หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 261 บั่นคอ ณ ลานประหาร (3)
มู่ชิงอีเงยหน้ามองมู่หรงเสียแวบหนึ่ง จากนั้นก็เห็นประกายความตื่นเต้นและความท้าทายแฝงอยู่ในดวงตา นางส่ายศีรษะแล้วสาดน้ำเย็นใส่อย่างไร้ซึ่งความปรานี “แบบนั้นจะมากเกินไป ท่านอ๋อง เพิ่งโค่นกงอ๋องล้มได้ หากท่านอ๋องคิดจะจัดการองค์ชายคนอื่นอีก เกรงว่าคงไม่ใช่สิ่งที่ฝ่าบาทอยากเห็นนัก”
มู่หรงเสียผงะไปก่อนถอนหายใจเอ่ย “ข้าจะไม่เข้าใจคำพูดของคุณชายได้เช่นไร แต่…ต่อให้ข้าไม่ลงมือ น้องเจ็ดจะยอมปล่อยข้าไปหรือ” หลายวันมานี้เหมือนว่าหรงเฟยที่อยู่ในวังจะเป็นที่โปรดปรานไม่น้อย ฝ่าบาททรงวางแผนจะแต่งตั้งหรงเฟยขึ้นเป็นกุ้ยเฟยแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไปนอกจากมู่หรงซี สถานะของมู่หรงจ้าวก็จะสูงที่สุดในบรรดาองค์ชายคนอื่นๆ ระยะนี้เห็นได้ชัดว่ามู่หรงจ้าวมักใช้อำนาจข่มขู่คนไปทั่วแล้ว
มู่หรงเสียรู้ว่าน้องเจ็ดของเขาผู้นี้เติบโตและเริ่มรู้ถึงข้อดีของอำนาจแล้ว อีกทั้งเบื้องหลังของมู่หรงจ้าวยังมีจวนแม่ทัพใหญ่ของแคว้นและหรงเฟยที่มีตำแหน่งสูงส่งคอยหนุนหลังอยู่ด้วย อำนาจอิทธิพลเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่มู่หรงเสียจะเทียบชั้นด้วยได้เลย ไม่แปลกหากมู่หรงเสียจะรับมือไม่ไหว
มู่ชิงอีเคาะขอบโต๊ะเสียงเบาพลางขบคิดบางอย่างด้วยท่าทีสบายๆ ผ่านไปนานถึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หากองค์ชายจะมัวมาจดจ่ออยู่กับการแก่งแย่ง สู้ช่วยฝ่าบาทจัดการปัญหายากๆ ก่อนดีกว่า ในเมื่อหากเทียบกับองค์ชายที่เอาแต่คิดว่าจะช่วงชิงอำนาจกับพี่น้องของตนเช่นไร บางทีฝ่าบาทอาจจะชอบองค์ชายที่จัดการธุระได้และไร้ซึ่งจิตใจทะเยอทะยานมากกว่า”
“ปัญหายากๆ หรือ” มู่หรงเสียชะงักไป จูซื่อถูกประหารแล้ว ถึงแม้น้องหกจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยแต่ก็คงกลับมาผงาดขึ้นมาใหม่ไม่ได้อีก ตอนนี้เสด็จพ่อจะมีปัญหายากๆ อะไรที่ต้องจัดการอีกหรือ
