หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 247 ลักพาตัวในค่ำคืนมืดมิด (1)
“ตวนอ๋องช้าก่อน” มู่หรงอวี้ชะงักอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเรียกรั้งหรงเหยี่ยนไว้ตามปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกาย จากนั้นก็จับจ้องหรงเหยี่ยนที่ยืนแน่นิ่ง ทว่าชั่ววินาทีนั้นเขากลับไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
หรงเหยี่ยนหันไปมองมู่หรงอวี้อย่างไม่ใส่ใจ เอ่ยขึ้นว่า “ข้าเห็นว่าเจ้าเป็นสหายจริงๆ ควรรู้ไว้ด้วยว่าตอนนี้ข้าอยู่ในแคว้นหวา การทำเรื่องเช่นนี้ ข้าเองก็แบกรับความเสี่ยงเอาไว้ไม่น้อยเลย”
มู่หรงอวี้เผยสีหน้าอ่อนลงเล็กน้อยก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “ความเสี่ยงหรือ เกรงว่าตวนอ๋องได้ผลประโยชน์เยอะมากกว่ากระมัง หากเวลานี้ภารกิจสำเร็จแล้วตวนอ๋องกลับแคว้นเย่ว์ไป ต่อให้ไม่ได้ขึ้นเป็นองค์รัชทายาท อย่างน้อยก็เรียกได้ว่าเป็นที่หนึ่งในบรรดาองค์ชายคนอื่นๆ แน่นอน”
หรงเหยี่ยนเองก็ไม่สนใจที่เขามองจุดประสงค์ของตนออก เพียงแค่ยักไหล่เอ่ยยิ้มๆ “นี่มันก็แน่นอนอยู่แล้ว เรื่องที่มีผลประโยชน์ร่วมกันถึงจะมีคนอยากทำมิใช่หรือ”
มู่หรงอวี้เอ่ย “ผลประโยชน์ร่วมกัน ข้าไม่เห็นผลประโยชน์ร่วมกันตรงไหนเลยสักนิด” หากทำตามข้อเสนอของหรงเหยี่ยน ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ สุดท้ายเขาก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะไม่มีวันกลับมาผงาดได้ใหม่ ถึงแม้สถานการณ์ในตอนนี้จะไม่ต่างกันเลยก็ตาม
หรงเหยี่ยนเลิกคิ้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จะเป็นไปได้เช่นไรเล่า หากสำเร็จขึ้นมาจริงๆ กงอ๋องก็ตามข้ากลับแคว้นเย่ว์ไป ข้ารับประกันความปลอดภัยของเจ้า”
“เจ้าจะให้ข้าบากหน้าไปพึ่งพาเจ้าอย่างนั้นหรือ” มู่หรงอวี้มุ่นคิ้วเอ่ยถาม
“เปล่าเลย ข้ารับรองว่ากงอ๋องจะมีสถานะที่มีหน้ามีตา รวมถึงแคว้นหวาเองก็จะหาเรื่องวุ่นวายด้วยไม่ได้อีก กระทั่ง…ข้าจะทูลขอให้เสด็จพ่อแต่งตั้งเจ้าเป็นอ๋องด้วย หรือไม่ก็…กงอ๋องอาจจะร่วมมือกับแคว้นเย่ว์ วันข้างหน้าแคว้นเย่ว์ก็จะช่วยกงอ๋องชิงบัลลังก์ กงอ๋องก็จะได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ปกครองแว่นแคว้นเหมือนเดิม”
