องเต้แคว้นหวาถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วตรัสว่า “เราหวังมากว่า…เราอยากรับเจ้ามาเป็นบุตรบุญธรรม เช่นนี้เป็นอย่างไรเล่า”
มู่ชิงอีผงะไป คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้แคว้นหวาจะมาไม้นี้ แต่นางไม่อยากเรียกฮ่องเต้แคว้นหวาว่าเสด็จพ่อเลยจริงๆ นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งถึงเอ่ยขึ้นว่า “ฝ่าบาททรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อชิงอีนัก แต่…เกรงว่าหากเป็นเช่นนี้จะเสื่อมเสียชื่อเสียงฝ่าบาทเสียมากกว่าเพคะ”
ฮ่องเต้แคว้นหวาเลิกคิ้วตรัสถามอย่างไม่พอพระทัยนัก “เราแค่รับเจ้าเป็นบุตรบุญธรรม เหตุใดถึงเสื่อมเสียชื่อเสียงของเราได้เล่า”
มู่ชิงอีเอ่ยเสียงขรึม “ถึงอย่างไรหมิงเจ๋อก็เกิดมาจากตระกูลซู่เฉิงโหว ฝ่าบาทเพิ่ง…ถอดถอนตำแหน่งพี่หญิงใหญ่ไป หากยังรับหมิงเจ๋อเป็นบุตรบุญธรรมอีก เกรงว่าคนใต้หล้าจะพานคิดว่าฝ่าบาทมีจิตใจลังเล อีกอย่าง…โปรดฝ่าบาทช่วยถอดถอนตำแหน่งองค์หญิงของหมิงเจ๋อด้วยเถิดเพคะ”
ถึงแม้มู่ชิงอีจะเงียบไปไม่เอ่ยต่อจนจบ แต่ฮ่องเต้แคว้นหวากลับเดาออกได้ไม่ยาก รอหลังจากจัดการโค่นจวนซู่เฉิงโหวลงแล้ว หากยังเก็บบุตรภรรยาเอกมาเป็นบุตรบุญธรรม ยากนักที่ใครๆ จะไม่สงสัยถึงสถานะของมู่ชิงอี กระทั่งลามสงสัยไปถึงชื่อเสียงเกียรติยศของสะใภ้จังและคุณธรรมของฮ่องเต้ตามไปด้วย
เงียบอยู่พักใหญ่ ในที่สุดฮ่องเต้แคว้นหวาก็ถอนหายใจตรัสว่า “เอาเถิด เราไตร่ตรองไม่ถี่ถ้วนเอง เรื่องปลดตำแหน่งองค์หญิงไม่ต้องพูดถึงแล้ว หากเราเพิ่งแต่งตั้งเจ้าได้ไม่นานก็ปลดออกจากตำแหน่งแล้ว เช่นนั้นถึงจะดูย้อนแย้งและจิตใจลังเลเสียมากกว่า”
มู่ชิงอีพยักหน้ากล่าว “เพคะ ฝ่าบาท” ถึงอย่างไรเสียนางก็แค่ไม่อยากเรียกฮ่องเต้แคว้นหวาว่าเสด็จพ่อ ส่วนเรื่องสถานะองค์หญิง ขอแค่นางยังอยู่เมืองหลวงต่ออีกหนึ่งวัน สถานะนี้ก็ยังคงมีประโยชน์ต่อนางอยู่ รอตอนนางจากไปแล้วจะยังเป็นองค์หญิงอยู่หรือไม่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญแล้ว
