หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 224 วันตัดสินความตายของจูซื่อ (1)
มู่หรงซีโบกมือยิ้มเอ่ย “ไม่ต้องหรอก ต่อให้ตอนนี้เขารู้ก็คงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม คนของมู่หรงเสียและมู่หรงจ้าวกำลังจับตาดูเขาอยู่” กู้ซิ่วถิงพยักหน้าเห็นด้วย เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องกังวลไปหรอก ก่อนหน้านี้ข้าเองก็เคยกำชับกับองค์ชายเจ็ดไว้ เขาต้องคุ้มกันจูเปี้ยนเป็นอย่างดีแน่นอน หากจู่ๆ ตอนนี้เราเข้าไปก้าวก่าย ในทางกลับกันจะทำให้คนอื่นนึกสงสัยเรามากกว่า”
มู่หรงซีเอ่ยพลางยิ้มพราย “เวลานี้มู่หรงอวี้น่าจะรู้แล้วกระมังว่ามีคนแอบวางแผนทำร้ายเขาอยู่” ความจริงยุแหย่ให้พวกลูกน้องของมู่หรงอวี้หันมาเข้าข้างศัตรู เขาก็น่าจะรู้แล้วว่าเป็นฝีมือใคร แต่ต่อให้เดาได้แล้วจะอย่างไรเล่า เขาไม่มีหลักฐาน และยิ่งไม่มีความสามารถใดจะมาต่อกรกับตนได้ ลำพังแค่มู่หรงเสียและมู่หรงจ้าวก็ทำให้เขาวุ่นวายมากพอแล้ว
กู้ซิ่วถิงพยักหน้าเอ่ย “เช่นนั้น…ตอนนี้จะส่งหลักฐานเรื่องที่จูซื่อแอบทำร้ายท่านอาหญิงเข้าวังไปเลยหรือไม่เล่า” ความจริงหลักฐานมีไม่มากนัก ในเมื่อเรื่องเกิดขึ้นเมื่อสิบกว่าปีก่อนแล้ว แต่หากเอามาเชื่อมโยงกับเรื่องที่มู่หรงซีถูกวางยาคงง่ายขึ้นมาก ถ้าไม่ใช่เพราะจูหมิงเยียน และถ้าไม่ใช่เพราะมู่หรงอวี้วางยามู่หรงซี บางทีพวกเขาก็อาจจะไม่รู้สาเหตุการตายของกู้ฮองเฮาไปชั่วชีวิตเลยก็ได้
มู่หรงซีพยักหน้า คิ้วที่ผูกกันเป็นปมก็คลายลงไม่น้อย เอ่ยเสียงเรียบว่า “เสด็จแม่เสด็จสวรรคตได้สิบกว่าปีแล้ว แต่บุตรชายอย่างข้ากลับไม่รู้แม้กระทั่งสาเหตุการตายของนา…ข้าช่างอกตัญญูยิ่งนัก” หลังจากกู้ฮองเฮาเสด็จสวรรคต ความสัมพันธ์ระหว่างมู่หรงซีและมู่หรงอวี้ก็ยิ่งสนิทสนมกันมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากกู้ซิ่วถิงแล้ว เขาแทบจะนับมู่หรงอวี้เป็นหนึ่งในพี่น้องที่เขาเชื่อใจมากที่สุดก็ว่าได้ กระทั่งเห็นแก่หน้าของมู่หรงอวี้ เขาเองก็ให้ความสำคัญกับจูซื่อไม่น้อยเหมือนกัน บัดนี้พอมาคิดๆ ดูแล้ว เขาไม่เพียงแค่อกตัญญูเท่านั้น แต่ยังโง่เขลามากอีกด้วย
“พี่ชาย ท่านอาหญิงไม่มีทางโทษท่านหรอก” กู้ซิ่วถิงเอ่ยพลางถอนหายใจเสียงเบา “ผ่านมาตั้งหลายปี พวกเราเองก็ไม่มีใครเดาความคิดของมู่หรงอวี้ได้เหมือนกัน”
สามารถหลอกมู่หรงซีและกู้ซิ่วถิงได้ กระทั่งหลอกทุกคนในตระกูลกู้ได้ คงต้องยอมรับว่าเจ้าตัวแสบอย่างมู่หรงอวี้แสดงละครตบตาได้แยบยลนัก หรือบางที…ตอนแรกอาจจะไม่ได้เสแสร้ง ในเมื่อคนที่เติบโตมาจากในวังเช่นพวกเขา ถ้าหากมีความคิดแอบแฝงอยากเข้ามาตีซี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายดายขนาดนั้น คงกล่าวได้แค่ว่า…ใจคนยากแท้หยั่งถึง
“ท่านอ๋อง ฝ่าบาทมีรับสั่งให้เข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ของจวนผิงอ๋องนอกประตูรีบพุ่งพรวดเข้ามา
มู่หรงซีฉีกยิ้มแต่งแต้มใบหน้า หยัดกายลุกขึ้นเอ่ยด้วยท่าทีสบายๆ “ข้ารู้แล้ว”
