หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 223 ฝูงชนต่อต้าน ญาติมิตรตีตัวออกห่าง (4)
บุรุษหนุ่มเลิกคิ้วเอ่ยขึ้นอย่างสนใจ “จวิ้นอ๋อง สถานการณ์ของท่านในตอนนี้จะมีอะไรแย่ไปกว่านี้อีกหรือ ควรรู้ไว้ว่า ทันทีที่ศาลอิงเทียนฝู่ ศาลอาญาและศาลต้าหลี่ตัดสินคดีเมื่อไร จวนผิงหนานจวิ้นอ๋องจะยังมีต่อไปหรือไม่คงไม่ต้องเอ่ยถึง เกรงว่าท่านอ๋องคงมีจุดจบเหมือนตระกูลกู้ในตอนนั้นเสียมากกว่า แต่ความจริงทุกอย่างประจักษ์สายตาให้ทุกคนได้รู้แล้ว เรื่องตระกูลกู้ในตอนนั้น…จะเป็นฝีมือของท่านจวิ้นอ๋องคนเดียวไปได้เช่นไร ยิ่งไปกว่านั้นการทำร้ายตระกูลกู้และผิงอ๋องก็ไม่เห็นจะให้ผลประโยชน์ใดกับท่านเลยด้วย”
จูเปี้ยนชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หยิบจดหมายบนโต๊ะขึ้นมาเอ่ยถามว่า “เรื่องในนี้…เป็นความจริงหรือ”
“เช่นนั้นข้าจะมาที่นี่เพื่อเพิ่มข้อหาใส่ร้ายป้ายสี นอกเหนือจากข้อหาวางแผนทำร้ายขุนนางผู้จงรักภักดีให้แก่จวิ้นอ๋องเพียงเท่านั้นหรือ” บุรุษหนุ่มไม่ได้ตอบแต่กลับย้อนถาม
จูเปี้ยนผ่อนลมหายใจเล็กน้อย พึมพำลังเลอยู่ครู่หนึ่งถึงเอ่ยถาม “หากข้าทำตามวิธีการในนี้ แต่…ถ้าพวกเจ้าผิดคำพูดขึ้นมาจะทำเช่นไร”
บุรุษหนุ่มเอ่ยตอบอย่างรำคาญใจ “ข้าก็ขอพูดประโยคเดิม บัดนี้จวิ้นอ๋องยังมีตัวเลือกอื่นอีกหรือ อีกอย่างแต่ไหนแต่ไรมา นายของข้าพูดคำไหนคำนั้น ขอแค่จวิ้นอ๋องทำตามที่จดหมายบอก นายของข้ารับประกันว่าสามารถคุ้มครองชีวิตของจวิ้นอ๋องได้”
จูเปี้ยนเผยแววตาโกรธแค้นพาดผ่านแวบหนึ่งแต่ยังไม่ระเบิดออกมาในทันที เขาเอ่ยเพียงว่า “ทำตัวลับๆ ล่อๆ ไม่แม้แต่จะกล้าเปิดเผยภูมิหลังชื่อเสียงเรียงนาม ข้าไม่มีทางเชื่อหรอก หากข้ายอมทำตาม แต่สุดท้ายถูกพวกเจ้าหลอกใช้งานขึ้นมา เช่นนั้นจะไม่เป็นการสร้างเรื่องอัปยศให้ตัวเองหรอกหรือ”
บุรุษหนุ่มถอนหายใจอย่างเอือมระอา “เอาเถิด จวิ้นอ๋องควรรู้ไว้ว่า…บนโลกนี้จะยังมีใครสนใจเรื่องคดีนี้อยู่อีก น่าจะเดาออกว่านายของข้าเป็นใครได้ไม่ยากแล้วกระมัง”
“นี่…” จูเปี้ยนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “หรือว่า…” บุรุษหนุ่มแค่นเสียงเบา “นอกจากเขาแล้วจะมีใครทำให้คนภายใต้อำนาจของมู่หรงอวี้คิดทรยศได้บ้างเล่า” จูเปี้ยนสีหน้าซีดเผือด “ผิง…องค์รัชทายาทหรือ” ความเก่งกาจของอดีตองค์รัชทายาทผู้นั้น พวกเขาเองก็เคยเรียนรู้มาก่อน หรือจะกล่าวได้ว่าเพราะความเก่งกาจของเขาผู้นั้นจึงทำให้คนมากมายเกิดความคิดอื่นๆ ขึ้นมา แต่ถึงอย่างไร…ติดตามรับใช้เจ้านายที่เลอะเลือนคนหนึ่งก็ยังผ่อนคลายกว่าติดตามรับใช้เจ้านายที่เข้มงวดและจริงจังอยู่มาก หลายปีมานี้ท่านผู้นั้นเก็บตัวเงียบไม่ออกปากออกเสียงอะไร พวกตนหลงนึกว่าเขาหมดสภาพไปแล้วคงไม่มีวันกลับมาผงาดได้อีก แต่กลับไม่รู้ว่าใช่ว่าตอนนั้นทุกคนอยากจะล้มเขาเสียทั้งหมด เพราะคนส่วนมากยังมีใจจงรักภักดีต่อท่านผู้นี้มิเสื่อมคลาย
