หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 249 ลักพาตัวในค่ำคืนมืดมิด (3)
“อะไรนะ!” มู่ฉังหมิงชะงักไป เขาเห็นเพียงแสงประกายจากดาบในมืออีกข้างของมู่หรงอวี้ สององครักษ์ที่เพิ่งเดินติดตามมาพร้อมกับมู่ฉังหมิง รวมถึงองครักษ์สองสามคนที่ได้ยินเสียงดังมาจากเรือนหลานจื่อต่างถูกอาวุธจู่โจมนอนสิ้นใจอยู่บนพื้น แม้แต่เสียงที่จุกอยู่ตรงลำคอยังเปล่งไม่ออกด้วยซ้ำ
มู่ชิงอีขมวดคิ้วมุ่นแล้วก้มมององครักษ์ประจำเรือนหลานจื่อ ในบรรดาคนเหล่านี้มีบางส่วนที่เป็นองครักษ์ที่เฝิงจื่อสุ่ยส่งมา ถึงแม้จะไม่ถือว่าเป็นยอดฝีมือแต่มือเท้ากลับว่องไวไม่น้อย คิดไม่ถึงว่ามาได้ไม่นานก็จบชีวิตลงแล้ว
มู่หรงอวี้มองมู่ฉังหมิงแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เวลานี้ ท้องฟ้ารับรู้ ผืนดินรับรู้ เจ้ารู้ ข้ารู้ ข้าจะเอาตัวนางไปได้หรือยัง”
“เหตุใดท่านอ๋องถึงรั้นจะเอาตัวนางไปให้ได้หรือ” มู่ฉังหมิงเอ่ยถามพลางขมวดคิ้ว
มู่หรงอวี้เลิกคิ้วเอ่ย “ไม่ใช่ว่าเจ้ายังไม่รู้หรอกกระมัง ซู่เฉิงโหว บุตรสาวผู้นี้ของเจ้าสุดยอดกว่าบุตรสาวบุตรชายทั้งหมดของเจ้ารวมกันเสียอีก ข้าตกมาอยู่ในจุดนี้ได้ต้องขอบคุณแผนการขององค์หญิงหมิงเจ๋อ แน่นอนว่าจูเปี้ยนและซู่เฉิงโหวด้วย คิดไม่ถึงว่าในระหว่างนี้จะสมรู้ร่วมคิดกับกู้ซิ่วถิงและมู่หรงซีโดยที่ทุกคนไม่รู้เนื้อรู้ตัว ความสามารถเช่นนี้…ท่านโหว เหตุใดตอนนั้นถึงส่งตัวมู่เฟยหลวนเข้าวังเล่า หากเจ้าส่งตัวองค์หญิงหมิงเจ๋อผู้นี้ไป เกรงว่าคงจะไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันที่เจ้าจะกลายเป็นพ่อตาของฮ่องเต้”
“อะไรนะ!” มู่ฉังหมิงจับจ้องมู่ชิงอีด้วยท่าทีตกตะลึง มู่หรงอวี้แค่นเสียงเย็นชาทีหนึ่งเอ่ย “เอาตัวกู้ซิ่วถิงจากเงื้อมมือข้าไปได้ ทำร้ายน้องแปด ร่วมมือกับมู่หรงซี มู่หรงเสียและมู่หรงจ้าวตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับข้า กระทั่งตอนนี้ข้ายังสงสัยว่า…เรื่องจิ่วจ่วนหลิงหลงในตอนนั้นก็เป็นฝีมือขององค์หญิงหมิงเจ๋อด้วยกระมัง”
ภายใต้สายตาตกตะลึงของมู่ฉังหมิง มู่ชิงอีคลี่ยิ้มบางเอ่ย “องค์ชายหกมีหลักฐานหรือ หรือจะบอกว่า…องค์ชายหกกล้ากราบทูลต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทเช่นนี้หรือ”
มู่หรงอวี้จับจ้องมู่ชิงอีแน่นิ่ง เอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็นชา “ใช่ ข้ามิกล้า แต่ว่า…ข้ามีวิธีจัดการเจ้าที่ดีกว่านั้น!”