มู่ชิงอีเอ่ยเตือนเสียงเรียบ “ตระกูลกู้ คดีที่มู่หรงอวี้ใส่ความตระกูลกู้ถูกลบล้างมลทินและเปิดเผยความจริงแล้ว แต่ต่อจากนี้จะจัดการกับตระกูลกู้ต่อไปเช่นไรเล่า หากเป็นในสถานการณ์ปกติฝ่าบาทต้องทรงตกรางวัลปลอบขวัญให้ลูกหลานของตระกูลกู้ แต่ตอนนี้ตระกูลกู้ไม่เหลือใครสักคน ฝ่าบาทคงไม่คิดจะตกรางวัลปลอบขวัญให้ผิงอ๋องหรอกกระมัง เวลานี้ผิงอ๋องมีศักดิ์เป็นชินอ๋อง อีกแค่ก้าวเดียวก็สามารถคว้าตำแหน่งองค์รัชทายาทกลับมาได้แล้ว เหอะ แต่นี่ยังไม่กล่าวถึงสุขภาพของผิงอ๋องนะพ่ะย่ะค่ะ เกรงก็แต่ตัวฝ่าบาทเองก็คงไม่เต็มใจเท่าไรนัก เช่นนั้นคงทำได้แค่แต่งตั้งตำแหน่งให้กับคนของตระกูลกู้เท่านั้น นอกจากนี้ฝ่าบาททรงมีสาส์นสำนึกผิดออกมาแล้วด้วย”
“สาส์นสำนึกผิดหรือ” มู่หรงเสียเผยท่าทีหวาดกลัว สาส์นสำนึกผิดก็คือหนังสือที่ฮ่องเต้ทรงประกาศความผิดพลาดของตัวเองให้คนทั้งใต้หล้าได้รับรู้ สิ่งนี้อาจทำให้คนทั้งใต้หล้าจดจำว่าฮ่องเต้รู้ผิดและพร้อมปรับตัว แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้คนทั้งใต้หล้าจดจำความผิดพลาดที่ฮ่องเต้เคยทำไว้ด้วย ดังนั้นหากอับจนหนทางแล้วจริงๆ ฮ่องเต้ในอดีตที่ผ่านมาจึงไม่มีใครยอมออกสาส์นสำนึกผิดเช่นนี้เลย แต่เหตุการณ์ในเมืองหลวงตอนนี้ พระสนมลอบทำร้ายอดีตฮองเฮาและองค์ชาย องค์ชายอีกคนแอบหลบหนีความผิด องค์ชายอีกคนตายโดยไร้ต้นสายปลายเหตุ อีกทั้งยังมีเรื่องของตระกูลกู้เพิ่มเข้ามาอีกต่างหาก ชื่อเสียงของเชื้อพระวงศ์ย่ำแย่กว่าผ้าขี้ริ้วผืนหนึ่งเสียอีก นอกจากนี้หนังสืออุธรณ์เพื่อตระกูลกู้แต่ละที่ต่างทะลักเข้ามาในเมืองหลวงดั่งกระแสน้ำก็มิปาน หากฮ่องเต้มิทรงทำอะไรเลย เกรงว่าคงจัดการรับมือไม่ได้จริงๆ
มู่หรงเสียชั่งใจครู่หนึ่งถึงเอ่ย “สาส์นสำนึกผิด…ร้ายแรงเกินไปหน่อยกระมัง”
มู่ชิงอีเลิกคิ้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จื้ออ๋องไม่เชื่อหรือ อย่างช้าที่สุดภายในสองสามวันนี้ฝ่าบาทต้องทรงตรัสถึงเรื่องสาส์นสำนึกผิดแน่นอน”
มู่หรงเสียขมวดคิ้วมุ่น เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อคำพูดของมู่ชิงอีเลยสักนิด มู่หรงเสียเข้าใจเสด็จพ่อของตนเองดี ฮ่องเต้แคว้นหวารักในศักดิ์ศรีของกษัตริย์มากที่สุดแล้ว เช่นนั้นเสด็จพ่อจะทรงตบหน้าตัวเองแล้วออกสาส์นสำนึกผิดได้เช่นไร หากออกสาส์นสำนึกผิดก็เท่ากับยอมรับว่าเรื่องตระกูลกู้ในตอนนั้นเป็นความผิดของเขาอย่างนั้นหรือ บัดนี้เรื่องของตระกูลกู้เล่าลือกันในหมู่ประชาชนดังเป็นพลุแตก หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าคงโดนพวกบัณฑิตกุข่าวจนเรื่องย่ำแย่มากไปกว่าเดิม
