หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 270 งานเลี้ยงฉลองอภิเษกนองเลือด (1)
“คุณชายจังเป็นคนเมืองหลวงหรือ” เนี่ยอวิ๋นเอ่ยถาม
มู่ชิงอียิ้มตอบอย่างใจเย็นและเป็นมิตร “มิใช่ ข้าเป็นคนอิ๋งโจว สองสามเดือนก่อนเพิ่งมาเมืองหลวงเป็นครั้งแรก พูดถึงวันนี้เป็นวันมงคลขององค์ชายเก้าและองค์หญิงไหวหยางมิใช่หรือ เหตุใดหัวหน้าองครักษ์เนี่ยถึงมาอยู่ที่นี่ได้เล่า”
เนี่ยอวิ๋ยเอ่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจ “คนมากเกินไป ข้ารักความสงบ” ก่อนหน้านี้เนี่ยอวิ๋นเป็นองครักษ์คนสำคัญที่ฮ่องเต้แคว้นหวาโปรดปรานมากที่สุดย่อมต้องอยู่ในงานสำคัญอย่างงานอภิเษกขององค์ชายเช่นนี้อยู่แล้ว แต่บัดนี้เหมือนเนี่ยอวิ๋นจะถูกฮ่องเต้แคว้นหวาแสดงท่าทีเย็นชาใส่ หากต้องอยู่ในงานอภิเษกนี้ด้วยกลับยิ่งน่าอึดอัดมากกว่า ดังนั้นหากเนี่ยอวิ๋นไม่ไปก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร เพียงแต่มู่ชิงอีนึกไม่ถึงว่าจะได้เจอเขาที่นี่
ถึงแม้หลายวันมานี้มู่ชิงอีจะเก็บตัวไม่ค่อยได้ออกไปไหนมาไหน แต่เรื่องที่ควรรู้กลับรู้มาไม่น้อย อย่างเช่นฮ่องเต้แคว้นหวายังคงแสดงท่าทีเย็นชาและห่างเหินใส่เนี่ยอวิ๋น กระทั่งเลื่อนตำแหน่งองครักษ์ที่มีฝีมือวิทยายุทธสูสีกับเนี่ยอวิ๋นคนหนึ่งมาเป็นรองหัวหน้าองครักษ์ ในสายตาคนอื่นนับว่ารอจังหวะขึ้นเสียบตำแหน่งแทนเนี่ยอวิ๋น แต่กระนั้นหากยอดฝีมืออันดับหนึ่งของแคว้นหวาต้องไปเป็นหัวหน้าองครักษ์ในตำหนักหนึ่งก็ออกจะใช้คนไม่ถูกกับงานไปหน่อยจริงๆ เวลานี้ครั้นเห็นเนี่ยอวิ๋นตกอยู่ในสภาพนี้ ในใจของมู่ชิงอีกลับรู้สึกละอายใจไม่น้อย
“ในเมื่อมีวาสนาได้เจอกัน เช่นนั้นหัวหน้าองครักษ์เนี่ยมานั่งดื่มชาด้วยกันสักถ้วยเป็นอย่างไรเล่า” มู่ชิงอีเอ่ยเชิญชวนพร้อมรอยยิ้ม
เนี่ยอวิ๋นมองนางด้วยสายตาลึกล้ำแวบหนึ่งแล้วพยักหน้ากล่าว “เช่นนั้นต้องขอรบกวนคุณชายจังแล้ว”
ไม่นานขบวนส่งตัวเจ้าสาวยาวเหยียดก็เดินผ่านด้านล่างมุ่งหน้าไปทางจวนองค์ชายเก้า มู่ชิงอีนั่งอยู่ริมหน้าต่างจึงเห็นสถานการณ์ด้านล่างพอดิบพอดี