มู่หรงอวี้หรี่ตา “ข้าจะเชื่อเจ้าได้เช่นไร” แผนการที่หรงเหยี่ยนเสนอดูสวยงามจนเกินไป แต่อย่างน้อยสถานการณ์ของมู่หรงอวี้ในตอนนี้กล่าวได้ว่านั่นถือเป็นยาชั้นดีที่จะช่วยชีวิตเขาได้ แต่ทุกอย่างเป็นเพียงความคิดเพ้อฝัน พูดปากเปล่าไม่มีอะไรน่าเชื่อถือ แล้วมู่หรงอวี้จะเชื่อเขาได้เช่นไรเล่า
เหมือนหรงเหยี่ยนจะเดาได้ตั้งแต่แรกแล้วว่ามู่หรงอวี้ไม่มีทางเชื่อคำพูดง่ายๆ เขาจึงล้วงหยิบของสิ่งหนึ่งขึ้นมาพลางยกยิ้ม “เจ้านี่ กงอ๋องคงรู้จักกระมัง”
มู่หรงอวี้ผงะไป เขาย่อมรู้จักเจ้านี่อยู่แล้ว นี่เป็นตราประทับประจำตัวของฮ่องเต้แคว้นหวา ตราประทับนี้ไม่ได้มีประโยชน์ใดมากนัก เพราะไม่สามารถประทับรับรองพระราชโองการใดของฮ่องเต้ได้ อีกทั้งผลลัพธ์ก็สู้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ไม่ได้ แต่คนที่ได้ตราประทับนี้จะทูลขอสิ่งที่ปรารถนาจากฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ได้หนึ่งข้อ หากไม่เป็นการทำร้ายแคว้นเย่ว์ ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ต้องตอบรับคำขอนั้น
ตราประทับนี้เป็นสิ่งที่ฮ่องเต้ผู้สถาปนาแคว้นเย่ว์ทิ้งเอาไว้ ในขณะเดียวกันยังตั้งกฎอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรด้วย หากลูกหลานรุ่นหลังๆ คนใดฝ่าฝืนกฎก็ถือว่าไม่คู่ควรที่จะเป็นฮ่องเต้อีก
เพราะเกี่ยวพันกับเรื่องยิ่งใหญ่สำคัญ ดังนั้นฮ่องเต้ในอดีตที่ผ่านมาของแคว้นเย่ว์จึงเก็บไว้ในคลังเก็บของส่วนตัวอย่างระมัดระวัง เพื่อเลี่ยงไม่ให้ใครเห็นเข้าจนฉกฉวยโอกาสขโมยไป คิดไม่ถึงว่าบัดนี้จะมาอยู่ในมือของหรงเหยี่ยนเสียได้
หรงเหยี่ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นสิ่งที่เสด็จพ่อประทานให้ข้าก่อนจะออกจากแคว้น สื่อว่าอนุญาตให้ข้ากระทำการโดยพลการได้ ต่อให้ข้าชิงลงมือเอาเจ้าสิ่งนี้มอบให้กงอ๋องก่อน เสด็จพ่อก็ไม่มีทางกริ้วแน่นอน พอถึงตอนนั้นกงอ๋องค่อยขอให้แคว้นเย่ว์ช่วยกงอ๋อง…ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้สักหน่อย ข้าออกคำสั่งให้ม้าเร็วไปส่งจดหมายวิงวอนขอเสด็จพ่อแล้ว หากทันเวลา ไม่แน่เจ้านี่อาจไม่จำเป็นด้วยซ้ำ”
ครั้นได้ยินหรงเหยี่ยนกล่าวว่ากราบทูลฮ่องเต้แคว้นเย่ว์แล้ว มู่หรงอวี้ก็แสดงอาการไม่พอใจ “ข้ายังไม่ได้รับปาก”
“หากรอองค์ชายตกปากรับคำแล้วค่อยกราบทูลเสด็จพ่อคงไม่ทันการแล้ว” หรงเหยี่ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
