หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 219 คดีถูกใส่ร้ายของตระกูลกู้ (4)
ไม่เคยล่วงเกินอันใดอย่างนั้นหรือ! มู่ชิงอีมุ่นคิ้วปกปิดแววตาเย้ยหยันก่อนเอ่ยเสียงเรียบว่า “เชิญกงอ๋องกลับไปเถิด หมิงเจ๋อก็เป็นแค่องค์หญิงที่ถูกแต่งตั้งใหม่ตัวน้อยๆ คนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้มีอำนาจอิทธิพลใด ไม่ส่งผลใดกับกงอ๋องหรอกกระมัง กงอ๋องมาหาหม่อมฉันเองเช่นนี้ก็ทำให้หม่อมฉันรู้สึกได้รับความสำคัญจนเหนือความคาดหมายแล้วเพคะ”
มู่หรงอวี้แววตาเย็นยะเยือก “องค์หญิง…จะเป็นปฏิปักษ์กับข้าให้ได้เลยหรือ”
มู่ชิงอีปิดปากยิ้มน้อยๆ กล่าว “กงอ๋องพูดเกินไปแล้ว หรือว่า…หากไม่ได้อยู่ฝ่ายกงอ๋องก็ถือว่าเป็นปฏิปักษ์กับท่านแล้วอย่างนั้นหรือ หากเป็นเช่นนั้น…กงอ๋องคิดจะจัดการหม่อมฉันเช่นใดเล่าเพคะ เหมือนที่จัดการโหรวเฟยอย่างนั้นหรือ” มู่หรงอวี้สีหน้าเปลี่ยน ถลึงตาจับจ้องมู่ชิงอีอย่างดุดัน ทว่ามู่ชิงอีกลับแสดงท่าทีชั่งใจครู่หนึ่งก่อนจะฉีกยิ้มตาหยีเอ่ยไปประโยคหนึ่งว่า “เหตุใดท่านอ๋องต้องเกรี้ยวโกรธขนาดนั้นด้วยเล่า คนที่รู้เรื่องนี้…มีอยู่ไม่น้อย แม้แต่ท่านพ่อของหม่อมฉันยังรู้เลยเพคะ หรือว่ากงอ๋องคิดจะฆ่าปิดปากอย่างนั้นหรือ”
มู่หรงอวี้โมโหจนหน้าดำหน้าเขียว จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีกแล้วลุกขึ้นเดินหนีไปด้วยความโกรธ
“คุณหนู นี่กงอ๋อง…” อิ๋งเอ๋อร์มองไปทางประตูด้วยท่าทีกังวล ดูจากวิธีจัดการกับตระกูลกู้และโหรวเฟยของกงอ๋องแล้วก็พอจะมองออก คนที่แสดงท่าทีปฏิปักษ์กับเขา เขาย่อมไม่มีวันปล่อยไปแน่ มู่ชิงอียิ้มเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “หลายปีมานี้ใช้ชีวิตราบรื่นจนเกินไป มู่หรงอวี้คงคิดว่านอกจากฮ่องเต้แคว้นหวาก็ไม่มีใครต่อกรกับเขาได้แล้ว ช่าง…ไม่รู้อะไรเอาเสียเลย!” มีมารดาที่ภูมิหลังอ่อนแอเฉกเช่นเดียวกับมู่หรงเสีย กระทั่งมารดาของมู่หรงเสียลาโลกนี้ไปก่อนแล้ว แต่หลายปีมานี้มู่หรงเสียกลับค่อยๆ ก้าวเข้าไปอยู่ในราชสำนักได้อย่างมั่นคงโดยอาศัยความสามารถของตนเอง ทว่าตอนนั้นมู่หรงอวี้กลับอาศัยพี่ใหญ่และตระกูลกู้ถึงผงาดขึ้นมาได้ มู่หรงอวี้ไม่ได้เก่งกาจเหนือใครอย่างที่เขาเข้าใจเลยสักนิด
หากเทียบกับเรื่องมากมายที่ถาโถมเข้ามาในราชสำนักหลายวันมานี้ ตำหนักวังหลังก็แลดูเงียบสงบเป็นพิเศษ เหมือนว่าการตายของมู่เฟยหลวนจะไม่ได้ดึงดูดความสนใจของใครเลย โหรวเฟยที่เคยเชิดหน้าชูตากลับเงียบหายไปจากวังเหมือนดั่งสตรีที่ไม่ได้ผ่านรับการแต่งตั้งพระราชทินนามเหล่านั้นก็มิปาน