พระตำหนักเฉียนชิงเป็นสถานที่ปรึกษาหารือเรื่องงานราชการในแคว้นหวา ยามปกติตอนประชุมราชสำนักช่วงเช้าถึงจะมีคนปรากฏกายอยู่ที่นี่ เพียงแต่ตอนนี้ล่วงเลยเวลาประชุมราชสำนักตอนเช้ามานานมากแล้ว ทว่าในพระตำหนักเฉียนชิงยังคงมีคนยืนอยู่ไม่น้อย กระทั่งฮ่องเต้แคว้นหวาก็ยังคงนั่งอยู่ด้านบนด้วยท่าทีเกรี้ยวโกรธเช่นกัน
“ทูลฝ่าบาท ผิงอ๋องขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเฝ้าประตูเอ่ยกราบทูลตรงหน้าประตูอย่างระมัดระวัง
ฮ่องเต้แคว้นหวาเงยหน้าขึ้นมาตรัสเสียงเรียบ “ให้เข้ามา”
มู่หรงซีสวมชุดผ้าแพรธรรมดาสีฟ้าอ่อนค่อยๆ สาวเท้าเดินเข้ามา เมื่อเทียบกับคนในพระตำหนักที่สวมชุดทางการยิ่งใหญ่หรือกระทั่งองค์ชายคนอื่นๆ ที่สวมชุดตำแหน่งชินอ๋องกลับขับให้เขาดูแปลกตาไม่น้อย ตรงหว่างคิ้วแต่งแต้มรอยยิ้มอ่อนล้าจางๆ ยิ่งเขาแบ่งแยกความต่างชัดเจนขนาดนี้ก็ยิ่งเหมือนว่าพวกเขามากันคนละเวลาอย่างสิ้นเชิง
“กระหม่อมมู่หรงซี ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” มู่หรงซีถลกชายผ้าขึ้นแล้วก้มลงเอ่ยทำความเคารพอย่างนอบน้อม
ทุกคนที่นั่งอยู่ต่างอดสูดหายใจเฮือกหนึ่งไม่ได้ ถึงแม้ผิงอ๋องจะไม่ได้เข้ามาในราชสำนักหลายปีแล้ว แต่ก็คงไม่ถึงขั้นลืมกฎระเบียบหรือขนบธรรมเนียมหรอกกระมัง แม้แต่คำว่าเสด็จพ่อยังไม่ปริเสียงเรียกสักคำ ผิงอ๋องมีความกล้าขนาดนี้เชียวหรือ
ในพระตำหนักตกอยู่ในความสงบ ทุกคนต่างมองหน้ากัน องค์ชายทั้งหลายขมวดคิ้วมองมู่หรงซีที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น กระทั่งมู่หรงจ้าวที่ใจกล้าบ้าบิ่นยังแอบเหลือบมองฮ่องเต้แคว้นหวาแวบหนึ่ง เพราะกลัวว่าเขาจะระเบิดอารมณ์ขึ้นมาในเวลานี้
“ลุกขึ้นเถิด” ผ่านไปนาน ในที่สุดก็ได้ยินเสียงของฮ่องเต้แคว้นหวาดังขึ้น ทว่าพระองค์กลับมิได้ทรงกริ้วอย่างที่คาดเอาไว้ มู่หรงซีหยัดกายลุกขึ้น “ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากลุกขึ้น มู่หรงซีกลับไม่ได้รีบร้อนพูดอะไร เพียงแค่กวาดตามองทุกคนในนั้นอย่างช้าๆ รอบหนึ่ง มู่หรงเค่อสีหน้าสุขุมเยือกเย็น องค์ชายสามและองค์ชายห้าไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น สีหน้านิ่งขรึมของมู่หรงเสีย สีหน้าได้ใจของมู่หรงจ้าว และสีหน้าเรียบตึงที่แฝงไปด้วยท่าทีลนลานกระวนกระวายใจของมู่หรงอวี้
“น้องสอง” มู่หรงเค่อเอ่ยทักเสียงขรึมสื่อให้เขามายืนข้างตน มู่หรงเค่อไม่รู้ว่าเหตุใดคนที่นิ่งเงียบมาตลอดอย่างน้องสอง จู่ๆ วันนี้ถึงนึกทำตัวผิดปกติเหิมเกริมราวกับกำลังท้าทายความอดทนของเสด็จพ่ออยู่ก็มิปาน แต่เขาไม่อยากเห็นสีหน้ากริ้วเช่นนั้นของเสด็จพ่อแล้วจริงๆ ไม่ว่าจะทำใส่ตนหรือไม่ก็ตาม
มู่หรงซีสาวเท้าเดินไปยืนด้านหลังมู่หรงเค่ออย่างช้าๆ ฮ่องเต้แคว้นหวากวาดตามองเหล่าองค์ชายด้านล่างแวบหนึ่ง เอ่ยเสียงเรียบ “มาครบแล้วหรือ”
มู่หรงจ้าวเหลือบมองมู่หรงอวี้แล้วเอ่ยตอบ “เสด็จพ่อ เสด็จพ่อเรียกพวกเรามาในเวลานี้มีเรื่องอันใดรับสั่งอย่างนั้นหรือ”
ฮ่องเต้แคว้นหวาแค่นเสียงเย็นชาตรัสขึ้นว่า “เจ้านี่ช่างขยันดีจริงๆ”
