หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 216 คดีถูกใส่ร้ายของตระกูลกู้ (1)
เว่ยอู๋จี้ยิ้มเจื่อนพลางส่ายศีรษะ จากนั้นก็ประคองพาเชียนหลิงนั่งลงแล้วเอ่ย “ตอนมาแคว้นหวาครั้งนี้กระหม่อมผ่านทางแคว้นเย่ว์พอดี กระหม่อมแวะเข้าเฝ้าถวายความเคารพแด่ฮ่องเต้ด้วย” หลังจากพูดจบ กลิ่นอายรอบกายของหรงจิ่นก็เย็นยะเยือกราวกับบรรยากาศรอบด้านจับตัวกันเป็นก้อนน้ำแข็งในชั่วขณะก็มิปาน หรงจิ่นเอ่ยเสียงเย็นชา “เจ้าอยากพูดอะไรกันแน่”
เว่ยอู๋จี้เอ่ย “องค์ชายเก้าพูดเกินไปแล้ว เพียงแค่องค์ชายเก้าออกเดินทางไกลบ้านไกลเมืองเป็นครั้งแรก ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เลยไม่ค่อยวางพระทัย ฝากฝังให้กระหม่อมช่วยดูแลด้วยก็เท่านั้น ในเมื่อกระหม่อมรับปากฝ่าบาทมาแล้วก็คงมิอาจละเลยได้ อย่างน้อย…ดูว่าองค์ชายสุขสบายดีหรือไม่ เช่นนี้ถึงจะถือว่าทำภารกิจที่ฝ่าบาททรงฝากฝังมาสำเร็จมิใช่หรือ” หรงจิ่นยิ้มเย็นชาราวกับไม่พอใจที่เสด็จพ่อฝากฝังตนให้คนอื่นดูแล จากนั้นก็ยิ้มเย็นชากล่าว “ตอนนี้เจ้าเห็นแล้ว ก็คงกลับไปได้แล้วกระมัง” เว่ยอู๋จี้กวาดตามองเขาแล้วเอ่ยยิ้มๆ “ดูท่าทางองค์ชายเก้าจะไม่ต้องการให้กระหม่อมดูแลเลยจริงๆ”
“เหตุใดเว่ยอู๋จี้และแม่นางเชียนหลิงถึงมาอยู่ที่นี่ได้เล่า” ครั้นเห็นหรงจิ่นเผยสีหน้าดุดันเดือดพล่านเช่นนั้น มู่ชิงอีก็รีบเอ่ยตัดบทเว่ยอู๋จี้ หากสนทนาต่อไปนางกลัวว่าหรงจิ่นจะหยิบมีดมาแทงคนเอาได้
เว่ยอู๋จี้มองมู่ชิงอีพลางยิ้มเอ่ย “เชียนหลิงอยากทานขนมของศาลาชิงอาน ข้าเองก็ว่างพอดีเลยมากับนางด้วยเลย” เชียนหลิงที่นั่งอยู่ด้านข้างพร้อมน้ำตาคลอเบ้าดวงตาสุกใสฉีกยิ้มหวานอย่างเคอะเขิน หรงจิ่นแค่นเสียงเย็นชาทีหนึ่งแล้วเงยหน้าพิงริมหน้าต่างหลับตาลงเพื่อพักสายตา “รีบไล่พวกเขาไปเสีย เห็นหญิงอัปลักษณ์แล้วเสียสายตา”
มู่ชิงอีพยายามข่มอารมณ์ไม่ให้กระตุกยิ้มมุมปาก จากนั้นก็มองเชียนหลิงอย่างเห็นใจ เชียนหลิงสีหน้าซีดขาวขบริมฝีปากไม่พูดอะไร แต่มู่ชิงอีกลับมองเห็นความชิงชังเย็นชาในแววตาของนางอย่างชัดเจน สำหรับคนที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากความรักของเว่ยอู๋จี้อย่างเชียนหลิงแล้ว การด่าทอว่านางอัปลักษณ์เป็นเรื่องที่ทำให้เสียความรู้สึกมากจริงๆ เพราะความงามที่โดดเด่นเหนือใครนับว่าเป็นสิ่งที่นางภาคภูมิใจที่สุดแล้ว แต่ทว่าสาวงามบนโลกใบนี้ถึงจะมีไม่มากนักแต่ก็ไม่ถือว่าน้อยเช่นกัน