มู่หรงอวี้เงียบไป แต่สุดท้ายก็ยังตัดสินใจไม่ได้ เขากัดฟันพูด “ข้าต้องการเวลา”
หรงเหยี่ยนเองก็ไม่ได้ใส่ใจนัก คลี่ยิ้มเอ่ย “ไม่เป็นไร ขอแค่ข้ายังอยู่ในแคว้นหวา ข้อตกลงของเราก็ยังถือว่ามีผลอยู่”
เมื่อเห็นหรงเหยี่ยนฉีกยิ้มแต่งแต้มทั่วใบหน้า มู่หรงอวี้กลับยิ่งมีสีหน้าหม่นหมอง ท่าทางของหรงเหยี่ยนเหมือนกำหนดไว้แล้วว่าอย่างไรเสียสุดท้ายเขาก็ต้องหวั่นไหวตามไปด้วย เขาไม่อยากทำแบบนั้นแต่เขาก็หลอกตัวเองไม่ได้เช่นกัน เพราะบางครั้งเขาก็แอบหวั่นไหวไปด้วยจริงๆ
พิธีศพของมู่หรงอานผ่านไปอย่างเรียบง่าย ไม่มีใครจำได้เลยว่าเคยมีองค์ชายที่ทำตัวผยองโอหังไปทั่วเมืองแคว้นหวาในช่วงเวลาหนึ่ง ไม่เพียงแต่คนที่ไม่มีเกี่ยวข้องเท่านั้น เพราะพ่อแม่ พี่น้อง หรือกระทั่งพี่ชายแท้ๆ คลานตามมาจากท้องแม่เดียวกันก็ยังไม่จดจำคะนึงหาถึงเขาเลย เพราะมู่หรงอวี้มีเรื่องมากมายที่สำคัญกว่าต้องจัดการ
ฮ่องเต้แคว้นหวาสลัดมู่หรงอวี้ทิ้งอย่างแท้จริงแล้ว อีกทั้งด้วยนิสัยแก่นแท้ของฮ่องเต้แคว้นหวาเองก็ไม่ใช่คนจิตใจดีมีเมตตาอะไร ดังนั้นย่อมไม่มีทางใจอ่อนกับบุตรชายอีกคนหนึ่งเพราะบุตรชายอีกคนหนึ่งตายแน่นอน การสืบสวนของมู่หรงเสียและมู่หรงจ้าวก็ดำเนินต่อไปอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ถึงแม้มู่หรงอวี้จะออกไปจากจวนกงอ๋องไม่ได้แต่ก็มีสายข่าวของตนเองเช่นกัน อีกอย่างข่าวที่เขาได้รับก็ยิ่งไม่เป็นผลดีกับเขาเข้าไปทุกที
กระทั่งตวนอ๋องแอบให้คนมาส่งข่าวหนึ่งจนสั่นคลอนความคิดของมู่หรงอวี้อย่างถึงที่สุด…เพราะการร่วมมือกันระหว่างมู่หรงจ้าวและมู่หรงเสียเพื่อจัดการตนในครั้งนี้กลับมีกู้ซิ่วถิงที่เคยหนีเอาตัวรอดจากเงื้อมมือตนไปได้ก่อนหน้านี้แอบวางแผนให้อย่างลับๆ แม้แต่มู่หรงจ้าวยังถูกกู้ซิ่วถิงหลอกใช้งานไปด้วย ถึงแม้ทางฝั่งมู่หรงเสียจะไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเป็นฝีมือของกู้ซิ่วถิง แต่มู่หรงอวี้มั่นใจเช่นกันว่าเรื่องนี้ไม่มีทางขาดกู้ซิ่วถิงไปได้
ข่าวนี้ทำเอามู่หรงอวี้เกรี้ยวโกรธจนคิดหนักมากกว่าเดิม เดิมทีเขาเข้าใจเรื่องแคว้นหวามากกว่าหรงเหยี่ยน เพียงแต่บัดนี้ถูกขังอยู่ในจวนกงอ๋องเลยทำให้แสดงศักยภาพออกมาไม่ได้ ครั้นได้รับข่าวนี้มา มู่หรงอวี้ก็แทบจะวิเคราะห์ได้ในทันที จากนั้นก็ยิ่งรู้เรื่องบางอย่างที่น่าตกใจยิ่งกว่าเดิม