ตำหนักเย็นตั้งอยู่ตรงมุมหนึ่งที่เปลี่ยวที่สุดทางฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือด้านหลังวัง เดิมทีมีชื่อเรียกว่าพระตำหนักชิงหนิง เพียงแต่ทำเลที่ตั้งห่างไกลเกินไปจริงๆ นำมาใช้ทำอะไรก็ไม่เหมาะสมสักที สุดท้ายเลยนำมาใช้กักขังเหล่าสนมที่ทำความผิดจนถูกปลดออกจากตำแหน่งและไม่ได้เป็นที่โปรดปรานอีก ครั้นนานวันเข้า ถึงแม้ป้ายชื่อพระตำหนักชิงหนิงจะยังแขวนเด่นหราอยู่ตรงประตู ทว่าคนส่วนมากกลับจำเพียงว่ามันคือตำหนักเย็นไปแล้ว สำหรับเหล่าสนมในวัง ตำหนักเย็นก็คือฝันร้ายที่ฝังลึกอยู่ในใจ ทันทีที่มาถึงที่นี่ก็เท่ากับว่าความมั่งคั่งและเกียรติยศทุกอย่าง หรือกระทั่งความเมตตาโปรดปรานของฮ่องเต้ก็ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับพวกนางอีกต่อไป ไม่ว่าพวกนางจะเคยมีสถานะใด ทันทีที่เข้ามาที่นี่ก็แปรสภาพมีสถานะที่สู้แม้แต่นางในและบ่าวรับใช้ทั่วไปไม่ได้ด้วยซ้ำ
ในตำหนักที่เดิมทีบรรยากาศอึมครึม ทว่าสองวันนี้กลับมีชีวิตชีวาขึ้นมากไม่น้อย ทุกอย่างเป็นเพราะโหรวเฟยที่เพิ่งถูกส่งตัวมาเมื่อวาน นับว่าโหรวเฟยเป็นคนโปรดของฝ่าบาทได้ไม่นานนักราวๆ สามสี่ปีได้ ทว่าคนที่เกลียดชังนางกลับมีอยู่ไม่น้อย หลังจากนางถูกส่งตัวมากักขังก็มีคนแวะเวียนมาถามไถ่ข่าวคราวและแสดงท่าทีมีความสุขบนความทุกข์ของนางกันอย่างไม่ขาดสาย แต่พอได้เห็นสภาพอันน่าเวทนาของมู่เฟยหลวนแล้ว คนส่วนมากจึงปล่อยวางและเหลือเพียงแต่การแดกดันถากถางเท่านั้น หากสภาพของมู่เฟยหลวนยังกลับมาเป็นคนโปรดของฝ่าบาทได้ พวกนางยอมผูกคอตายเสียดีกว่า
ครั้นมู่เฟยหลวนเข้ามาในตำหนักเย็นก็ถูกโยนตัวไปอยู่ในห้องเก่าทรุดโทรมที่สุดของตำหนักแห่งนี้ทันที สถานที่เช่นนี้ย่อมไม่ต้องหวังเลยว่าจะมีนางในคอยปรนนิบัติติดตาม ดังนั้นห้องของมู่เฟยหลวนก็มีสภาพเฉกเช่นเดียวกับตอนที่นางเข้ามาไม่ต่างกัน บนพื้น บนโต๊ะ บนเตียงล้วนเต็มไปด้วยฝุ่น อย่างน้อยห้องนี้คงไม่มีใครอยู่มาราวปีสองปีได้ จึงย่อมเต็มไปด้วยฝุ่นเป็นธรรมดา
มู่เฟยหลวนเอนกายนอนบนเตียงที่เต็มไปด้วยฝุ่น ในยามปกติหากมีฝุ่นมาเกาะบนเสื้อผ้านางแม้แต่นิดเดียวคงอาละวาดใหญ่โตแล้ว แต่เวลานี้นางกลับเอนกายนอนท่ามกลางฝุ่นอันหนาเตอะอย่างจนใจ เสื้อผ้าอาภรณ์ที่เดิมทีงดงามกลับขาดวิ่น อีกทั้งด้านบนยังมีร่องรอยเลือดเกรอะกรัง หลังจากคลุกเคล้ากับฝุ่นบนเตียง ผ้าแพรต่วนสีแดงอ่อนงดงามนุ่มมือก็เปรอะเปื้อนสีหม่นลงราวกับผ้าใช้เช็ดทำความสะอาดก็มิปาน