“คุณชายคาดเดาเองจริงๆ หรือ นี่มันออกจะ…เสด็จพ่อไม่มีทาง…” มู่หรงเสียเอ่ยด้วยท่าทีลังเล
มู่ชิงอียิ้มกล่าว “ฝ่าบาทไม่มีทางอยู่แล้ว เขาก็แค่ทำทีว่าอยากออกสาส์นสำนึกผิดก็เท่านั้น”
“คุณชายหมายความว่าเช่นไรหรือ” มู่หรงเสียดวงตาเป็นประกาย
มู่ชิงอีเอ่ยเสียงเรียบ “บัดนี้คนในราชสำนักต่างฮึกเหิมและไม่พอใจ ทันทีที่ฝ่าบาทเปิดปากตรัสว่าจะออกสาส์นสำนึกผิด คนที่เห็นพ้องต้องด้วยย่อมมีไม่น้อย พอถึงเวลานั้น…ฝ่าบาทคงหาทางลงไม่เจอ”
มู่หรงเสียเข้าใจแล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า “หากตอนนั้นข้าเกลี้ยกล่อมให้เสด็จพ่อตรัสคืนคำ กระทั่งจัดพิธีรำลึกวันตายให้ตระกูลกู้แทนเสด็จพ่อล่ะก็…”
มู่ชิงอีหลุบตาลงเอ่ยเสียงเรียบ “ท่านอ๋องทรงหลักแหลมนัก”
มู่หรงเสียขมวดคิ้วมุ่นกล่าว “แต่หากเป็นเช่นนี้ ชื่อเสียงของข้า…” เรื่องตระกูลกู้ อีกทั้งเรื่องวุ่นวายในราชวงศ์ในเวลานี้ หากจะกล่าวว่าฮ่องเต้ไร้ซึ่งคุณธรรมก็ไม่เกินไปเลย หากฮ่องเต้ยินดีออกสาส์นสำนึกผิด เหล่าขุนนางข้าหลวง กระทั่งโดยเฉพาะฝ่ายตรวจการย่อมดีใจมากแน่นอน อีกอย่างตนที่เป็นฝ่ายสะกิดเรื่องนี้ขึ้นมาเองก็มีความเป็นไปได้มากว่าจะล่วงเกินฝ่ายตรวจการ พวกคนอวดรู้และบัณฑิตเหล่านั้นเข้าได้
มู่ชิงอีเลิกคิ้วถาม “ความรักใคร่และชื่อเสียงก็เปรียบดั่งอุ้งมือหมีซึ่งไขว่คว้าปลามาไม่ได้ ท่านอ๋อง อย่าโกรธที่กระหม่อมพูดตรงๆ เรื่องชื่อเสียง…หากมากเกินไปก็ไม่ดีเช่นกัน ตอนนั้นชื่อเสียงของผิงอ๋องย่ำแย่มากหรือ”
มู่หรงเสียพลันตัวชาวาบ เขากวาดตามองมู่ชิงอีด้วยท่าทีจริงจังอยู่นานก่อนลุกขึ้นโค้งคำนับมู่ชิงอีอย่างเชื่อฟัง เอ่ยขึ้น “ได้ยินคุณชายกล่าวเช่นนี้ข้าก็ตระหนักได้ทันที ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะของคุณชาย”
คำพูดของมู่ชิงอีเตือนสติมู่หรงเสียจริงๆ มีใครกล้าพูดว่าชื่อเสียงขององค์รัชทายาทในตอนนั้นไม่ดีบ้าง ทั้งเก่งรอบด้าน อ่อนน้อมถ่อมตน ดูแลราษฎรด้วยความเมตตา มู่หรงซีในตอนนั้นเรียกได้ว่าเป็นต้นแบบองค์ชายรัชทายาทแห่งยุคสมัยก็ว่าได้ ทุกคนต่างจินตนาการว่าหากองค์รัชทายาทคนหนึ่งขึ้นครองราชย์อย่างราบรื่น วันหน้าต้องเป็นกษัตริย์ที่ปกครองไพร่ฟ้าของแคว้นหวาได้เป็นอย่างดีแน่นอน กระทั่งอาจเป็นยุครุ่งเรืองสมัยหนึ่งเลยก็ว่าได้