บุรุษหนุ่มเอ่ยกับจูเปี้ยนว่า “จวิ้นอ๋องโปรดอย่ากังวลไปเลย นายของข้าไม่สนใจตำแหน่งนั่นสักนิด และไม่สนใจอยากได้ชีวิตของท่านด้วย ขอแค่ท่านทำตามที่บอกในจดหมายก็ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องชีวิตของท่านแล้ว วันข้างหน้านายของข้าก็จะไม่มายุ่งวุ่นวายกับท่านอีก”
จูเปี้ยนกัดฟันเอ่ย “ข้าต้องการเวลาคิดไตร่ตรอง”
บุรุษหนุ่มมองเขาด้วยสายตาลึกล้ำแวบหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จวิ้นอ๋องต้องไตร่ตรองให้ละเอียดก่อนจริงๆ ฝ่าบาทต้องการแพะรับบาปเพื่อให้ความกระจ่างแก่ปวงประชาราษฎร์ อีกทั้งสถานการณ์ในตอนนี้…หากแพะรับบาปผู้นั้นไม่ใช่กงอ๋องก็ต้องเป็นท่านแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าในสายตาของฝ่าบาทระหว่างท่านกับกงอ๋องใครจะสำคัญมากกว่ากัน อีกอย่าง…ถึงจวิ้นอ๋องไม่รับปากก็ไม่เป็นอะไร ในเมื่อคนที่พร้อมจะรับใช้นายท่านมีอยู่นับไม่ถ้วน ข้าขอตัว”
แม้แต่แรงเปล่งเสียงบอกว่าไม่ไปส่งก็ยังไม่มี จูเปี้ยนเพียงแต่จับจ้องจดหมายจากบุคคลนิรนามบนโต๊ะแน่นิ่งด้วยแววตาลังเล การตัดสินใจครั้งนี้ย่อมเกี่ยวพันกับความเป็นความตายของเขาอยู่แล้ว แต่ว่า…คำพูดของบุรุษผู้นั้นจะเชื่อถือได้จริงๆ หรือ
“ท่านอ๋อง” พระชายาผิงหนานมองท่าทีเหม่อลอยของจูเปี้ยนอย่างเป็นห่วง เมื่อจูเปี้ยนได้สติกลับมาก็รีบเก็บจดหมายอย่างระมัดระวังพร้อมเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าไปพักผ่อนก่อนเถิด เรื่องนี้…ไม่ต้องพูดกับใครทั้งนั้น” พระชายาผิงหนานย่อมเป็นคนรู้ว่าอะไรควรมิควรอยู่แล้ว นางรีบพยักหน้ารับ ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งถึงเอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านพี่ หม่อมฉันรู้สึกว่า…หากเป็นเขาท่านผู้นั้นจริงๆ อย่างน้อยก็น่าเชื่อถือกว่ากงอ๋องอยู่บ้าง”
จูเปี้ยนนิ่งเงียบไป ทว่าในใจกลับเห็นด้วยกับคำพูดของภรรยา หากเทียบกับมู่หรงอวี้แล้ว อย่างน้อยมู่หรงซีก็ไม่ธรรมดา อีกทั้งตอนนี้…หากคิดจะวิงวอนขอความช่วยเหลือจากมู่หรงอวี้ย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนี้แม้แต่มู่หรงอวี้เองยังเอาตัวไม่รอด แต่จูเปี้ยนคิดว่าการตายของจูหมิงเยียนต้องเป็นฝีมือของมู่หรงอวี้แน่นอน
เงียบไปพักใหญ่ ในที่สุดจูเปี้ยนก็ถอนหายใจเอ่ยขึ้น “พระชายาออกไปบอกคนที่เฝ้าอยู่นอกจวนทีว่าข้าอยากพบฝูอ๋อง”
นางพยักหน้าแล้วเดินออกไปอย่างเงียบๆ
ถึงแม้มู่หรงเค่อจะมีอายุมากที่สุดในบรรดาโอรสธิดาในเชื้อพระวงศ์ แต่ท่ามกลางเหล่าองค์ชายทั้งหลาย เขากลับมีสถานะต่ำต้อย เพราะมารดาของเขามาจากตระกูลต่ำต้อย อย่าว่าแต่เหล่าองค์ชายทั้งหลายไม่ยอมรับเขาเลย แม้แต่ญาติพี่น้องในราชวงศ์เองก็ไม่มีใครยอมรับเขาเหมือนกัน มู่หรงเค่อรู้ตัวเองดีว่าข้อบกพร่องที่ติดตัวมาแต่กำเนิดนี้ไม่สามารถชดเชยด้วยสิ่งใดได้ แต่ไหนแต่ไรมาเลยไม่สนใจชิงดีชิงเด่นอะไร ถึงอย่างไรต่อให้องค์ชายทุกคนตายหมด เสด็จพ่อก็ไม่มีทางแต่งตั้งเขาเป็นองค์รัชทายาท
