หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 263 เส้นทางเดินของจวนซู่เฉิงโหว (2)
ฉับพลันมู่ชิงอีก็รู้สึกว่าความจริงแล้วตัวเองยังเข้าใจหรงจิ่นไม่มากพอ แต่กลับไม่รู้ว่าเวลานี้ในใจของหรงจิ่นดีใจมากแค่ไหน กู้ซิ่วถิงอาศัยความสัมพันธ์ว่าตนเป็นพี่ใหญ่ของชิงชิงแอบบอกเป็นเชิงว่าให้เขาอยู่ห่างจากชิงชิงหน่อย ไม่ว่ามีเรื่องใดก็ตาม ในฐานะที่เขาเป็นพี่ใหญ่มักจัดการเรื่องต่างๆ แทนชิงชิงเสมอ ตอนนี้จะให้ตนออกแรงแล้วมิใช่หรือไร ข้าก็บอกแล้วว่าหากไม่มีคนฝีมือวิทยายุทธไร้เทียมทานอย่างข้า ลำพังหนอนหนังสือฝีมือการต่อสู้เหมือนไก่อ่อนอย่างกู้ซิ่วถิงจะทำอะไรได้ เขาจะปกป้องชิงชิงได้หรือ เหอะ!
กู้ซิ่วถิงนั่งใต้ร่มไม้ด้วยสีหน้าเรียบนิ่งพลางมองสีหน้าลำพองใจของใครบางคนแล้วเอ่ยว่า “กล่าวเช่นนี้…องค์ชายเก้าเห็นด้วยแล้วอย่างนั้นหรือ”
หรงจิ่นสะบัดมือเป็นวงกว้างพลางมองมู่ชิงอีด้วยสายตาลึกซึ้งกล่าว “ชิงชิงอยากทำอะไร ต่อให้ข้าต้องสู้สุดตัวก็จะทำให้สำเร็จตามดั่งใจเจ้า”
ทว่าคุณชายซิ่วถิงกลับไม่เคลิ้มตามด้วยเลยสักนิด “แค่ไปคุกของกรมอาญาคงไม่ถึงกับเอาชีวิตขององค์ชายหรอกกระมัง กระหม่อมจะให้พี่ชายแอบช่วยจัดการให้อีกทางด้วย”
ครั้นการสารภาพรักอันซาบซึ้งถูกใครบางคนทำลาย หรงจิ่นจึงทำได้แค่สะบัดแขนเสื้อพลางแอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธ โชคดีที่กู้ซิ่วถิงเป็นพี่ชายแท้ๆ ของมู่ชิงอี หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นคงถูกองค์ชายเก้าผู้นี้ฆ่าตายโดยไม่สนว่าจะใช้วิธีการใดด้วยซ้ำ
พอเห็นเงาแผ่นหลังเดินจากไปอย่างหัวเสีย มู่ชิงอีก็ส่ายศีรษะอย่างระอาใจพลางถอนหายใจ กู้ซิ่วถิงมองนางก่อนถามเสียงอ่อนโยน “เกอเอ๋อร์ เจ้าตัดสินใจแล้วหรือ”
มู่ชิงอีชะงักไป จากนั้นก็หลุบตาเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าติดค้างบุญคุณเขาไม่น้อยเจ้าค่ะ อย่างไรเสียการรับปากจะช่วยเขาย่อมเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว เพียงแต่…ข้าไม่รู้ว่าเขาไปเอาความมั่นใจมาจากที่ใดว่าข้าจะช่วยเขาได้” นี่คือความจริง มู่ชิงอีไม่มีทางปฏิเสธว่าตนเป็นคนฉลาด แต่นั่นกลับเป็นแค่ระดับพื้นฐานของคนทั่วไปเท่านั้น หากหรงจิ่นต้องการที่ปรึกษาที่ผ่านมาตรฐานล่ะก็ ต่อให้เป็นพี่ใหญ่ก็ยังดูน่าเชื่อถือกว่านางเสียอีก อย่างน้อยพี่ใหญ่ก็เป็นบุรุษคนหนึ่งอย่างแท้จริงและเข้าออกราชสำนักโดยไม่ต้องเกรงกลัวสิ่งใดมิใช่หรือ