ใบหน้าที่งดงามหมดจดของคนบนเตียงในตอนแรกบัดนี้กลับปรากฏรอยแผลเหวอะหวะน่ากลัวให้เห็น ผมเผ้ายุ่งเหยิง เนื้อตัวสกปรกมอมแมมและคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดเข้มข้นที่น่ารังเกียจทั่วร่าง หรงเฟยที่เดิมทีอยากแวะมาเยาะเย้ยมู่หรงเฟย ครั้นได้เห็นเพียงแวบเดียวก็อาเจียนออกมาแล้ว นางยังไม่ทันได้พูดสักประโยคก็หมุนตัวเดินหนีออกไปเสียก่อน
มู่เฟยหลวนเอนกายอยู่บนเตียงอย่างไร้เรี่ยวแรง นางเอื้อมมือหมายจะคว้าตัวหรงเฟยไว้อย่างยากลำบาก แต่หรงเฟยกลับเดินเร็วและอยู่ไกลเกินไป สุดท้ายนางเลยทำได้แค่ทิ้งมือลงข้างกายอย่างไร้เรี่ยวแรง “ช่วยหม่อมฉันที...ฝ่าบาท…” ในห้องที่ว่างเปล่าผุดเสียงอิดโรยแหบพร่าของมู่เฟยหลวนดังขึ้น
“พี่หญิงใหญ่” เสียงสาวน้อยดังขึ้นอย่างนุ่มนวลตรงหน้าประตู
มู่เฟยหลวนเงยหน้าขึ้นอย่างยากลำบาก ทว่าพอเห็นสาวน้อยในชุดสีขาวทั้งร่างยืนอยู่ตรงประตูเงียบๆ พลางมองนางด้วยรอยยิ้มงดงามแต่งแต้มบนใบหน้า แสงแดดอ่อนๆ ที่ส่องแผ่นหลังสาวน้อยแปรเปลี่ยนเป็นแสงเลือนรางอ่อนลงซึ่งยิ่งขับให้ใบหน้าของสาวน้อยงดงามราวกับนางฟ้าบนสรวงสวรรค์ ทว่าในสายตาของมู่เฟยหลวนแล้ว ฉากงดงามเช่นนี้กลับเหมือนภูตผีที่น่าสะอิดสะเอียนปีนขึ้นมาจากขุมนรกก็มิปาน นางเบิกตาโพลงด้วยความหวาดผวา เปล่งเสียงกรีดร้องอยู่ในลำคอแต่กลับพูดอะไรไม่ออก
มู่ชิงอีก้าวเข้ามาในห้อง จากนั้นก็มองหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงด้วยท่าทีสงบแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “พี่หญิงใหญ่ ยังสบายดีอยู่หรือไม่เจ้าคะ”
“มู่…มู่ชิง…อี” มู่เฟยหลวนเปล่งเสียงออกมาอย่างยากลำบาก
มู่ชิงอียกยิ้มมุมปากเล็กน้อยพลางเอ่ย “ไม่เจอกันแค่วันเดียว พี่หญิงใหญ่ก็พูดจาไม่คล่องแคล่วแล้วหรือ เป็นเช่นไรบ้าง…การเป็นคนโปรดปรานของฝ่าบาทที่น้องหญิงสี่มอบให้พี่หญิงใหญ่ พี่หญิงใหญ่รู้สึกเช่นใดบ้างเล่า” มู่เฟยหลวนเบิกตากว้างด้วยท่าทีหวาดกลัว ยกมือขึ้นหมายจะคว้าตัวมู่ชิงอีไว้ “เป็นเจ้า! เป็นเจ้า…”
