หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 226 วันตัดสินความตายของจูซื่อ (3)
“หืม?” ฮ่องเต้แคว้นหวาจับจ้องมู่หรงซีแล้วตรัสขึ้นว่า “เราเองก็ได้ยินมาว่าหลายปีมานี้สุขภาพของเจ้าไม่ค่อยดีนัก เป็นเพราะถูกใครวางยา หรือเจ้าเองก็ไม่รู้อะไรเลยอย่างนั้นหรือ”
มู่หรงซีคลี่ยิ้มบางเผยสีหน้าไม่ใส่ใจ เอ่ยว่า “ถ้าใช่แล้วอย่างไรหรือ ถ้าไม่ใช่แล้วอย่างไรหรือ”
“น้องสอง…” ข้างกายเขา มู่หรงเค่อแทบอดใจไม่ไหวอยากเอื้อมมือไปแตะหน้าผากเขาเหลือเกิน วันนี้น้องชายผู้นี้เป็นอะไรไป เหมือนจงใจมายั่วโมโหเสด็จพ่อโดยเฉพาะ แต่ในฐานะองค์ชาย ต่อให้เจ้าจะขัดเคืองฮ่องเต้เช่นไรแต่ก็ทำได้แค่อดทนเอาไว้เท่านั้น
ฮ่องเต้แตว้นหวาแค่นเสียงเบาทีหนึ่งตรัสเสียงขรึม “สองวันก่อนข้าส่งจ้าวเฉิงไปตรวจอาการผิงอ๋องดูแล้ว จ้าวเฉิง”
ไม่รู้ว่าหมอหลวงจ้าวถูกคนพาตัวมานั่งอยู่มุมหนึ่งในพระตำหนักนี้ตั้งแต่เมื่อไร ทันทีที่ได้ยินฮ่องเต้แคว้นหวาเรียกชื่อ เขาก็รีบลุกขึ้น “กระหม่อมอยู่ตรงนี้พ่ะย่ะค่ะ”
“ว่ามาเถิด สุขภาพของผิงอ๋องเป็นเช่นใดบ้าง”
จ้าวเฉิงน้อมรับพระบัญชา เขามองทุกคนที่นั่งอยู่แล้วเอ่ยเสียงขรึม “ผิงอ๋องถูกวางยาพิษโดยอาการจะแสดงออกมาอย่างช้าๆ คำนวณจากเวลาคงโดนพิษมาราวสามถึงสี่ปีแล้ว อาการเหมือนอดีตฮองเฮาไม่มีผิด โปรดฝ่าบาทประทานอภัย กระหม่อมความรู้ตื้นเขินนักจึงวินิจฉัยไม่ได้ว่าผิงอ๋องโดนพิษอันใดไปในระยะเวลาอันสั้นนี้”
ฮ่องเต้แคว้นหวาโบกมือเป็นสัญญาณสื่อว่าให้จ้าวเฉิงออกไป จากนั้นก็เลื่อนสายตามาจับจ้องจูซื่อและมู่หรงอวี้ เอ่ยปากตรัสถาม “พวกเจ้ามีเรื่องอันใดจะพูดอีกหรือไม่”
มู่หรงอวี้เอ่ยเสียงขรึม “เสด็จพ่อทรงให้ความเป็นธรรมด้วย แม้แต่หมอหลวงจ้าวยังไม่รู้ว่าเป็นพิษอะไร เช่นนั้นพี่สองก็อาจจะไม่ได้โดนพิษก็เป็นได้ มีคนเจตนาใช้เรื่องนี้ใส่ร้ายลูกและท่านแม่ชัดๆ ตอนนั้นในวังมีหมอหลวงตั้งมากมาย กระทั่งว่าอดีตฮองเฮาป่วยหรือโดนพิษก็ยังแยกแยะไม่ได้เชียวหรือ”
มู่หรงจ้าวที่ยืนอยู่ด้านข้างยิ้มเย้ยหยันเอ่ย “พี่หก จากที่ข้ารู้มาตอนนั้นอดีตฮองเฮาจะติดนิสัยชอบใช้หมอหลวงเพียงคนเดียว อีกทั้งหมอหลวงผู้นั้น…ไม่สิ ควรจะบอกว่าหมอหลวงที่ตรวจอาการให้นางหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยหลังจากอดีตฮองเฮาเสด็จสวรรคต ข้าได้ยินมาว่าหนึ่งในนั้น…เหมือนจะเป็นคนบ้านเดียวกับอวิ๋นกุ้ยเหรินด้วย”