เนี่ยอวิ๋นจะเข้าวังนำข่าวในราชสำนักกลับไปทูลรายงานมู่ชิงอีทุกวัน ภายใต้การจู่โจมของมู่หรงเสียและมู่หรงจ้าวทั้งสองฝ่าย ถึงแม้ผู้ที่รับผิดชอบตรวจสอบเรื่องพวกนี้จะเป็นฝูอ๋องมู่หรงเค่อที่แต่ไหนแต่ไรมาเป็นกลางมาตลอด แต่หลังจากตรวจสอบเสร็จ ลูกน้องในมือของมู่หรงอวี้ก็ถูกมู่หรงเสียและมู่หรงจ้าวดึงเข้าพวกและจัดการทิ้งไปจนเกลี้ยง จวนกงอ๋องที่เคยรุ่งโรจน์ในวันวานก็ไร้ซึ่งชื่อเสียงอิทธิพลและพวกพ้องมากมายในราชสำนักไปเสียแล้ว
อีกทั้งข้อหาที่เหล่าขุนนางในราชสำนักกล่าวโทษมู่หรงอวี้ ถึงแม้มีครึ่งหนึ่งจะเป็นเรื่องใส่ร้ายกุข่าวขึ้นมาบ้าง แต่อย่างน้อยก็มีอีกครึ่งหนึ่งที่เป็นความจริง ส่วนมู่หรงอวี้ย่อมถูกฮ่องเต้แคว้นหวาสั่งสอนตำหนิยกใหญ่ไปทีอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่เรื่องนี้…ไม่ได้จบอย่างง่ายดายขนาดนั้น หลังจากนั้นไม่กี่วันมู่หรงจ้าวองค์ชายเจ็ดก็แพร่สะพัดข่าวอันน่าตกใจในราชสำนักและหมู่ราษฎรอีกครั้ง กล่าวว่าเมื่อสี่ปีก่อนคดีที่ตระกูลกู้ทรยศบ้านเมืองเป็นเรื่องถูกใส่ร้าย อีกอย่างผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังก็คือมู่หรงอวี้ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับมู่หรงซีองค์รัชทายาทในตอนนั้น
พอเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปก็เกิดเรื่องอลหม่านขึ้นมาทันที ต้องรู้ก่อนว่าตระกูลกู้เป็นขุนนางตำแหน่งใหญ่มาหลายชั่วอายุคน ลูกศิษย์ลูกหามีอยู่ทั่วใต้หล้า เพียงแต่ตอนนั้นฮ่องเต้แคว้นหวาทรงมีพระราชโองการลงมาเร็วเกินไปและฆ่าพวกเขาเร็วเกินไป ทุกคนไม่เพียงแต่จะตกใจกับความโหดเหี้ยมของฮ่องเต้แคว้นหวา ยิ่งไปกว่านั้นยังมีอีกหลายคนที่ยังไม่ทันรู้เรื่องอะไร ตระกูลก็ถูกฆ่าตายยกครัวไปแล้ว บัดนี้คดีถูกรื้อขึ้นมาใหม่อีกครั้ง จากนั้นเหล่าขุนนางลูกศิษย์ลูกหาของกู้เซียงก็ต่างร่ำร้องขอให้ฮ่องเต้แคว้นหวาตรวจสอบคดีตระกูลกู้ใหม่อีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นเหล่าขุนนางที่ไปประจำการต่างแคว้นและตระกูลผู้มีความรู้ในหมู่ราษฎรก็ค่อยๆ ออกมาเรียกร้องทวงความยุติธรรมให้ตระกูลกู้ ใช่ว่าไม่เห็นสีหน้าดำถมึงทึงของฮ่องเต้แคว้นหวา แต่มีสำนวนหนึ่งกล่าวไว้ว่า…กฎระเบียบเอาผิดคนจำนวนมากไม่ได้ ช่วงเวลาที่ความคิดเห็นของราษฎรกำลังปะทุดุเดือด ถึงแม้ฮ่องเต้จะเป็นกษัตริย์แห่งแว่นแคว้น แต่ก็คงเมินต่อความคิดเห็นของราษฎรไม่ได้ ภายใต้สถานการณ์จนใจเช่นนี้ ฮ่องเต้แคว้นหวาเลยทำได้แค่รับสั่งให้ตรวจสอบคดีตระกูลกู้ในปีนั้นใหม่อีกครั้ง