มู่หรงอวี้จับกุมตัวมู่ชิงอีไว้โดยไม่สนใจมู่ฉังหมิงที่อยู่ข้างกายอีกแล้วเดินออกจวนไป มู่ฉังหมิงมัวแต่ตะลึงงันกับเรื่องที่ได้ยินเมื่อครู่จนยังไม่ได้สติกลับมา แม้แต่ตอนที่พวกมู่หรงอวี้เดินจากไปก็เหมือนจะมองไม่เห็นด้วยซ้ำ
หลังจากมู่หรงอวี้ออกจากจวนซู่เฉิงโหวมาก็พาตัวมู่ชิงอีลอยตัวออกนอกเมืองไป ถึงแม้ยามนี้จะมืดสนิทแต่เห็นได้ชัดว่ามู่หรงอวี้กลับคุ้นเคยกับทุกซอกทุกมุมของเมืองหลวงเป็นอย่างดี กระทั่งทำให้เขาสามารถพาคนๆ หนึ่งออกนอกเมืองได้อย่างราบรื่น
หลังจากเดินทางอย่างรวดเร็วท่ามกลางราตรีอันมืดมิด สุดท้ายมู่ชิงอีก็ถูกโยนเข้าไปอยู่ในห้องเรียบง่ายทรุดโทรมแห่งหนึ่ง มู่ชิงอีขมวดคิ้วพลางลุกขึ้นสำรวจการตกแต่งห้อง ชั่วขณะนั้นนางไม่แน่ใจนักว่าที่นี่คือที่ใด
มู่ชิงอีเอ่ยถามเสียงเรียบพลางจับจ้องแววตาดุดันของมู่หรงอวี้ตรงหน้า “องค์ชายหก ดึกดื่นป่านนี้แล้วลักพาตัวหม่อมฉันมาที่นี่มีเจตนาใดหรือ”
มู่หรงอวี้มองนางแล้วเอ่ยถาม “ตกลงเจ้าเป็นใครกันแน่”
มู่ชิงอีเลิกคิ้วยิ้มถาม “หากองค์ชายหกไม่รู้ว่าหม่อมฉันเป็นใครแล้วจะลักพาตัวหม่อมฉันมาได้อย่างไรเล่าเพคะ”
มู่หรงอวี้เอ่ยอย่างรำคาญใจ “เจ้าไม่ใช่มู่ชิงอีแน่นอน! มู่ชิงอีไม่ได้เป็นคนเจ้าแผนการเฉกเช่นเจ้า!”