“เกอเอ๋อร์อย่าประเมินตัวเองต่ำเกินไปนักเลย” กู้ซิ่วถิงยกมือขึ้นจัดแจงเส้นผมที่ยุ่งเหยิงตรงข้างหูอย่างเบามือ เอ่ยเสียงเบาว่า “หรงจิ่นผู้นี้ กระทั่งตอนนี้ข้าก็ยังมองเขาไม่ออก แต่…แววตาของเขาไม่เลวเลยทีเดียว” ความสามารถของน้องสาวตน ในฐานะที่กู้ซิ่วถิงเป็นพี่ชายย่อมรู้กระจ่างใจตัวเองดี ตั้งแต่เล็กจนโต หลังจากทุกอย่างพังทลายลงกลางคัน อวิ๋นเกอก็ต้องได้รับการสั่งสอนปลูกฝังไม่ต่างจากบุรุษในตระกูลกู้เลย เรื่องนี้ย่อมเป็นเหตุผลจากความเสียใจที่ท่านปู่และท่านพ่อสูญเสียน้องชายคนเล็กไปจนฝากฝังทุกอย่างไว้ที่น้องสาว ยิ่งไปกว่านั้นเพราะน้องสาวเป็นคนฉลาดหลักแหลมอยู่แล้ว มิเช่นนั้นคงไม่มีพ่อแม่คนใดปรารถนาอยากเลี้ยงดูสั่งสอนบุตรสาวคนหนึ่งเสมือนบุตรชาย
หากไม่ได้ผ่านประสบการณ์สูญเสียตระกูลกู้ไป บางทีชั่วชีวิตนี้ของน้องสาวคงเป็นเพียงบุตรสาวตระกูลใหญ่ที่ชาญฉลาดมากคนหนึ่งเท่านั้น คุณหนูใหญ่ตระกูลกู้ พระชายา กระทั่งเป็นฮองเฮา…แต่หลังจากผ่านเรื่องทุกข์ทรมานตลอดหลายปีมานี้ คุณหนูใหญ่ที่เคยได้รับความรักและความเอ็นดูจากตระกูลกู้ได้รู้ซึ้งถึงความวุ่นวายบนโลกมนุษย์และกลอุบายต่างๆ แต่ด้วยความปราดเปรื่องที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดและการดูแลปลูกฝังของตระกูลกู้ช่วยให้นางเข้าใจทุกเรื่องที่นางเคยประสบมากับความรู้ทุกอย่างที่นางเคยร่ำเรียนมาอย่างถ่องแท้มากกว่าเดิม
ดังนั้นในระยะเวลาแค่สองเดือนที่นางกลับมามีชีวิตใหม่ ภายใต้สถานการณ์ที่นางไม่มีอะไรเลยแต่สามารถวางแผนปูทางสร้างกลอุบายทุกอย่างเจาะจงไปที่ศัตรูอย่างใจเย็นได้ อวิ๋นเกอในตอนนี้ไม่เหมาะจะใช้ชีวิตเฉกเช่นหญิงสาวปกติทั่วไปเลยจริงๆ
บางทีอวิ๋นเกอในตอนนี้น่าจะชินกับการวางแผนช่วงชิงอำนาจมากกว่าพี่ชายอย่างเขาผู้นี้มากกว่าด้วยซ้ำ สายตาของหรงจิ่นไม่แย่เลยจริงๆ แต่ตนไม่มีทางมอบน้องสาวให้เขาเพียงเพราะหรงจิ่นสายตาเฉียบแหลม หากหรงจิ่นต้องการเพียงที่ปรึกษาคนหนึ่งเท่านั้นล่ะก็ เช่นนั้นตนก็จะไม่ปล่อยให้เขาได้ดั่งใจหวัง