ขบวนส่งตัวเจ้าสาวที่ยิ่งใหญ่ตระการตายาวเหยียดจนมองไม่เห็นท้ายขบวนค่อยๆ เคลื่อนขบวนมาจากอีกฝั่ง คนที่นำอยู่หน้าขบวนคือองค์ชายจากแคว้นเย่ว์สองคนซึ่งก็คือหรงเหยี่ยนและหรงจิ่น พวกเขาสองคนขี่ม้าอยู่ด้านหน้าขนาบข้างซ้ายขวารถเกี้ยวขององค์หญิงไหวหยาง หรงเหยี่ยนสวมชุดสีม่วงอมแดงประจำตำแหน่งชินอ๋องแคว้นเย่ว์ตามกาลเทศะ ทว่าหรงจิ่นกลับไม่ได้ให้ความร่วมมือขนาดนั้น เขายังคงสวมชุดสีดำที่ดูธรรมดาแต่สง่างามเช่นเคย เพียงแต่เพราะใบหน้าอันหล่อเหลาไร้ใครเทียมช่วยทำให้ทุกคนต่างปล่อยผ่านเรื่องเสื้อผ้าที่ไม่เหมาะสมนี้ไป
บัดนี้ทั้งสามแว่นแคว้น แคว้นหวาและแคว้นเย่ว์จะนิยมชื่นชอบสีเหลือง แต่เป่ยฮั่นนิยมชื่นชอบสีแดง ทว่าสีดำกลับไม่สอดคล้องกับคำนิยามงานมงคลอย่างสิ้นเชิง แต่หรงจิ่นไม่สนใจความคิดเหล่านี้เลยสักนิด เขายังคงสวมชุดสีดำด้วยท่าทีหยิ่งผยองจงใจตกเป็นเป้าสายตาของคนอื่นเฉกเช่นเคย
จนกระทั่งขบวนส่งตัวเจ้าสาวเดินผ่านหน้าต่างไป เหล่าผู้คนที่มาร่วมส่งขบวนบนท้องถนนก็เดินไล่ตามไปด้วย ดังนั้นบนถนนที่เคยคึกคักเสียงดังอึกทึกในเดิมทีก็พลันสงบลงอย่างรวดเร็ว
“เหตุใดคุณชายจังถึงไม่ไปร่วมสนุกกับพวกเขาหรือ” เนี่ยอวิ๋นเอ่ยพลางมองมู่ชิงอี
มู่ชิงอีเลิกคิ้วก่อนเอ่ยพลางยิ้มตาหยี “เรื่องนี้…ก็เพราะข้าไม่ชอบความวุ่นวายเหมือนหัวหน้าองครักษ์เนี่ยอย่างไรเล่า”
ความจริงย่อมไม่ใช่อย่างที่มู่ชิงอีกล่าวอยู่แล้ว ศาลาชิงอานห่างจากจวนองค์ชายเก้าไม่ไกลนัก หากมีเรื่องสนุกๆ ใดเกิดขึ้นนางยังวิ่งไปดูทัน แต่หากร่วมอยู่ในวงนั้นตั้งแต่แรกเลย ด้วยเหตุที่นางไร้ความสามารถเหมือนไก่อ่อน ไม่แน่อาจพลอยเจอเรื่องหายนะตามไปด้วยมากกว่า
สำหรับมู่ชิงอีแล้ว เนี่ยอวิ๋นเป็นคนชอบเก็บความรู้สึก เมื่อเห็นเหมือนเนี่ยอวิ๋นกลุ้มใจครุ่นคิดบางอย่าง มู่ชิงอีก็ลอบถอนหายใจอย่างระอา นิสัยของเนี่ยอวิ๋นก็นับว่าไม่เลว อีกทั้งฝีมือวิทยายุทธก็หาได้ยากในใต้หล้านี้ หากได้คนเช่นนี้มาทำงานให้ย่อมเป็นแรงเสริมที่ดีมากทีเดียว เพียงแต่น่าเสียดาย…ตอนนี้นางยังไม่มีความสามารถแย่งบุคคลสำคัญเช่นนี้จากมือฮ่องเต้แคว้นหวามารับใช้ตนได้ ช่างน่าเสียดายมากจริงๆ
“ข้าดูจากหว่างคิ้วของหัวหน้าองครักษ์เนี่ยเหมือนมีเรื่องในใจอย่างไรอย่างนั้น ความจริงไม่ว่าจะมีเรื่องใดก็ควรระบายออกมาจะดีกว่าหน่อยกระมัง” มู่ชิงอีเอ่ยชี้แนะอย่างลอยๆ