ครั้นได้ยินเหมือนเสด็จพ่อไม่ได้โกรธตน มู่หรงจ้าวจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “การแสดงความจงรักภักดีต่อเสด็จพ่อย่อมเป็นเรื่องของลูกและเหล่าขุนนางอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
พวกเขาเพิ่งได้ยินข่าวว่าผิงหนานจวิ้นอ๋องขอพบมู่หรงเค่อ ยังไม่ทันถามไถ่เรื่องราวใดๆ ก็ถูกฮ่องเต้แคว้นหวาเรียกเข้าวังแล้ว แต่มู่หรงจ้าวรู้ดีว่าจูเปี้ยนอยากพบมู่หรงเค่อ หลังจากนั้นมู่หรงเค่อก็ไม่กล้าตัดสินคดีโดยพลการแต่เข้าวังมากราบทูลเสด็จพ่อเช่นนี้ย่อมต้องเป็นเรื่องเกี่ยวพันกับมู่หรงอวี้อยู่แล้ว
พอมองเหล่าขุนนางในนั้น หากจะกล่าวว่าเป็นขุนนางสู้กล่าวว่าเป็นเหล่าญาติในเชื้อพระวงศ์เสียยังดีกว่า เพราะล้วนมีแต่ขุนนางชั้นสูงและคนในเชื้อพระวงศ์ทั้งสิ้นโดยไม่มีขุนนางธรรมดาสักคน มู่หรงจ้าวรู้แก่ใจดีว่าฮ่องเต้แคว้นหวาน่าจะอยากจัดการเรื่องส่วนตัวภายในเชื้อพระวงศ์ ทว่าเขากลับนึกแปลกใจว่ามู่หรงอวี้จะโดนเรื่องอะไรอีก เขายังจำได้เมื่อวานจังชิงบอกว่าวันนี้จะมีละครสนุกๆ ให้ดู หรือจะหมายถึงเรื่องนี้กันนะ
ฮ่องเต้แคว้นหวากวาดตามองมู่หรงอวี้ด้วยสายตาเย็นชา มู่หรงอวี้สังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมาทันที แต่สถานการณ์ของเขาในตอนนี้ถือว่าย่ำแย่มากพอแล้ว ตอนนั้นที่เขาทำร้ายตระกูลกู้และโค่นอำนาจของมู่หรงซีนับว่าเป็นเดิมพันที่อันตรายที่สุดและได้รับผลประโยชน์มากที่สุดในชีวิตเขาแล้ว แม้แต่เรื่องนี้ยังถูกเปิดโปง แล้วตอนนี้จะมีเรื่องที่แย่มากกว่านี้อีกหรือ
“เอาตัวมา” ฮ่องเต้แคว้นหวาตรัสเสียงเย็นยะเยือกไร้สึกความรู้สึกใดๆ ราวกับคนที่ให้เอาตัวมาไม่ใช่คน แต่เป็นเพียงสิ่งของที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดด้วยก็มิปาน
หญิงสาวสวมชุดสีเขียวอ่อนคนหนึ่งถูกคนจับตัวเข้ามาในโถงว่าราชการ หญิงสาวผู้นั้นใบหน้าสะสวย ถึงแม้จะดูมีอายุแต่ก็ยังคงไว้ด้วยความสง่างาม สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือ…พวกเขาคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี นางก็คือมารดาแท้ๆ ของมู่หรงอวี้ อวิ๋นกุ้ยเหรินในตอนนี้…หรือก็คือจูซื่อ
“ฝ่าบาท ฮองเฮาและพระสนมคนอื่นๆ มาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ให้พวกเขาเข้ามาเถิด” ฮ่องเต้แคว้นหวาตรัสเช่นนั้น พระตำหนักเฉียนชิงแตกต่างออกไปเพราะไม่ใช่พระตำหนักใช้บรรทมของฮ่องเต้ พระตำหนักเฉียนชิงมีไว้ใช้ประชุมว่าราชการตอนเช้า ปรึกษาหาเรื่องเรื่องงานต่างๆ ของฮ่องเต้ เหล่าสตรีจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามา แต่ก็มีกรณียกเว้นอย่างเช่นเรื่องนี้ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องในอดีตของเหล่าพระสนม
หลังจากนั้นฮองเฮาที่สวมชุดหงส์สีเหลืองก็เดินเข้ามา ด้านหลังมีเหล่าสนมสวมชุดทางการแต่ละตำแหน่งและองค์หญิงคนอื่นๆ เดินเข้ามาด้วย เดิมทีมู่ชิงอีเป็นองค์หญิงที่ฮ่องเต้แคว้นหวาแต่งตั้งน่าจะไม่ต้องมาเข้าร่วมเหมือนองค์หญิงหมิงเหอและองค์หญิงไหวหยาง แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดฮองเฮาถึงได้พานางมาด้วย