หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 259 บั่นคอ ณ ลานประหาร (1)
จูซื่อจับจ้องเขาอย่างระแวง มู่หรงซียกยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “เขาจะเสื่อมเสียชื่อเสียงจนกู้ไม่ได้ โดดเดี่ยวไร้คนข้างกาย ไร้บ้านไร้ชื่อ ถูกทุกคนทอดทิ้ง ถูกเชื้อพระวงศ์ในแคว้นหวาตามไล่ฆ่า เขามิอาจกลับมาช่วงชิงอะไรในแคว้นหวาได้อีก ตายไปแม้แต่ดวงวิญญาณก็เข้ามาในแคว้นหวาไม่ได้ สุดท้ายก็กลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนโดดเดี่ยวไม่มีบ้านให้กลับอย่างไรเล่า”
ไม่นะ!
จูซื่อส่ายศีรษะที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงอย่างทุกข์ทรมานใจ ในฐานะที่เป็นสตรีในยุคสมัยนี้ จูซื่อแทบนึกไม่ออกว่าจะมีสถานการณ์ไหนที่น่ากลัวได้เท่าคำบรรยายของมู่หรงซีแล้ว จะเป็นเช่นนี้ไม่ได้ อวี้เอ๋อร์คือบุตรชายของนางและเป็นถึงองค์ชาย เขาจะมีชีวิตอนาถาอย่างที่มู่หรงซีกล่าวถึงได้เช่นไร
อย่านะ…ขอร้องล่ะ…เพราะนางจนปัญญาจะพูดออกมาได้ นัยน์ตาของจูซื่อเต็มไปด้วยคำวิงวอนอย่างสิ้นหวัง มู่หรงซียิ้มบางไม่สนใจก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากลานประหารไป แบบเดียวกันกับตอนที่เสด็จแม่ของเขาใกล้สิ้นใจในเวลานั้นก็ปล่อยวางทิ้งเขาไปไม่ได้เช่นกัน แต่จูซื่อคงกังวลและสิ้นหวังกว่าเป็นร้อยเท่า อีกทั้งความสิ้นหวังนี้จะเป็นความทรงจำครั้งสุดท้ายในชีวิตของนาง
ในมุมลับตาคนแห่งหนึ่งข้างลานประหาร หรงจิ่นยืนอยู่กับมู่ชิงอีในชุดบุรุษสีขาว พวกเขากวาดตามองเสียงกรีดร้องโหยหวนในลานประหารด้วยท่าทีตื่นเต้นชอบใจ
มู่ชิงอีมุ่นคิ้วพลางมองมู่หรงซีที่กำลังเดินออกจากลานประหารแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ตอนนี้มู่หรงอวี้ต้องอยู่แถวนี้แน่นอน พี่ชายยั่วยุมู่หรงอวี้แบบนี้…”
หรงจิ่นกลับไม่ใส่ใจนักแต่ลูบคางพลางยิ้มตาหยีเอ่ย “หากเขาไม่พูดจายั่วยุสักหน่อยไม่แน่อีกเดี๋ยวมู่หรงอวี้อาจหนีไปแล้วด้วยซ้ำ หากทำให้เขาเห็นฉากในวันนี้ ต่อให้เขาคิดหนีก็คงตัดสินใจจัดการคู่แค้นของตนทิ้งก่อนถึงค่อยหนี มิเช่นนั้น…หากเขาหนีไปแบบนี้ วันหน้าจะไปตามหาเขาจากที่ใดได้เล่า”
ควรรู้ว่ามู่หรงอวี้อึดถึกกว่าเต่าเสียอีก เขาย่อมมีความเชื่อที่ว่าอีกสิบปีแก้แค้นก็ยังไม่สายอะไรทำนองนั้นแน่นอน หากปล่อยให้หนีไปได้จริงๆ คงไม่รู้ว่าเมื่อไรจะแอบโผล่มาอีกครั้ง ปล่อยไปเช่นนี้กลับชวนให้รู้สึกรำคาญใจไม่น้อย อีกอย่างคนมากมายขนาดนี้ หากคนๆ หนึ่งคิดจะหลบหนีจริงๆ ถ้าคิดจะตามตัวกลับมาคงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
มู่ชิงอีขมวดคิ้วกล่าว “แต่พี่ชายจัดการเองแบบนี้มันอันตรายเกินไป”
หรงจิ่นกลับไม่คิดเช่นนั้น “มีอะไรน่าอันตรายกัน มู่หรงอวี้คงไม่โผล่มาใช้ดาบฟันเขาตอนนี้หรอกกระมัง” สำหรับคนที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับตน หรงจิ่นคิดว่าไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงให้เลยสักนิด ถึงแม้มู่หรงซีจะเป็นลูกพี่ลูกน้องกับชิงชิง แต่ว่า…ชั่วชีวิตนี้เขาเกลียดคำว่าลูกพี่ลูกน้องอะไรนี่มากที่สุดแล้ว!