แต่แล้วอย่างไรเล่า ต่อให้มีชื่อเสียงที่ดีก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับคำพูดประโยคเดียวของฮ่องเต้จนทุกอย่างพังทลายลง ในฐานะที่เป็นกษัตริย์ ชื่อเสียงย่อมเป็นสิ่งสำคัญ แต่ในฐานะองค์ชาย…ความเชื่อใจและความโปรดปรานของเสด็จพ่อต่างหากที่เป็นทุกอย่าง
มู่ชิงอีลุกขึ้นส่ง “จื้ออ๋องกล่าวเกินไปแล้ว”
มู่หรงเสียมองหนุ่มน้อยชุดขาวตรงหน้าด้วยท่าทีตกตะลึง อายุยังไม่ถึงสิบห้าปี ใบหน้าหล่อเหลา บุคลิกสง่างามเหนือใคร สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือความคิดสติปัญญาเช่นนี้ในใต้หล้านี้หาได้น้อยนัก ฉับพลันมู่หรงเสียก็นึกถึงคำๆ หนึ่งขึ้นได้…อัจฉริยะแห่งแคว้น หากได้บุคคลที่เก่งกาจยอดเยี่ยมเช่นนี้มาอยู่ในมือ…
ช่วงนี้เขายุ่งมาก ตอนนี้มู่หรงเสียตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะรีบตามสืบภูมิหลังของจังชิงให้กระจ่าง หากภูมิหลังขาวสะอาดไร้มลทินจริงๆ ถ้าจะให้ตนยอมลดตัวอ้อนวอนให้เขามาทำงานกับตน เจ้าหนุ่มน้อยผู้นี้ก็ต้องยอมรับใช้ตนด้วยเช่นกัน บุคคลเช่นนี้หากเป็นสหายก็นับว่าเป็นเรื่องดี แต่หากเป็นศัตรูขึ้นมาย่อมเป็นหายนะครั้งใหญ่ทีเดียว
ครั้นเห็นมู่หรงเสียแสดงท่าทีครุ่นคิดบางอย่างเช่นนั้น มู่ชิงอีก็เลิกคิ้วแต่กลับไม่ได้สนใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ อีกไม่นาน…พวกเขาก็ไม่ต้องเจอกันแล้ว แต่ตอนนี้นางอยากรู้มากกว่าว่าตกลงมู่หรงอวี้คิดจะทำอะไรกันแน่
ทุกอย่างเป็นไปตามที่มู่ชิงอีคาดเดาจริงๆ เพราะการประชุมราชสำนักตอนเช้าในวันถัดมาฮ่องเต้แคว้นหวาก็ทรงตรัสถึงเรื่องออกสาส์นสำนึกผิดอย่างทีเล่นทีจริงและย่อมได้รับคำยกย่องชื่นชมจากเหล่าขุนนางใต้เท้าต่างๆ เป็นธรรมดา เพียงแต่พวกเขากลับไม่สังเกตเห็นสีหน้าบึ้งตึงของฮ่องเต้เลยสักนิด
ถึงแม้ขุนนางคนสนิทไม่กี่คนที่ถนัดจับสังเกตเก่งอาจจะพอเดาพระประสงค์ของฮ่องเต้ได้ แต่ภายใต้สถานการณ์คัดค้านได้ยากเช่นนี้เลยแสร้งหูหนวกเป็นใบ้ไป ดั่งสำนวนหนึ่งที่ว่า…กฎหมายใช้ไม่ได้กับคนกลุ่มใหญ่ ฮ่องเต้คงไม่ถึงขนาดทรงกริ้วจนรับสั่งบั่นคอขุนนางทั้งราชสำนักหรอกกระมัง ในเมื่อพวกเขาไม่ได้โห่ร้องคล้อยตามไปด้วยก็ดีมากแล้ว