พระราชโองการนี้ของฝ่าบาทกลับเป็นการทำให้มู่หรงอวี้ตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่ แต่เพื่อเลี่ยงไม่ให้ตกเป็นผู้ต้องสงสัย เขาจึงเข้าไปยุ่มย่ามกับการตรวจสอบคดีใหม่ไม่ได้ ครั้งนี้ฮ่องเต้แคว้นหวาส่งให้ศาลอิงเทียนฝู่ ศาลต้าหลี่และฝ่ายศาลอาญาเป็นผู้ดูแลคดีนี้ ครั้นได้ยินเช่นนั้น มู่ชิงอีที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ริมหน้าต่างก็ผุดยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย
“หัวหน้าองครักษ์เนี่ย”
“พ่ะย่ะค่ะ องค์หญิง” เนี่ยอวิ๋นขานรับ นับตั้งแต่เขาพูดความจริงไปวันนั้น บรรยากาศเวลาพูดคุยกับองค์หญิงหมิงเจ๋อก็ดูแปลกๆ ทุกครั้งไป องค์หญิงหมิงเจ๋อไม่ได้โกรธแค้นก่นด่าอย่างที่เขาคิด กระทั่งแม้แต่นัยน์ตาก็ไม่ได้มีความโกรธแค้นใดๆ อีกด้วย แต่เนี่ยอวิ๋นรู้ดีว่าในใจขององค์หญิงหมิงเจ๋อไม่ได้ไร้ซึ่งความเคืองแค้นอย่างที่เห็น เพียงแต่องค์หญิงหมิงเจ๋อไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้แล้ว เพราะเหตุนี้เนี่ยอวิ๋นเลยแค่ทำตัวเป็นองครักษ์ที่อยู่ในกรอบเกณฑ์และคอยติดตามรับใช้นางไปอย่างเงียบๆ
มู่ชิงอีหันไปมองเขา เอ่ยเสียงเรียบ “ข้าจำได้ว่า…ใต้เท้าเซ่าเคยบอกว่าติดหนี้บุญคุณข้าอยู่ใช่หรือไม่”
เนี่ยอวิ๋นพลันเสียววาบขึ้นในใจ หลังจากได้ฟังเรื่องตระกูลกู้ จู่ๆ องค์หญิงหมิงเจ๋อก็เปิดปากถามเรื่องนี้ขึ้นมา แล้วเช่นนี้เนี่ยอวิ๋นจะยังไม่รู้เจตนาของนางได้อย่างไร เขาจึงเอ่ยด้วยท่าทีกลัดกลุ้มว่า “องค์หญิงไม่ควรเข้าไปก้าวก่ายกับเรื่องนี้” มู่ชิงอีคลี่ยิ้มกล่าว “เรื่องที่ควรทำและไม่ควรทำ ข้าก็ได้ทำมันมาหมดแล้วมิใช่หรือ” ครั้นเห็นสีหน้านิ่งขรึมของเนี่ยอวิ๋น มู่ชิงอีก็ส่ายหน้าแล้วยิ้มขึ้น “หัวหน้าองครักษ์ไม่ต้องเป็นห่วงไป ข้าไม่ได้คิดจะให้ใต้เท้าเซ่าเอาเรื่องงานมาหาผลประโยชน์ส่วนตัวเพื่อช่วยข้าหรอก ข้าก็แค่…หวังว่าใต้เท้าเซ่าพยายามเข้าหน่อย เพื่อ…ให้ความกระจ่างอันเป็นธรรมต่อตระกูลกู้ก็เท่านั้น”
เนี่ยอวิ๋นเอ่ยเสียงเรียบ “ฝ่าบาทคงไม่ได้หวังเช่นนั้น”
มู่ชิงอีหันกลับไปมองเนี่ยอวิ๋นด้วยท่าทีตกใจ เดิมทีนางนึกว่าเนี่ยอวิ๋นจงรักภักดีต่อฮ่องเต้แคว้นหวาด้วยความจริงใจโดยไม่สนใจเรื่องพวกนี้เลย คิดไม่ถึงว่าเขาจะเข้าใจความคิดของฮ่องเต้แคว้นหวามากขนาดนี้ด้วย จู่ๆ เนี่ยอวิ๋นก็แสดงท่าทีลำบากใจเพราะถูกจ้บจ้องจากมู่ชิงอี เขาเบือนหน้าหนีมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ถึงอย่างไรกระหม่อมก็ติดตามฝ่าบาทมานานหลายปี” เขาไม่ได้โง่สักหน่อย ต่อให้ไม่สนใจแต่ไม่มองก็ไม่ได้ พอนานวันเข้าเขาก็ย่อมมองเรื่องราวมากมายเหล่านั้นออกอยู่แล้ว