เนี่ยอวิ๋นเงยหน้ามองนางด้วยท่าทีตกใจ มู่ชิงอีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม อย่างรู้สึกผิด “ข้าช่างปากมากนัก หากเป็นการล่วงเกินหัวหน้าองครักษ์เนี่ยโปรดอภัยให้ด้วย”
เนี่ยอวิ๋นส่ายศีรษะยิ้มเอ่ย “ขอบคุณคุณชายจังที่ชี้แนะ เพียงแต่เรื่องบางเรื่อง…หากผ่านพ้นไปแล้วคงมิอาจย้อนกลับไปแก้ไขสิ่งใดได้ชั่วชีวิต”
มู่ชิงอีเอ่ยเสียงเรียบ “แต่บนโลกใบนี้มีเรื่องมากมายที่ใช่ว่ามนุษย์อย่างเราจะแก้ไขได้ องครักษ์เนี่ยไม่จำเป็นต้องตำหนิตนเองจนเกินไป ท่านควรรู้ว่าเรื่องที่ผ่านไปแล้วก็คือผ่านไปแล้ว มัวแต่กลัดกลุ้มใจไปก็ไม่ช่วยอันใดเลย เหตุใดถึงไม่เลือกทำในสิ่งที่ตนเองทำได้แทนเล่า”
เนี่ยอวิ๋นถอนหายใจเสียงเบาแต่ไม่พูดอะไร หากกล่าวว่าก่อนหน้านี้เขายังมีความคิดอยากชดใช้อะไรให้องค์หญิงหมิงเจ๋อบ้าง ทว่าตอนนี้แม้แต่องค์หญิงหมิงเจ๋ออยู่ที่ใดเขายังไม่รู้เลย แล้วแบบนี้จะทำอะไรได้เล่า
มู่ชิงอีเองก็รู้ว่าเรื่องแบบนี้นอกจากตัวนางเองแล้ว ต่อให้พูดกับคนอื่นเช่นไรไปก็เปล่าประโยชน์ มิเช่นนั้นเนี่ยอวิ๋นคงไม่กลัดกลุ้มเศร้าหมองมานานหลายปีขนาดนี้ สิ่งนี้เป็นตัวบ่งชี้ว่าถึงแม้เนี่ยอวิ๋นผู้นี้จะอยู่ในสถานที่ที่กินคนอย่างวังหลวงมานานก็จริง แต่กลับมีจิตใจดีไร้เจตนาร้ายซึ่งหาได้ยากนัก ถึงแม้นางจะเคยโกรธเกลียดเนี่ยอวิ๋น แต่ความจริงไม่ว่าจะมองจากมุมไหนการกระทำในตอนนั้นของเนี่ยอวิ๋นก็ไม่ถือว่าผิดด้วยซ้ำ อีกทั้งต่อให้ตอนนั้นเขายื่นมือเข้ามาช่วยจริงๆ เกรงว่าน้าหญิงอาจจะไม่ไปกับเขาก็ได้ เพราะในเมื่อตอนนั้นในจวนซู่เฉิงโหวยังมีน้องหญิงอยู่อีกคน
ยามที่มู่ชิงอีและเนี่ยอวิ๋นออกมาจากศาลาชิงอานก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว พวกเขาสองคนต่างว่างงาน ถึงแม้คนหนึ่งจะมีสติปัญญาเฉียบแหลมจนน่าตกใจ ส่วนอีกคนมีสุดยอดวิทยายุทธจนทำให้ใครต่อใครต่างเลื่อมใส ทว่าเหมือนจะถูกชะตากันมากพอสมควร พวกเขาพูดคุยกันจนผ่านไปสองชั่วยามโดยไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด พอออกจากศาลาชิงอานมา ขณะที่มู่ชิงอีหมุนตัวเตรียมเอ่ยคำล่ำลากับเนี่ยอวิ๋น ทันใดนั้นอีกฝั่งจากหัวมุมถนนก็เกิดเสียงดังอื้ออึงวุ่นวายขึ้น คนมากมายต่างทยอยวิ่งมาทางนี้อย่างบ้าคลั่ง ด้วยเหตุอยากให้ราษฎรสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของเชื้อพระวงศ์ นอกจวนในงานอภิเษกขององค์ชายเก้าจึงจัดงานเลี้ยงฉลองไว้ด้วยเพื่อให้ประชาชนคนทั่วไปในเมืองหลวงได้ลิ้มลอง คนเหล่านี้ก็คือพวกที่อยากไปร่วมสนุกในงานเลี้ยงฉลองอภิเษกนั่นเอง