มู่ชิงอีคลี่ยิ้มบางกล่าว “องค์ชายหกชมว่าหม่อมฉันฉลาดมากก็ได้เพคะ” มู่หรงอวี้แค่นเสียงเย็นชา “เจ้าคิดว่าพูดจาอ้อมค้อมกลบเกลื่อนประเด็นเช่นนี้จะมีประโยชน์หรือ เจ้าเคยเจอกู้ซิ่วถิงมาแล้วย่อมรู้ฝีมือของข้าดี ข้าคิดว่ากะโหลกของเจ้าก็คงไม่ได้แข็งไปกว่ากะโหลกของกู้ซิ่วถิงเท่าไรกระมัง”
มู่ชิงอีหลุบตาลงเอ่ยเสียงเรียบ “ในเมื่อเอ่ยถึง…พี่ชายแล้ว หม่อมฉันกลับค่อนข้างแปลกใจนัก เหตุใดองค์ชายหกถึงรู้ว่าเรื่องครั้งนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับพี่ชายเล่า”
มู่หรงอวี้เอ่ยเสียงเย็นยะเยือก “เจ้าคิดว่าพวกเจ้าจัดการอะไรได้โดยไม่มีช่องโหวเลยหรือ”
“อย่างน้อยองค์ชายหกก็ควรจะรู้หลังจบเรื่องแล้วมิใช่หรือ” หากเรื่องของพวกเขาหลุดช่องโหว่ให้เห็นก่อน มู่หรงอวี้ไม่มีทางเพิ่งมาจับได้ตอนนี้แน่นอน
“หม่อมฉันเดาว่า…คงมีใครบอกองค์ชายหกมากกว่ากระมัง คงไม่มีทางเป็นตระกูลเว่ยและองค์ชายเจ็ดได้ เพราะต่อให้พวกเขารู้ก็ไม่มีทางบอกท่านแน่นอน แต่นอกจากพวกเขาแล้ว…บางทีอาจเป็นคนอื่นล่วงรู้เรื่องนี้มาจากพวกเขาเข้าแล้วส่งข่าวบอกองค์ชายหกมากกว่า ได้ยินว่าระยะนี้องค์ชายหกกับตวนอ๋องไปมาหาสู่กันบ่อยๆ”
มู่หรงอวี้ใจหายวาบ หรี่ตาเอ่ย “ใครบอกเจ้าว่าข้ากับตวนอ๋องไปมาหาสู่กันบ่อยๆ” ครั้นนึกถึงเรื่องใหญ่อย่างแผนการลับระหว่างเขากับหรงเหยี่ยน มู่หรงอวี้ก็อดระหวาดระแวงไม่ได้ เพราะหากล้มเหลวขึ้นมา เกรงว่าเขาคงอับจนหนทางกระทั่งหนีออกจากเมืองหลวงไปไม่ได้
มู่ชิงอีเอียงศีรษะมองเขาพลางคลี่ยิ้ม “ดูท่าทาง หม่อมฉันจะเดาถูกนะเพคะ”
ภายใต้แสงเทียน หญิงสาวไร้เดียงสาในชุดสีขาวดั่งหิมะ เส้นผมดำสนิทที่ปล่อยสยายอยู่บนแผ่นหลังลู่ไปตามแรงลมยามราตรีอย่างไร้ทิศทางจนยุ่งเหยิงไปบ้าง เดิมทีสภาพเช่นนี้อาจทำให้ดูลนลาน แต่เพราะความสงบที่ฉายผ่านแววตาของหญิงสาวจึงทำให้แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง
หญิงสาวยิ้มตาหยี ทว่ากลับแตกต่างจากหญิงสาวใสซื่อบริสุทธิ์ทั่วไปของช่วงวัยนี้ แต่แฝงไปด้วยความสง่างามสูงส่งอย่างบอกไม่ถูก อีกทั้งยามที่นางอยากรู้เรื่องใดมักชอบทำท่าเอียงศีรษะเล็กน้อยพลางคลี่ยิ้มบางเหมือนดั่งดอกโบตั๋นสีขาวนวลเบ่งบานท่ามกลางสายลมอ่อนๆ แต่ในความสง่างามน่าเกรงขามของดอกโบตั๋นกลับแฝงไปด้วยความงดงามชวนให้รู้สึกสบายใจ
“อวิ๋นเกอ…” มู่หรงอวี้เอ่ยพึมพำเสียงเบา