มู่หรงอวี้เอ่ยเสียงเย็นชา “ตอนนั้นน้องเจ็ดเพิ่งอายุได้ไม่กี่ชันษา แต่กลับจดจำได้อย่างแม่นยำนัก”
มู่หรงจ้าวย่อมรู้อยู่แล้วว่าเขาหมายความว่าอย่างไรแต่กลับไม่สนใจ เพราะเรื่องครั้งนี้ไม่ใช่ฝีมือของเขา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ เขาก็ยินดียั่วโมโหให้มู่หรงอวี้อารมณ์เสียอยู่แล้ว
หลังจากโต้เถียงกันไปมา คนมากมายในนั้นต่างก็เชื่อว่าสองแม่ลูกมู่หรงอวี้เป็นคนลอบทำร้ายอดีตฮองเฮาและผิงอ๋องจริงๆ ถึงแม้จะไม่มีหลักฐานแน่ชัด แต่แววตาที่ทุกคนใช้มองมู่หรงอวี้นั้นแตกต่างจากเดิม
หากก่อนหน้านี้มู่หรงอวี้ยอมรับในอำนาจของมู่หรงซีแล้วไม่รุกรานมู่หรงซีเป็นระยะๆ เช่นนั้นก็นับว่าเป็นแค่การอกตัญญูลืมคุณ ทว่าการกระทำในตอนนี้เรียกได้ว่าใจดำอำมหิต โหดเหี้ยมน่าขยะแขยงได้เลย ใครจะไปคิดว่ามู่หรงอวี้ที่แสนอ่อนโยนสง่างามในวันวานจะใจเหี้ยมโหดได้ถึงเพียงนี้ ความจริงก็ไม่ได้เหนือความคาดคิดอะไรมากนัก เพราะดูจากวิธีการที่มู่หรงอวี้ปฏิบัติต่อคุณใหญ่ตระกูลกู้ก็พอจะดูออกว่าจิตใจของคนผู้นี้เป็นอย่างไรแล้วมิใช่หรือ
ครั้นได้รับสายตาแปลกๆ จากคนมากมายในพระตำหนัก มู่หรงอวี้ก็เผยสีหน้าเกรี้ยวโกรธ กัดฟันไม่ปริปากพูดอะไรออกมาอีก เขารู้แก่ใจดีว่าไม่ว่าเช่นไรเขาก็จะยอมรับผิดเรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด ทันทีที่ยอมรับผิดชีวิตนี้ก็คงไม่มีทางหวนกลับมาได้ใหม่อีกครั้ง เขาใช้แววตาเย็นยะเยือกกวาดมองมู่หรงเสียและมู่หรงจ้าว หากไม่ใช่เพราะสองคนนี้…
“กงอ๋อง เจ้ามีอะไรจะพูดอีกหรือไม่” ฮ่องเต้แคว้นหวาตรัสถามเสียงเรียบ เขาคิดจะสลัดโอรสผู้นี้ทิ้งแล้วจริงๆ ไม่แน่หากเป็นเมื่อก่อนฮ่องเต้แคว้นหวาอาจรู้สึกผิดต่อบุตรชายผู้นี้อยู่บ้าง แต่ดูทรงจากตอนนี้แล้วความผิดที่ทำต้องได้รับโทษ ถึงแม้ฮ่องเต้แคว้นหวาจะไม่ได้ติดใจเรื่องที่เหล่าบุตรชายตนแอบชิงดีชิงเด่นกัน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะชอบใจที่พวกเขาเข่นฆ่ากันเองเช่นนี้ วันนี้พวกเขาถึงขนาดกล้าฆ่าผู้เป็นพี่ แล้ววันหน้าจะไม่คิดฆ่าพ่อเลยหรือ!