“ในงานเลี้ยงฉลองอภิเษกเกิดเรื่องขึ้นหรือ” เนี่ยอวิ๋นมุ่นคิ้วเอ่ย เขายกเท้าเตรียมมุ่งหน้าไปทางจวนองค์ชายเก้า ในเมื่อเขาเป็นถึงหัวหน้าองครักษ์วังหน้า หากไม่รู้ยังว่าไปอย่าง แต่หากรู้แล้วจะนิ่งดูดายไม่ได้เด็ดขาด
ครั้นเห็นเขากำลังจะจากไป มู่ชิงอีก็รีบร้องเรียกรั้งเขาไว้ “พี่เนี่ย พาข้าไปด้วยขอรับ”
เนี่ยอวิ๋นขมวดคิ้วแน่นเอ่ย “ไม่ได้ เกรงว่าจะเป็นอันตราย” เนี่ยอวิ๋นย่อมมองออกว่าเขาเป็นหนุ่มน้อยที่ไร้ความสามารถในการต่อสู้ หากถึงเวลานั้นเกิดเรื่องเหนือความคาดหมายใดขึ้น ตนกลัวว่าจะไม่มีเวลามาปกป้องเขา
มู่ชิงอีกล่าว “ข้าดูจากมุมไกลๆ ก็พอแล้ว ข้าไม่เข้าไปวุ่นวายแน่นอน”
เนี่ยอวิ๋นเลยทำได้แค่คว้าตัวมู่ชิงอีมาแล้วกระโดดขึ้นกลางอากาศไปพร้อมกันอย่างไร้ทางเลือก จากนั้นก็ลอยตัวกระโดดข้ามหลังคาบ้านเรือนอื่นๆ มุ่งหน้าไปทางจวนองค์ชายเก้า
ด้วยสุดยอดวิชาตัวเบาของเนี่ยอวิ๋นทำให้มาถึงตรอกเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ไม่ไกลจากจวนองค์ชายเก้านักในเวลาอันรวดเร็ว เนี่ยอวิ๋นมองหนุ่มน้อยตรงหน้าแวบหนึ่งด้วยสีหน้าสับสนแล้วเอ่ยเสียงขรึม “เกรงว่าด้านหน้าจะมีอันตราย เจ้าอยู่ตรงนี้ไปก็แล้วกัน”
มู่ชิงอีพยักหน้าสื่อว่าเนี่ยอวิ๋นไม่ต้องสนใจตนแล้ว เนี่ยอวิ๋นมองเขาอีกแวบหนึ่งถึงหมุนตัวเดินมุ่งหน้าไปทางจวนองค์ชายเก้า
“อู๋ซิน งานเลี้ยงฉลองอภิเษกที่จวนองค์ชายเก้าเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ” มู่ชิงอีเอ่ยถามเสียงขรึม ถึงแม้วันนี้นางจะเดาได้ว่าอาจเกิดเรื่องใดขึ้น แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่ได้เป็นพยาธิในท้องของมู่หรงอวี้ ย่อมมิอาจคาดเดาได้ว่ามู่หรงอวี้คิดจะทำอะไรกันแน่
ในตรอกตกอยู่ในความเงียบครู่หนึ่ง แต่เวลาผ่านไปไม่นานนักอู๋ซินก็ลอยตัวกระโดดลงมาจากหลังคาเอ่ยรายงานด้วยเสียงนอบน้อม “เหมือนว่าจะมีองค์ชายและแขกบางคนโดนวางยาพิษเข้า เมื่อครู่จู่ๆ ก็มีนักฆ่าบุกเข้ามาอีกทั้งยังสังหารคนไปไม่น้อยด้วยขอรับ”