มู่ชิงอีก้าวถอยไปด้านหลังก้าวหนึ่งอย่างว่องไวแล้วเอ่ยยิ้มๆ “เป็นข้าอะไรกัน ยาในกระถางธูปนั่นพี่หญิงใหญ่เป็นคนใส่ไว้เองมิใช่หรือ อืม…ข้าก็แค่รู้สึกว่าคงไม่พอเลยเพิ่มให้อีกนิดหน่อย เพื่อเลี่ยงไม่ให้ขัดอารมณ์พี่หญิงใหญ่เลยนะ เพียงแต่น้องเล็กคิดไม่ถึงเลยว่าพี่หญิงใหญ่…จะปรนนิบัติฝ่าบาทจนไม่นึกถึงชีวิต กระทั่งองค์ชายน้อยในครรภ์ยังรักษาไว้ไม่ได้เช่นนี้”
มู่เฟยหลวนสั่นไปทั้งร่าง ไม่รู้ว่าเพราะโกรธหรือตกใจกันแน่ สำหรับนางแล้วเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อวานเหมือนดั่งฝันร้ายที่เกิดขึ้นอย่างปุบปับ แผนการทุกอย่างที่วางไว้อย่างดีในตอนแรกกลับเริ่มวุ่นวายผิดแผนหลังจากที่มู่ชิงอีฟื้นขึ้นมา นางแอบใส่ยาปลุกกำหนัดลงในกระถางธูปเพื่อทำให้ฝ่าบาทควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ จากนั้น…พอย้อนนึกถึงความทุกข์ทรมานอันแสนเศร้าเหล่านั้นขึ้นมา มู่เฟยหลวนก็ยิ่งตัวสั่นหนักกว่าเดิม ราวกับสัตว์ป่าร้ายหิวกระหายในฉับพลัน ไร้ซึ่งการหักห้ามใจ ไร้ซึ่งความรักทะนุถนอม ตนทำได้เพียงอดกลั้นต่อความเจ็บปวดมหาศาลนั้น พร้อมรับรู้ได้ถึงลูกในท้องที่ค่อยๆ หายไปกับตาตัวเอง
ที่แท้ทุกอย่างล้วนเป็นฝีมือของนาง! นางย่อมรู้ยาที่ตนแอบใส่ดี ฝ่าบาทไม่มีทางเสียการควบคุมเช่นนี้ ที่แท้มู่ชิงอีก็เดาแผนการออกตั้งแต่แรกแล้วหรือ! ไม่สิ…ลงโหดเหี้ยมใจอำมหิตได้ขนาดนี้ นางไม่ใช่มู่ชิงอีที่อ่อนแอขี้ขลาดแน่นอน!
“เจ้า…ตกลงเจ้าเป็นใครกันแน่” มู่เฟยหลวนเอ่ยถามเสียงแหบ เมื่อวานนางถูกฮ่องเต้แคว้นหวาสั่งคนโยนนางเข้ามาอยู่ในตำหนักเย็นพร้อมความอิดโรยและบาดแผลระบมไปทั่วร่างกาย พอเปล่งเสียงออกมาก็เจ็บคอจนแทบทนไม่ไหว นางยังจำได้ไม่ลืมว่าเป็นเพราะฮ่องเต้แคว้นหวาทรงกริ้วถึงขั้นสุดเลยบีบคอนางเข้า
มู่ชิงอีกะพริบตาปริบๆ อย่างเอือมระอา นี่เป็นคนที่เท่าไรที่สงสัยตัวตนของนางกันนะ แต่เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ถึงแม้ตนจะไม่อยากให้ใครๆ ต่างพุ่งเป้ามาเรื่องนี้นัก แต่นิสัยของอีเอ๋อร์กับตนนั้นต่างกันลิบลับเหลือเกิน เพียงแต่น่าเสียดายที่มู่เฟยหลวนจะไม่มีโอกาสได้รู้ความจริงไปตลอดชีวิต