มู่ชิงอีแววตาวูบไหวเล็กน้อย หลุบตาเอ่ยเสียงเรียบ “องค์ชายหกนึกถึงพี่หญิงขึ้นมาแล้วหรือ”
“เจ้าคืออวิ๋นเกอใช่หรือไม่” ฉับพลันมู่หรงอวี้ก็รีบสาวเท้ารุดหน้าเข้ามาคว้าตัวมู่ชิงอีไว้แล้วเอ่ยอย่างร้อนใจ “เหตุใดเจ้าถึงมีหน้าตาเช่นนี้ได้ เพราะแปลงใบหน้าอย่างนั้นหรือ เจ้ายังไม่ตาย…แต่เจ้าแปลงใบหน้าให้เป็นมู่ชิงอีอย่างนั้นหรือ แล้วมู่ชิงอีตัวจริงไปอยู่ที่ใดแล้ว อวิ๋นเกอ…เจ้าคิดจะแก้แค้นข้าอย่างนั้นหรือ”
มู่ชิงอีกวาดตามองท่าทีตื่นเต้นของมู่หรงอวี้อย่างสงบ ผ่านไปชั่วครู่ก็เผยรอยยิ้มสบายๆ เอ่ยขึ้น “องค์ชายหก ท่านพูดเรื่องใดกัน ดวงตาพร่าเลือนไปแล้วหรืออย่างไร…พี่หญิง…ตายท่ามกลางกองเพลิงในหอนางโลมชุ่ยหงนานแล้ว ตอนนั้นท่านเองก็เห็นกับตามิใช่หรือ ยิ่งไปกว่านั้น…หม่อมฉันจำได้ว่า…ถึงแม้พี่หญิงกับหม่อมฉันจะไม่ได้เจอกันมาหลายปี แต่หม่อมฉันก็ยังจำได้ว่าขณะที่พี่หญิงอายุสิบห้าก็สูงกว่าข้าในตอนนี้แล้วกระมัง”
มู่หรงอวี้ผงะไปแล้วกวาดตามองหญิงสาวชุดขาวตรงหน้าอย่างละเอียด รูปร่างในอดีตของกู้อวิ๋นเกออาจจะไม่ถือว่าสูงชะลูดแต่ก็สูงกว่ามู่ชิงอีที่ตัวเล็กเตี้ยกว่าสตรีทั่วไปเพราะใช้ชีวิตในจวนซู่เฉิงโหวไม่ดีมานานอยู่บ้าง ชั่ววินาทีนั้นมู่หรงอวี้ก็คิดว่าความคิดของตนไร้เหตุผลสิ้นดี ต่อให้ฝีมือการแปลงใบหน้าจะยอดเยี่ยมเพียงใดก็คงไม่มีทางฝืนธรรมชาติทำให้คนเตี้ยลงเช่นนี้ได้
ครั้นเห็นสีหน้าเช่นนั้นของมู่หรงอวี้ มู่ชิงอีก็เลิกคิ้ว บนโลกนี้ปีศาจร้ายที่กล้าคิดอะไรแปลกแยกกว่าคนอื่นอย่างหรงจิ่นมีไม่มากนัก และคนที่เข้าใจนางอย่างพี่ใหญ่ก็มีเพียงคนเดียวบนโลกเช่นกัน
มู่หรงอวี้สงบสติลงอย่างรวดเร็ว เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเป็นบ้าอะไรขึ้นมา ฉับพลันก็รู้สึกว่าหญิงสาวตรงหน้าผู้นี้เหมือนสตรีที่ตายไปแล้ว บางทีคงบังเอิญมากกว่าจริงๆ เพราะกู้อวิ๋นเกอเพิ่งจากโลกนี้ไปได้ไม่นาน มู่ชิงอีก็เริ่มนิสัยเปลี่ยนไป มิน่าเขาถึงคิดเลยเถิดไปไกลเช่นนี้
แต่น่าเสียดายที่มู่หรงอวี้ไม่รู้ว่าเขาห่างจากความจริงเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น
“เจ้า…” มู่หรงอวี้จับจ้องหญิงสาวตรงหน้าด้วยสีหน้าสับสน มู่ชิงอีเอ่ยเสียงเรียบ “องค์ชายหกลักพาตัวหม่อมฉันมาที่นี่เพื่อแค่จะถามว่าหม่อมฉันปลอมแปลงใบหน้าเป็นพี่หญิงหรือเปล่าอย่างนั้นหรือ”