นางหันไปมองเว่ยอู๋จี้พลางพยักหน้าให้อย่างรู้สึกผิด เว่ยอู๋จี้ยกมือมาลูบไล้ปลอบโยนเชียนหลิงแล้วเอ่ยเสียงนุ่มนวล “องค์ชายเก้าอารมณ์ฉุนเฉียว เจ้าเองก็รู้ อย่าคิดเล็กคิดน้อยกับเขาเลย”
เชียนหลิงพยักหน้ารับพร้อมน้ำตา ฝืนยิ้มกล่าว “ข้ารู้…ข้าไม่สนใจหรอก”
เวลานี้เว่ยอู๋จี้ถึงประคองตัวเชียนหลิงขึ้นแล้วพยักหน้าให้มู่ชิงอี กล่าวขึ้นว่า “คุณชายจัง พวกเราต้องขอตัวก่อน”
“กลับดีๆ ขอไม่ไปส่งแล้วกัน” มู่ชิงอีเอ่ยเสียงเบา ครั้นเห็นเงาแผ่นหลังของเว่ยอู๋จี้พาเชียนหลิงเดินจากไปแล้ว มู่ชิงอีก็อดสบถขึ้นมาในใจไม่ได้ว่า เว่ยอู๋จี้ เจ้ารักเชียนหลิงจริงหรือ หรงจิ่นด่าทอนางแต่เจ้ากลับปลอบนางว่าหรงจิ่นอารมณ์ฉุนเฉียว ท่าทีอ่อนแอเช่นนั้นของเชียนหลิง ความจริงคงโกรธเจ้าจนภายในระบมแล้วมากกว่ากระมัง
มู่ชิงอีส่ายศีรษะแล้วมองหรงจิ่นที่หลับตาสงบสติอารมณ์ด้วยสีหน้าที่ยังดูไม่ดีเท่าไรนัก จากนั้นก็ยื่นมือไปสะกิดเขาเอ่ยด้วยเสียงเบาว่า “องค์ชายเก้า ท่านกับเว่ยอู๋จี้มีความแค้นอะไรกันแน่ ข้าไม่เคยเห็นท่านโกรธเกลียดใครขนาดนี้มาก่อนเลย” หรงจิ่นร้ายกาจก็จริง แต่พอเวลาผ่านไปเขาก็ลืมคนเหล่านั้นไปหมดแล้ว ทว่าเหมือนครั้งแรกที่เอ่ยถึงเว่ยอู๋จี้ผู้นี้ ปฏิกิริยาของหรงจิ่นก็ขึงขังมากพอสมควร กระทั่งสถานะคุณชายอวิ๋นอิ่นที่เก็บซ่อนไว้ยังมีปมแค้นกับเว่ยอู๋จี้ด้วย หากว่ากันตามกลอุบายของหรงจิ่น หากสถานะขององค์ชายเก้ามีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับเว่ยอู๋จี้ เช่นนั้นก็ต้องใช้สถานะของคุณชายอวิ๋นอิ่นไปชดเชย หรือจะบอกว่าตีสนิทไปอยู่ข้างกายศัตรูก็ได้ นอกเสียจากเขาจะทนบุคคลนี้ไม่ไหวแล้วจริงๆ
หรงจิ่นแค่นเสียงเบาทีหนึ่งเอ่ย “เว่ยอู๋จี้เป็นพวกหน้าไหว้หลังหลอก ชิงชิงอย่าไปสนใจเขาเลย ระวังโดนเขาหลอกเอาได้”
“หน้าไหว้หลังหลอกหรือ พูดเช่นนี้องค์ชายเก้าเคยโดนเขาหลอกหรือ” มู่ชิงอีเลิกคิ้วถาม
หรงจิ่นสีหน้ามืดมนมากกว่าเดิม กัดฟันเอ่ย “ตอนนั้นข้าเพิ่งอายุได้แปดชันษาเท่านั้น!”