ไม่ใช่ว่ากู้ซิ่วถิงดูแคลนน้องสาวของตน แต่สำหรับอวิ๋นเกอในฐานะสตรี ร่างกายของนางคือข้อจำกัดมากอย่างหนึ่ง ถึงแม้ความสามารถของนางจะแข็งแกร่งกว่าผู้ชายส่วนมากในโลกใบนี้ก็ตาม
ดังนั้นกู้ซิ่วถิงถึงฝืนใจยอมรับหรงจิ่น แต่นั่นก็เพราะมองเห็นถึงความถ้อยทีถ้อยอาศัยของน้องสาวตนและความใส่ใจที่หรงจิ่นมีต่ออวิ๋นเกอเท่านั้น เพียงแต่ความรู้สึกที่ทั้งสองแสดงต่อกันตรงหน้าช่างรู้ใจตัวเองช้าจนพานให้รู้สึกหงุดหงิดไปด้วย
“พี่ใหญ่…” มู่ชิงอีแสดงท่าทีตกใจ นางคิดมาตลอดว่าพี่ใหญ่ของตนไม่ชอบหน้าหรงจิ่น
กู้ซิ่วถิงมองนางพร้อมรอยยิ้ม เอ่ยเสียงนุ่มนวล “เกอเอ๋อร์เป็นสาวแล้ว สักวันหนึ่ง…ก็ต้องไปจากพี่ใหญ่อยู่ดี”
“พี่ใหญ่…” มู่ชิงอีมองพี่ใหญ่ของตนด้วยความปวดใจ ตอนที่ตนตัดสินใจไปแคว้นเย่ว์กับหรงจิ่นก็รู้ดีว่าต้องแยกห่างจากพี่ใหญ่ พี่ใหญ่ไม่สนใจเรื่องอำนาจชื่อเสียง อีกทั้งหลังจากผ่านเรื่องราวของตระกูลกู้มาก็ยิ่งถอยห่างจากเรื่องเหล่านี้เข้าไปใหญ่ ถึงแม้จะไม่ได้ถามหรงจิ่น แต่มู่ชิงอีกลับรู้ว่าเรื่องของแคว้นเย่ว์คงซับซ้อนรับมือยากกว่าแคว้นหวาแน่นอน นางไม่อยากให้พี่ใหญ่ต้องเข้าไปพัวพันด้วย
“เด็กโง่” กู้ซิ่วถิงเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน “สุขภาพของพี่ชายคงยื้อต่อไปไม่ได้แล้ว หลังจบเรื่องแคว้นหวาในครั้งนี้ ข้าจะออกตามหาหมอชื่อดังมาให้พี่ชาย เดิมทีจะให้เจ้าไปกับข้าด้วย ตอนนี้ดูท่าทาง…เกอเอ๋อร์จะโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เรื่องที่เจ้าตัดสินใจเองแล้วก็ไปจัดการเสียเถิด” ครั้นเห็นแววตาอาลัยอาวรณ์ของมู่ชิงอี กู้ซิ่วถิงก็ยิ้มขึ้นมา “ข้าไปเยี่ยมเยียนเจ้าอยู่แล้ว ต่อให้ตอนนี้ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าไปแคว้นเย่ว์ เจ้าก็คงไม่ยอมแน่นอน ใช่หรือไม่เล่า”
มู่ชิงอีก้มหน้าราวกับเด็กน้อยที่แอบทำความผิดมาก็มิปาน ขอแค่ก้มหน้าต่อหน้าพี่ใหญ่โดยไม่พูดอะไร พี่ใหญ่ก็มักให้อภัยตนเสมอ