มู่ชิงอีคลี่ยิ้มหวานพยักหน้ากล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ใต้เท้าเนี่ยก็น่าจะรู้ดีว่าข้า…ก็แค่ขอความเป็นธรรมให้ตระกูลกู้ก็เท่านั้น ตระกูลกู้จงรักภักดีต่อบ้านเมืองมาตั้งหลายชั่วคน ถึงแม้จะไม่กล้าพูดว่าถึงขั้นยอมเสียสละได้ทุกอย่างแต่อย่างน้อยก็ควรละอายใจบ้าง ในเมื่อมีจุดจบเช่นนี้ หัวหน้าองครักษ์เนี่ยไม่รู้สึกผิดหวังบ้างหรือ”
เนี่ยอวิ๋นมองมู่ชิงอีแล้วเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีจริงจัง “ข้าจะบอกใต้เท้าเซ่า แต่เขาตัดสินใจจะทำเช่นใดก็ถือว่าเป็นเรื่องของเขา อีกเรื่อง…เนี่ยอวิ๋นเป็นคนติดค้างหนี้บุญคุณนี้ก็ให้เนี่ยอวิ๋นเป็นคนตอบแทนเอง กระหม่อมหวังว่าองค์หญิงจะไม่เอาเรื่องนี้…ไปทำให้เซ่าจิ่นกับจื่ออวี้ลำบากใจ”
มู่ชิงอีเงียบไปพักหนึ่งถึงเอ่ยเสียงเบาว่า “ขอโทษด้วย อาจเป็นเพราะ…พอได้ฟังเรื่องนี้ขึ้นมาเลยทำให้ข้า…วันหลังข้าจะไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้แล้ว”
เนี่ยอวิ๋นมองสาวน้อยที่จู่ๆ ก็นั่งสงบเสงี่ยมอยู่ริมหน้าต่างในฉับพลันแวบหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงทุ้มต่ำว่า “กระหม่อมขอตัวพ่ะย่ะค่ะ”
ในพระตำหนักฉินเจิ้ง ฮ่องเต้แคว้นหวามองของที่วางไม่เป็นระเบียบด้วยท่าทีหืดหอบ พอหันหน้าไปก็เห็นสาส์นกองโตบนโต๊ะซึ่งล้วนเป็นสาส์นเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้แก่ตระกูลกู้ทั้งสิ้น เจ้าคนพวกนี้หมายความอย่างไรกัน เรียกร้องขอความเป็นธรรมให้ตระกูลกู้เช่นนี้เพื่อสื่อว่าฮ่องเต้อย่างเขาเลอะเลือนจนสังหารขุนนางผู้จงรักภักดีไปอย่างนั้นหรือ
แต่ท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมายเขากลับเมินเฉยต่อเรื่องนี้ไม่ได้ มู่หรงเสียและมู่หรงจ้าวร่วมมือกันเอาหลักฐานมากมายมาให้ขนาดนี้ก็แสดงว่าคดีในตอนนั้นคงมีปัญหาจริงๆ เขามิอาจเมินต่อจุดที่น่าสงสัยเหล่านี้ต่อหน้าขุนนางทุกคนได้ เวลานี้เขานึกอิจฉาฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เหลือเกิน พวกเขาล้วนไม่ใช่ฮ่องเต้ที่นิสัยดีอะไรนัก แต่จุดที่มู่หรงเทียนอยู่สบายกว่าเขาไม่น้อย อย่างน้อยหากจะฆ่าขุนนางตายสักตระกูลหรือสองตระกูลก็ไม่มีใครกล้าซักไซ้ อีกอย่างเจ้าสี่กับเจ้าเจ็ด ไอ้ลูกชั่วสองคนนี้คิดจะต่อต้านเขาอย่างนั้นหรือ