มู่ชิงอีเหลือบมองหรงจิ่นที่แสดงท่าทีไม่สบอารมณ์แวบหนึ่งแล้วเลิกคิ้วถาม “องค์ชายเก้าตามหาตัวมู่หรงอวี้ได้หรือไม่เพคะ”
หรงจิ่นแสดงท่าทีไม่พอใจ “ข้าไม่จำเป็นต้องตามหามู่หรงอวี้ ข้าแค่ตามหาตัวหรงเหยี่ยนก็พอแล้ว” ตอนนี้ทั่วทั้งเมืองหลวง นอกจากหรงเหยี่ยนที่กลัวว่าใต้หล้านี้จะไม่มีเรื่องวุ่นวาย นอกจากเขาแล้วจะมีใครหาเรื่องเดือดร้อนให้ตัวเองโดยช่วยมู่หรงอวี้บ้างเล่า
“หรงเหยี่ยนหรือ” มู่ชิงอีขมวดคิ้วพลางส่ายศีรษะกล่าว “ช่างเถิด รออีกหน่อยคงไม่เป็นไร”
หรงจิ่นยิ้มตาหยีกล่าว “ชิงชิงกำลังเป็นห่วงข้าอย่างนั้นหรือ”
มู่ชิงอีเอาหูไปนาเอาตาไปไร่แสร้งว่าไม่ได้ยินคำพูดเหลวไหลของใครบางคน
บนลานประหาร ผู้คุมประหารดูเวลาอีกครั้งก่อนถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ตอนนี้ถึงเวลาแล้ว ดูท่าทางองค์ชายหกคงรู้กับดักนี้ตั้งแต่แรกจึงไม่โผล่หน้ามา ผู้คุมประหารกระแอมไอเสียงเบาทีหนึ่งก่อนโบกมือส่งสัญญาณบอกลูกน้องข้างกายให้ก้าวขึ้นไปประกาศรายชื่อนักโทษประหาร ตรวจสอบจำนวนและสถานะ รอกระทั่งทุกอย่างเตรียมพร้อมหมดแล้วถึงเดินเข้าไป เขายกมือขึ้นคว้าป้ายคำสั่งบนโต๊ะตรงหน้าขึ้นแล้วโยนลงพื้นพร้อมเอ่ยเสียงเรียบ “ประหาร!”
ในตระกูลจูมีคนทั้งหมดราวหนึ่งร้อยกว่าคน หลังจากสิ้นเสียงประหารแล้ว ป้ายชื่อที่ถูกผูกอยู่ด้านหลังก็ถูกเพชฌฆาตเอาออก จากนั้นก็ถูกเอาศีรษะไปวางไว้บนเครื่องตัดหัว
ยามเผชิญกับความตาย ในสมองของจูซื่อมีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น ทว่าตอนที่ศีรษะของจูซื่อเข้าใกล้เครื่องประหาร ฉับพลันแววตาว่างเปล่าก็ทอดมองออกไปไกลเห็นบานหน้าต่างที่มู่หรงอวี้นั่งอยู่พอดี ถึงแม้มู่หรงอวี้จะแต่งตัวต่างไปจากทุกวัน กระทั่งเปิดเผยให้เห็นแค่ศีรษะเท่านั้น แต่จูซื่อก็ข่มอารมณ์ที่เห็นบุตรชายผู้เป็นความหวังสูงสุดเอาไว้ แต่น่าเสียดายนางยังไม่ทันตั้งตัวดี มีดประหารด้านบนก็ตกลงมาเสียงดังลั่นแล้ว
อวี้เอ๋อร์…
ราษฎรที่พากันมุงดูอยู่พากันร้องตกใจอย่างอดไม่ได้ ทันทีที่สิ้นเสียงออกคำสั่ง คนนับร้อยที่เคยมีอิทธิพลอำนาจในวันวานศีรษะของพวกเขาก็ตกลงสู่พื้น นี่เป็นอีกครั้งที่ทำให้ทุกคนรู้ซึ้งถึงความน่าเกรงขามของอำนาจกษัตริย์ซึ่งมิอาจฝ่าฝืนได้
“เสด็จแม่” ครั้นเห็นมีดประหารในลานประหารหล่นลงคาตา มู่หรงอวี้รู้สึกเพียงว่าภาพตรงหน้าพลันว่างเปล่า ในหัวผุดภาพศีรษะที่กระเด็นออกมาพร้อมเลือดและแววตาว่างเปล่าหวาดกลัวก่อนเผชิญกับความตายของจูซื่อ
ในที่สุดวินาทีนี้มู่หรงอวี้ก็เข้าใจในทันทีว่าการแก้แค้นของมู่หรงซีและกู้ซิ่วถิงใช้วิธีตาต่อตา ฟันต่อฟันจริงๆ เมื่อสี่ปีก่อนถึงแม้มู่หรงซีและกู้ซิ่วถิงจะไม่ได้เห็นทุกคนในตระกูลกู้ถูกบั่นหัวกับตา แต่วันนี้กลับทำให้เขาเห็นฉากแม่แท้ๆ ของตนหัวขาดในช่วงเวลาที่เขายากลำบากมากที่สุดเต็มสองตา