มู่ชิงอีพยักหน้าอย่างกระอักกระอ่วนสื่อว่านางเข้าใจแล้ว แต่สีหน้าของหรงจิ่นกลับย่ำแย่มากกว่าเดิม ถึงแม้จะเติบโตมาจากในวัง แต่หรงจิ่นในวัยแปดชันษากลับไม่ได้ร้ายกาจและปลิ้นปล้อนเฉกเช่นตอนนี้ หากจะถูกเว่ยอู๋จี้ที่อายุสิบเจ็ดสิบแปดจัดการก็ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายอะไร ส่วนเรื่องนิสัยเหี้ยมโหดของเขา มู่ชิงอียังคงมุ่งมั่นเชื่อว่าต้องเป็นเพราะใครสักคนยุแหย่เขาแน่นอน แต่องค์ชายเก้าที่โดนกำราบมากลับรู้สึกละอายใจจนแปรเปลี่ยนเป็นความกล้าหาญ ผ่านไปไม่กี่ปีก็ตั้งฉายาว่าอวิ๋นอิ่นแล้วบุกไปถึงจวนจนเกือบฆ่าคู่หมั้นของเว่ยอู๋จี้ตาย
หรงจิ่นจับจ้องมู่ชิงอีด้วยความโกรธอยู่นาน จนในที่สุดความโกรธก็มลายหายไปเพราะรอยยิ้มสดใสบนใบหน้าของมู่ชิงอี จากนั้นก็มองมู่ชิงอีอย่างคาดหวังพลางเอ่ยว่า “เอาเป็นว่าชิงชิงห้ามทำดีกับเขา และต้องเกลียดเขาด้วย!”
มู่ชิงอีหมดคำพูด “องค์ชายเก้าดูจากอะไรถึงคิดว่าหม่อมฉันจะทำดีกับเขาหรือเพคะ” ลำพังแค่เชียนหลิงที่อ่อนแอราวกิ่งไม้พร้อมหักได้ทุกเมื่อตามติดเว่ยอู๋จี้ไม่ห่างนั่นแล้ว ในระยะเวลาอันสั้นนี้นางก็ไม่คิดจะไปมาหาสู่อะไรกับเว่ยอู๋จี้สักนิด เวลานี้หรงจิ่นถึงยิ้มอย่างพอใจ “ข้ารู้ว่าชิงชิงดีที่สุดแล้ว”
มู่ชิงอีกลอกตาไปมาอย่างเอือมระอาแต่ก็คร้านจะเปลี่ยนคำเรียก หรงจิ่นก้มหน้าลงมองข้างหน้าต่าง พลันเห็นเว่ยอู๋จี้ที่กำลังประคองเชียนหลิงอยู่ด้านล่างหันมามองทางหน้าต่างด้านบนโดยบังเอิญเข้าพอดี อีกทั้งยังพยักหน้าส่งยิ้มมาทางหรงจิ่นด้วย ทว่าดวงตางดงามของหรงจิ่นกลับส่องประกายไอสังหารพาดผ่าน
“องค์หญิง ท่านโหวและฮูหยินผู้เฒ่าเรียกพบเพคะ” เพิ่งกลับมาถึงจวนซู่เฉิงโหว บ่าวรับใช้ของมู่ฮูหยินผู้เฒ่าก็เดินมารายงาน บ่าวรับใช้ที่โอหังจองหองในอดีต เวลานี้กลับมองมู่ชิงอีด้วยความเคารพยำเกรง ไม่กล้าแสดงท่าทีกระด้างกระเดื่องแม้แต่น้อย ถึงแม้ที่นี่จะเป็นจวนซู่เฉิงโหว แต่คุณหนูสี่ก็เป็นถึงองค์หญิงที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งเอง ไม่ว่าเช่นไรก็มีตำแหน่งสูงศักดิ์กว่าท่านโหวและฮูหยินผู้เฒ่าอยู่มากโข ถึงท่านโหวและฮูหยินผู้เฒ่าอาจอาศัยสถานะไม่แสดงท่าทีเคารพเกรงขามต่อคุณหนูสี่ แต่บ่าวรับใช้อย่างพวกนางต่อให้จะเหิมเกริมเพียงใดก็ไม่กล้าแน่นอน