เขารู้ตั้งแต่แรกว่าการหนีเอาตัวรอดของกู้ซิ่วถิงถูกวางแผนไว้ก่อนแล้ว แต่ใครร่วมมือวางแผนตีขนาบด้านนอกและด้านในไปพร้อมกับกู้ซิ่วถิงนั้นไม่มีทางเป็นมู่หรงซีอย่างแน่นอน เพราะตอนนั้นมู่หรงซีถูกตนและฝ่ายมีอำนาจคนอื่นๆ คอยจับตาดูอยู่จึงขยับตัวทำอะไรไม่ได้ หากเขาจัดการเรื่องพวกนี้โดยไม่สนใจอะไรเลย กู้ซิ่วถิงและกู้อวิ๋นเกอก็คงไม่ต้องทนทุกข์ทรมานตลอดหลายปีนั้น คนในตระกูลกู้ล้วนตายกันไปหมดแล้ว ดังนั้นมีเพียงคนเดียวบนโลกใบนี้ที่จะมีความเกี่ยวข้องกับกู้ซิ่วถิงได้ นอกจากมู่หรงซีแล้ว ก็มีเพียงคนเดียว…มู่ชิงอี
ทุกคนถูกหญิงสาวที่ดูอ่อนโยนไร้พิษภัยคนหนึ่งปั่นหัวกันหมด ถึงแม้เขาจะรู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่ามู่ชิงอีไม่ได้ใสซื่อดั่งภาพลักษณ์ที่เห็น แต่เขาก็ยังประเมินหญิงสาวคนนี้ต่ำไปอยู่ดี
“มู่ชิงอี!” มู่หรงอวี้กัดฟันแน่น เขาไม่เชื่อ และยิ่งกว่านั้นคือความไม่พอใจ เขาไม่อยากเชื่อว่าคนที่มีความสามารถเหนือใคร คนที่กล่าวได้ว่าโดดเด่นที่สุดในบรรดาองค์ชายโดยไม่ละอายใจเลยสักนิดอย่างเขาจะพ่ายแพ้ให้กับยัยเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งอย่างมู่ชิงอีได้! ปีนี้มู่ชิงอายุเพียงสิบหกปีเท่านั้น ต่อให้เริ่มเฉลียวฉลาดมาตั้งแต่อยู่ในท้องก็ไม่มีทางเก่งกาจได้ถึงขนาดนี้ หรือจะเป็นปีศาจร้ายจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ใช่ว่าจะไม่คุ้นเคยกับมู่ชิงอีเลย แต่ไหนแต่ไรมามู่ชิงอีไม่เคยหลักแหลมเช่นนี้มาก่อน หากบอกว่าหลายปีมานี้นางแสร้งโง่เขลาล่ะก็ เช่นนั้นตอนที่ตระกูกู้และจังฮูหยินยังอยู่ มู่ชิงอีไม่จำเป็นต้องเก็บซ่อนความสามารถของตนไว้เลยถึงจะถูก
เขาไม่พอใจ เพราะแผนการที่เขาเปลืองแรงทุ่มเทมาตลอดสิบกว่าปีนี้จะล้มไม่เป็นท่าอย่างง่ายดายขนาดนี้เชียวหรือ!
ยามค่ำคืนดึกสงัด มู่ชิงอีกำลังนั่งพลิกเปิดหนังสือภายใต้แสงไฟอยู่ในห้องนอน ณ จวนซู่เฉิงโหว ครั้นอ่านๆ ไปก็สติล่องลอยไปที่ใดสักแห่งโดยไม่รู้ตัว นางค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงสูดกลิ่นหอมเย็นเบาบางในห้อง จากนั้นริมฝีปากก็อดคลี่ยิ้มบางออกมาไม่ได้
ตึก… เสียงเคลื่อนไหวเบาๆ ผุดขึ้นเรียกมู่ชิงอีให้ตื่นจากภวังค์ นางเงยหน้าขึ้นมองต้นตอของเสียงด้วยท่าทีดุดัน “ใครกัน!”