“ลูกโดนใส่ร้าย ลูกไม่เคยทำเรื่องเช่นนั้นเลยพ่ะย่ะค่ะ โปรดเสด็จพ่อให้ความเป็นธรรมด้วย พี่สองมีบุญคุณต่อข้าล้นฟ้า ลูกย่อมไม่มีทางทำเรื่องไร้คุณธรรมเช่นนั้นได้พ่ะย่ะค่ะ” มู่หรงอวี้เอ่ยเสียงหนักแน่น กระทั่งท่าทีที่แสดงออกมาก็ดูจริงใจไม่เบา เพียงแต่น่าเสียดายที่คนทั่วพระตำหนักไม่ได้หลอกง่ายขนาดนั้น มีท่านอ๋องในเชื้อพระวงศ์คนหนึ่งเอ่ยแค่นเสียงเย็นชาว่า “ในเมื่อบุญคุณล้นฟ้า เช่นนั้นยามที่ผิงอ๋องตกทุกข์ได้ยากก็มิเห็นกงอ๋องจะช่วยอันใดผิงอ๋องเลยมิใช่หรือ”
มู่หรงอวี้ต่อบทสนทนาไม่ถูก จู่ๆ จูซื่อที่คุกเข่าอยู่ข้างกายมู่หรงอวี้ก็เงยหน้ากัดฟันเอ่ย “ฝ่าบาท เป็นความผิดของหม่อมฉันเอง โปรดฝ่าบาททรงลงโทษหม่อมฉันเถิด เรื่องทั้งหมดไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับอวี้เอ๋อร์ทั้งสิ้น เขาไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น!”
“ท่านแม่” มู่หรงอวี้มองจูซื่อด้วยท่าทีตื่นตกใจ จูซื่อมองมู่หรงอวี้พร้อมน้ำตาแวบหนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าให้ฮ่องเต้แคว้นหวา “เรื่องทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของหม่อมฉันทั้งหมด โปรดฝ่าบาททรงลงโทษด้วยเถิด”
มู่หรงจ้าวยิ้มเย้ยหยันอย่างไม่สบอารมณ์ ใครๆ ก็ดูออกว่าจูซื่อคิดจะเสียสละตัวเอง
ฮ่องเต้แคว้นหวาจับจ้องนางพลางตรัสขึ้นว่า “พูดเช่นนี้…เจ้ายอมรับว่าเจ้าวางยาพิษอดีตฮองเฮาแล้วหรือ”
จูซื่อยิ้มขมขื่น “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว หม่อมฉันจะไม่ยอมรับได้ด้วยหรือเพคะ”
ฮ่องเต้แคว้นหวายิ้มเย็นชาตรัสเสียงเรียบ “ดี เจ้าช่างใจกล้านัก กงอ๋อง เจ้าว่าอย่างไร”
มู่หรงอวี้มองจูซื่อด้วยท่าทีตกตะลึง การกระทำบุ่มบ่ามเช่นนี้ของจูซื่อทำเอาเขาตั้งตัวไม่ทัน เวลานี้เขาทำเพียงมองมารดาแน่นิ่งไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
จูซื่อมองบุตรชาย เขาเป็นบุตรชายที่โดดเด่นที่สุดของนางแล้ว ชั่วชีวิตนี้นางไม่เคยมีอะไรโดดเด่นสักอย่าง ทั้งรูปโฉมงดงามหรือความสามารถปราดเปรื่อง คนในวังที่อยากกดหัวนางให้จมดินมีถมเถเต็มไปหมด แต่สิ่งที่ทำให้นางภาคภูมิใจมากที่สุดก็คือบุตรชายที่ทั้งฉลาด เก่งกาจ และกตัญญูต่อนางผู้นี้ ไม่ว่าเช่นไรนางก็ต้องปกป้องบุตรชายผู้นี้ของนาง