กู้ซิ่วถิงคลี่ยิ้มบางแล้วเอ่ยขึ้น “ข้ามิอาจผูกมัดเจ้าไว้ข้างกายไปชั่วชีวิตได้ ขอแค่ต้องระมัดระวังตัวให้มาก หากมีเรื่องใดต้องการความช่วยเหลือก็ส่งคนเอาจดหมายมาให้ข้าได้ทุกเมื่อ ข้าไปหาเจ้าที่แคว้นเย่ว์แน่นอน”
“เรื่องของพี่ชาย…” มู่ชิงอีเอ่ยอย่างละอายใจ พี่ใหญ่กับพี่ชายเป็นญาติเพียงหนึ่งเดียวที่นางหลงเหลืออยู่บนโลกใบนี้ ถึงแม้อาจจะกล่าวไม่ได้ว่าใกล้สิ้นใจในระยะสั้นๆ นี้ แต่ก็อยู่ในขีดอันตราย นางช่วยอะไรไม่ได้แล้วยังเดินทางไปอยู่ในที่ไกลแสนไกลทำให้พี่ใหญ่ต้องเป็นห่วงอีก แบบนี้ออกจะเกินไปจริงๆ
“เรื่องของพี่ชายมอบหมายให้เป็นหน้าที่ของข้าก็สิ้นเรื่องแล้ว ทว่าเจ้า…หลังจากไปแคว้นเย่ว์แล้ว พี่ใหญ่เองคงช่วยอะไรเจ้าไม่ได้มาก…”
มู่ชิงอีส่ายหน้าไปมา เอ่ยเสียงขรึม “ข้าเป็นคนรับปากหรงจิ่นเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับพี่ใหญ่เลยเจ้าค่ะ นอกจากนี้ข้าเองก็ไม่อยากให้พี่ใหญ่เข้ามาพัวพันด้วย”
กู้ซิ่วถิงพยักหน้า กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าเข้าใจความหมายของเจ้า แต่…ข้าก็ควรเตรียมอะไรไว้ให้เกอเอ๋อร์ของข้าบ้างถึงจะถูก” มู่ชิงอีเผยสีหน้าฉงน “เตรียมอะไรหรือ ข้าไม่ได้ขาดเหลืออะไรสักหน่อยนี่เจ้าคะ”
กู้ซิ่วถิงฉีกยิ้มอบอุ่น “ถึงแม้หรงจิ่นจะเป็นองค์ชายแคว้นเย่ว์ แต่น้องสาวของข้าก็ไม่ด้อยไปกว่ากันเลย ข้าต้องเตรียมสินเดิมไว้ให้เกอเอ๋อร์บ้างถึงจะถูกสิ”
“อะไรนะ” มู่ชิงอีผงะไป หลังจากได้สติกลับมาก็รีบเอ่ยค้านทันที “พี่ใหญ่เข้าใจผิดแล้ว ข้ากับหรงจิ่นไม่ใช่…ไม่ใช่อย่างที่พี่ใหญ่คิดแบบนั้น…”
กู้ซิ่วถิงยกมือขึ้นห้ามนางไว้แล้วเอ่ยยิ้มบาง “ข้ายังไม่ได้คิดอะไรเลย สินเดิมก็ไม่ได้เจาะจงให้หรงจิ่นสักหน่อย แต่…ก็ต้องเตรียมไว้ก่อนล่วงหน้านี่นา มิเช่นนั้นหากวันหน้าเตรียมไว้ไม่พอ แล้วจะปล่อยให้คนอื่นมาดูแคลนน้องสาวของข้าหรือ”
มู่ชิงอีอ้าปากแต่กลับพูดอะไรไม่ออก จากนั้นก็ทำได้แค่มองพี่ใหญ่ที่กำลังคลี่รอยยิ้มซึ่งแฝงไปด้วยความอบอุ่นดั่งสายลมในฤดูร้อนพลางครุ่นคิดบางอย่าง เห็นได้ชัดว่ากำลังคิดคำนวณเรื่องจะตระเตรียมสินเดิมอะไรทำนองนั้นอยู่ มู่ชิงอีแน่นิ่งอยู่นาน สุดท้ายก็สะบัดมือใส่โดยไม่สนใจอะไรอีก