หากเทียบกับการตายที่น่าอนาถของมารดา ความจริงแล้วสิ่งที่สะเทือนใจมู่หรงอวี้มากกว่าก็คือเขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย เขาทำได้แค่มองมารดาถูกประหารต่อหน้าต่อตาแต่กลับทำอะไรไม่ได้สักอย่าง เพราะตอนนี้เขาเป็นเพียงความอับอายของราชวงศ์ที่ใครๆ ต่างก็ชิงชังคนหนึ่ง และเพราะตอนนี้เขาไม่เหลืออะไรแล้ว
มู่หรงอวี้คว้ากาน้ำเมาบนโต๊ะมาโดยไม่รินใส่ถ้วย เขายกกาขึ้นเทสุรากรอกใส่ปากตัวเอง ทว่าผ่านไปเพียงครู่เดียวสุราที่เหลืออยู่เกินครึ่งก็เข้าท้องของเขาจนเกลี้ยง
“เอาสุรามาอีก”
หรงเหยี่ยนที่นั่งอยู่ด้านข้างยักคิ้วสื่อว่าให้องครักษ์ข้างกายไปเอาสุรามา
จากนั้นก็ขมวดคิ้วมองมู่หรงอวี้ที่เผยสีหน้าเศร้าสร้อยตรงหน้าโดยไม่พูดอะไร ไม่นานองครักษ์ก็เอาสุรากาหนึ่งมาให้แล้ววางลงตรงหน้ามู่หรงอวี้อย่างเบามือ มู่หรงอวี้คว้ากาสุรามาในคราเดียวแต่กลับไม่ได้เอากรอกปากอย่างก่อนหน้านี้ เขาจับจ้องกาสุราตรงหน้าอยู่นาน ทันใดนั้นก็เงยหน้าขึ้นเอ่ย “ตวนอ๋อง ช่วยข้าที!”
นัยน์ตาที่ไม่ได้ผ่านการพักผ่อนมานานเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย เวลานี้ยิ่งเหมือนเพลิงไฟที่ลุกโชนพวยพุ่งขับให้เขายิ่งดูขึงขังโหดเหี้ยมมากกว่าเดิม หรงเหยี่ยนมองเขาพลางเอ่ยเสียงเรียบ “เหตุใดข้าต้องช่วยเจ้าด้วย เจ้าน่าจะรู้ดีว่าข้อตกลงก่อนหน้านี้ของพวกเราเป็นจริงไม่ได้แล้วเพราะความหุนหันพลันแล่นของเจ้าั”
“ไม่!” มู่หรงอวี้กัดฟันเอ่ย “ข้ายังมีวิธี”
หรงเหยี่ยนแววตาวูบไหว ลังเลใจครู่หนึ่งก่อนเอ่ย “ต่อให้เป็นเช่นนั้น…เกรงก็แต่…”
มู่หรงอวี้จับจ้องเขาแน่นิ่งกล่าว “ขอแค่เจ้าช่วยข้า ข้ารับประกันว่าการแก้แค้นของข้าจะทำให้เจ้าพอใจ”
หรงเหยี่ยนกวาดตามองมู่หรงอวี้ด้วยสายตาล้ำลึกอยู่นาน ในที่สุดก็พยักหน้าเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็หวังว่า…ครั้งนี้กงอ๋องจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”
มู่หรงอวี้พยักหน้าก่อนเงยหน้าเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง เกี้ยวของมู่หรงซีค่อยๆ หายลับเข้าไปในฝูงชนอย่างช้าๆ แววตาของมู่หรงอวี้ยังคงประกายความโหดเหี้ยมพยาบาทราวกับอาบพิษอยู่ก็มิปาน มู่หรงซี...มู่หรงเสีย มู่หรงจ้าว พวกเจ้าคิดว่า…แค่นี้เรื่องก็จบแล้วหรือ
บนเนินเขาแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ห่างจากเมืองหลวงออกไปยี่สิบลี้ มู่ชิงอีในชุดสีขาวยืนอยู่บนเนินเขามองถนนด้านล่าง ด้านหลังมีอู๋ซินคอยยืนรับใช้ด้วยท่าทีนอบน้อม ส่วนใต้ต้นไม้อีกฝั่งหรงจิ่นกำลังหลับตาพักผ่อนพลางห้อยตัวลงมาจากต้นไม้ราวกับค้างคาว