“ลูก…” มู่หรงอวี้มองจูซื่ออยู่นาน ในที่สุดก็กัดฟันเอ่ยโดยไม่สนใจมารดาอีกต่อไป “ลูกมิทราบพ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้!” มู่หรงจ้าวกรีดร้องขึ้นอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ พวกเขาไม่ได้อยู่ตรงนี้เพื่อดูเสด็จพ่อลงโทษคนตัวเล็กๆ อย่างอวิ๋นกุ้ยเหริน หากครั้งนี้ปล่อยให้มู่หรงอวี้รอดตัวไปได้ตนคงจะโมโหมากจริงๆ
“ต่อให้เจ้าจะไม่รู้เรื่องที่อวิ๋นกุ้ยเหรินลอบฆ่าอดีตฮองเฮา แต่เจ้าจะไม่รู้เรื่องที่พี่สองโดนวางยาพิษได้เช่นไร พี่สองประทับอยู่นอกวัง สนมตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะมีความสามารถวางยาพิษองค์ชายที่อยู่นอกวังได้อย่างไรกัน” มู่หรงจ้าวสบถออกมาด้วยความโกรธ ตนกล้ารับประกันได้เลยว่ามู่หรงอวี้ไม่เพียงแค่รู้เรื่องของมู่หรงซีเท่านั้น แต่เป็นฝีมือของเขาเองด้วย
ครั้นได้ยินมู่หรงอวี้พูดเช่นนั้น แม้จูซื่อจะพอใจแต่ก็เจ็บปวดใจอยู่บ้าง ทว่าฝืนเรียกสติกลับมาแล้วย้อนถามมู่หรงจ้าวกลับไปว่า “องค์ชายเจ็ดรั้นจะให้เรื่องนี้เป็นความผิดของกงอ๋องให้ได้เลยหรือ หรือว่าองค์ชายเจ็ดเห็นกงอ๋องขัดหูขัดตา จึงจะยัดข้อหาทำร้ายพี่ชายให้ได้หรืออย่างไรกัน”
มู่หรงเสียที่ปิดปากเงียบมาตลอดเอ่ยขึ้น “อวิ๋นกุ้ยเหรินพูดเกินไปแล้ว น้องเจ็ดก็แค่อยากสืบหาความจริงให้พี่สอง จะได้ช่วยให้อดีตฮองเฮาที่อยู่ใต้พระแม่ธรณีนอนตายตาหลับก็เท่านั้น ในเมื่อพวกเขาต่างหากที่เป็นผู้เคราะห์ร้ายมิใช่หรือ”
เพียงประโยคเดียวก็ทำเอาทุกสายตาเปลี่ยนทิศทางมามองมู่หรงซีที่ปิดปากเงียบมาตลอด
มู่หรงซีเงยหน้าขึ้นมองคนทั่วทั้งตำหนักด้วยสีหน้าราบเรียบ จากนั้นก็หันกลับไปมองพวกเขาสองคนที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น เอ่ยถามขึ้นว่า “อดีตฮองเฮาทำอะไรให้อวิ๋นกุ้ยเหรินไม่พอใจอย่างนั้นหรือ”
จูซื่อเงียบไป กู้ฮองเฮาไม่ได้ทำอะไรให้นางไม่พอใจเลย ในฐานะฮองเฮาคนหนึ่ง ความจริงกู้ฮองเฮาปฏิบัติหน้าที่ไม่ขาดตกบกพร่องอะไรสักนิด นางไม่ได้กดหัวนางสนมคนใดและปฏิบัติต่อองค์ชายที่ไม่ได้เป็นคนโปรดของฝ่าบาทอย่างดีทุกคน แต่ว่า…ตำหนักวังหลังก็เปรียบเสมือนสนามศึกมาตั้งแต่แรกแล้วมิใช่หรือ นางอยากปูทางไว้ให้บุตรชายของตนเลยจำเป็นต้องกำจัดภูผาที่อยู่สูงเฉียดฟ้าอย่างกู้ฮองเฮาก่อน ถึงแม้บุตรชายของฮองเฮาองค์ปัจจุบันและบุตรชายของอดีตฮองเฮาจะเป็นบุตรชายภรรยาเอกเหมือนกัน แต่กลับมีความแตกต่างอยู่ไม่น้อยทีเดียว