ทว่าพอครั้งนี้ได้รับพระราชโองการของฮ่องเต้แคว้นหวาให้ตนตรวจสอบคดีของตระกูลกู้ใหม่อีกครั้ง มู่หรงเค่อก็ปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นมาทันที อีกทั้งนัยยะที่แฝงอยู่ในพระราชโองการนี้ก็คือให้เขารับผิดชอบเป็นหลัก ส่วนมู่หรงเสียและมู่หรงจ้าวเป็นผู้ช่วย มู่หรงเสียยังคุยด้วยง่าย เพราะอย่างน้อยก็ให้เกียรติกันบ้าง แต่มู่หรงจ้าวไม่เคยเก็บความรู้สึกว่าเขาดูแคลนพี่ใหญ่บุตรต่างมารดาผู้นี้สักครั้งเลย หากต้องมาทำงานร่วมกับสองคนนี้ มู่หรงเค่อยอมอยู่ในจวนไม่มีอะไรทำต่อไปเสียดีกว่า
เรื่องหลายวันต่อจากนั้นก็ได้ยืนยันความคิดของมู่หรงเค่อแล้ว และยิ่งทำให้มู่หรงเค่อไม่อยากสนใจเรื่องนี้เข้าไปใหญ่ เพราะต่อให้เขาจะทำเช่นไร น้องชายสองคนก็พยายามยัดเยียดความผิดไปให้น้องหกโดยไม่ต้องให้เขาใช้ความคิดเปลืองสมองเลย ดังนั้นตอนที่รู้ว่าผิงหนานจวิ้นอ๋องขอพบเขา มู่หรงเค่อกลับไม่นึกดีใจเลยสักนิด ยิ่งรู้สึกปวดศีรษะมากกว่าเดิม ทว่าพอเดินออกมาจากจวนผิงหนานจวิ้นอ๋อง มู่หรงเค่อก็ใช้คำว่าปวดศีรษะมาพรรณนาไม่ได้อีกต่อไป กระทั่งท่าเดินโงนเงนไปมาของเขายังชวนให้ใครต่อใครต่างนึกเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย
“ท่านอ๋อง?” องครักษ์ที่ยืนรออยู่หน้าประตูเห็นท่าทีเช่นนั้นของมู่หรงเค่อก็รีบถลาตัวเข้ามาเพื่อช่วยประคองเขา แต่มู่หรงเค่อปิดตาลงพลางโบกมือแล้วยังใช้มือดันมือขององครักษ์ออก “ไปเตรียมเกี้ยว ข้าต้องรีบเข้าวัง!” ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าท่านอ๋องมีเรื่องรีบร้อนใดถึงต้องรีบเข้าวัง แต่องครักษ์ก็รีบรับคำสั่งไปเตรียมเกี้ยวอย่างว่องไว มู่หรงเค่อหันกลับไปมองจวนผิงหนานจวิ้นอ๋องแวบหนึ่ง จากนั้นก็ถอนหายใจอย่างจนใจ น้องหก ครั้งนี้เจ้าเจอเรื่องใหญ่เข้าแล้วจริงๆ
“ท่านอ๋อง องค์ชายใหญ่ฝูอ๋องเข้าวังไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ในศาลาชิงอาน มู่หรงซีและกู้ซิ่วถิงกำลังนั่งเล่นหมากรุกกันอยู่ในห้องส่วนตัว เฝิงจื่อสุ่ยเดินเข้ามารายงานด้วยความนอบน้อม
กู้ซิ่วถิงเลิกคิ้วงามเอ่ยยิ้มๆ “ไปแล้วหรือ เช่นนั้นจื้ออ๋องกับองค์ชายเจ็ดเล่า”
เฝิงจื่อสุ่ยเอ่ยตอบ “ถึงแม้จื้ออ๋องและองค์ชายเจ็ดจะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแต่ก็ตามเข้าวังไปแล้ว อีกเรื่องจวนกงอ๋องเองก็น่าจะรู้ข่าวแล้วเช่นกัน จะส่งคนไปคุ้มกันทางจวนผิงหนานจวิ้นอ๋องหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” มู่หรงอวี้เป็นคนใจดำอำมหิต หากส่งคนไปสังหารจูเปี้ยนขึ้นมา พวกเขาคงต้องเสียเวลาวางแผนใหม่อีกครั้ง