มู่ชิงอีเลิกคิ้วงามแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านโหวกับฮูหยินผู้เฒ่ามีเรื่องอันใดหรือ”
บ่าวรับใช้ผู้นั้นมองมู่ชิงอีพลางส่ายศีรษะอย่างอึดอัดใจ “บ่าวไม่ทราบเพคะ”
มู่ชิงอีเองก็ไม่ได้อยากทำให้บ่าวรับใช้ต้องลำบากใจเลยพยักหน้ากล่าว “ไปเถิด”
ยังไม่ทันเดินเข้าไปในห้องโถงของเรือนเต๋ออานก็ได้ยินเสียงร่ำไห้เสียงสะอึกสะอื้นของสะใภ้ซุนดังมาจากด้านในแล้ว มู่ชิงอีกลับแสดงสีหน้าไม่ใส่ใจนัก สะใภ้ซุนก็สมควรร้องไห้จริงๆ ในระยะเวลาอันสั้นบุตรชายเพียงคนเดียวและบุตรสาวที่เป็นหน้าเป็นตาที่สุดล้วนตายกันหมด บุตรสาวที่เหลือเพียงคนเดียวก็ต้องไปเกี่ยวดองที่แคว้นเป่ยฮั่นในเร็ววันนี้ หากนางไม่ร้องไห้มู่ชิงอีคงรู้สึกแปลกใจมากกว่า
พอย่างกรายเข้ามาในโถงเต๋ออาน มู่ชิงอีเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะมีใครเข้ามาแสดงความเคารพต่อองค์หญิงอย่างนาง ในเมื่อนางเองก็ไม่ได้ถือสถานะองค์หญิงเป็นจริงเป็นจังอะไร จากนั้นก็เดินไปหาที่นั่งแล้วนั่งลง ถึงค่อยเอ่ยเสียงเรียบว่า “มีเรื่องอันใดหรือ” ครั้นเห็นนางวางมาดเช่นนั้น แววตาของมู่ฉังหมิงจึงหม่นลงแล้วเปิดปากเอ่ย “ตกลงเรื่องการตายของมู่เฟยหลวนเป็นอย่างไรกันแน่”
หลังจากกวาดตามองมู่อวิ๋นหรงที่กอดคอร้องไห้กับสะใภ้ซุนแวบหนึ่ง มู่ชิงอีจึงยิ้มบางเอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านพ่อฟังที่พี่หญิงสามเล่าชัดเจนดีแล้วมิใช่หรือ หรือจะบอกว่า…ท่านพ่อไม่เชื่อ แล้วจะให้ข้าพูดอีกรอบอย่างนั้นหรือ”
มู่ฉังหมิงพลันหน้าเขียวด้วยความโกรธ ใช่ว่าเขาจะไม่เชื่อคำพูดของมู่อวิ๋นหรง เพราะเท่าที่เขารู้จักมู่หรงอวี้มาย่อมทำเรื่องเช่นนี้ได้อยู่แล้ว แต่พอเห็นท่าทีผ่อนคลายสบายๆ ของมู่ชิงอีเช่นนี้ ไฟโทสะในใจของมู่ฉังหมิงก็อดปะทุออกมาไม่ได้ “เฟยหลวนเป็นพี่สาวของเจ้า ในเมื่อนางตายแล้วจะไม่แสดงท่าทีเศร้าโศกหน่อยหรือ”