หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 271 งานเลี้ยงฉลองอภิเษกนองเลือด (2)
มู่ชิงอีเอ่ยด้วยท่าทีตกใจ “ดูท่าทางมู่หรงอวี้จะเล่นใหญ่เข้าแล้วจริงๆ” สั่งให้ลูกน้องบุกเข้ามาสังหารคนถึงในจวนองค์ชายของเมืองหลวงโต้งๆ เช่นนี้ หากมู่หรงอวี้ไม่ได้บ้าไปแล้วก็ต้องมั่นใจสุดขีดว่าตนจะสามารถหลุดพ้นไปได้ หรือบางทีอาจกล่าวได้ว่า…มีแผนการที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้นซ่อนอยู่
“พาข้าเข้าไปดูหน่อย” มู่ชิงอีกล่าว
“คุณชาย เกรงว่าตอนนี้ด้านในจะอันตรายเกินไป” อู๋ซินเอ่ยด้วยท่าทีกังวล มู่ชิงอีพูดขัด “ไม่ต้องเป็นกังวลไป พวกเราไม่ต้องเข้าไปใกล้ ขอแค่เห็นได้อย่างชัดเจนก็พอแล้ว”
เนื่องจากขัดขืนคำสั่งของมู่ชิงอีไม่ได้ อู๋ซินจึงทำได้แค่พาตัวมู่ชิงอีกระโดดขึ้นกำแพงไป ตรอกแห่งนี้ห่างจากจวนองค์ชายเก้าเพียงกำแพงกั้นเท่านั้นย่อมสะดวกมากอยู่แล้ว อีกทั้งตอนนี้ในจวนองค์ชายเก้าวุ่นวายอุตลุด ต่อให้พวกเขาเข้ามาจากตรงนี้ก็ไม่มีใครสังเกตเห็นแน่นอน
และเป็นไปตามคาดเพราะนางเข้าจวนองค์ชายเก้ามาตั้งนานแล้วแต่ไม่มีองครักษ์คนใดสังเกตเห็นนางสักคน ทว่ากลับได้ยินเพียงเสียงดังครึกโครมมาจากเบื้องหน้าและเสียงปะทะกันของอาวุธ อู๋ซินพามู่ชิงอีขึ้นไปนั่งอยู่บนต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านแน่นขนัดต้นหนึ่งในจวน ต่อให้อยู่มุมไกลๆ ก็สามารถมองเห็นว่าหน้าลานเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้อย่างชัดเจน ในลานมีเลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว มีหลายจุดที่องครักษ์มากมายกำลังปะทะฝีมือกับคนชุดดำอยู่
“มู่หรงอวี้ไม่ได้อยู่ในนั้นหรือ” มู่ชิงอีมองอยู่นานแต่ไม่เห็นเงาของมู่หรงอวี้เลยแม้แต่น้อย
อู๋ซินพยักหน้าเอ่ย “ไม่เห็นมู่หรงอวี้โผล่มาเลยขอรับ”
มู่ชิงอีขมวดคิ้วเอ่ย “ช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้มู่หรงอวี้จะไม่มาดูด้วยตัวเองได้เช่นไร หรือว่าเขาชิงออกนอกเมืองไปก่อนแล้วหรือ ไม่สิ…หากก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เขาต้องรอดูผลงานของตนเองอยู่แล้วสิ”
มู่ชิงอีเอนกายบนกิ่งไม้ คิ้วงามขมวดมุ่นพลางขบคิดบางอย่าง
“ชิงชิง…” ฉับพลันเสียงของใครบางคนก็ดังขึ้นด้านหลังโดยไม่ให้สุ่มให้เสียง ถ้ามู่ชิงอีไม่ได้เกาะกิ่งไม้ไว้เกรงว่าคงตกไปแล้ว ในขณะเดียวกันก็มีแขนข้างหนึ่งโอบรั้งเอวบางของนางไว้จากด้านหลัง
“ชิงชิงดื้อจริงๆ เหตุใดถึงมาที่นี่ได้เล่า” หรงจิ่นเอ่ยถามเสียงเบา
มู่ชิงอีหันไปมองค้อนใส่เขาที่หนึ่ง “องค์ชายเก้าควรจะยืนขาสั่นด้วยความกลัวอยู่ด้านล่างมิใช่หรือ เหตุใดถึงมาโผล่ที่นี่ได้ ไม่กลัวหรงเหยี่ยนสงสัยท่านหรือเพคะ”
หรงจิ่นยิ้มเย้ยก่อนเอ่ย “ชิงชิงวางใจได้เลย ตอนนี้เขาบาดเจ็บจนขยับตัวไม่ได้ ไหนเลยจะมีเวลามาสนใจว่าข้าอยู่ที่ใด”
“บาดเจ็บ?”
“ใช่แล้ว ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น แม้แต่ไหวหยางยังถูกคนจะลอบฆ่าอีกด้วย” หรงจิ่นเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจราวกับคนที่บาดเจ็บไม่ใช่พี่น้องของเขาก็มิปาน
มู่ชิงอีอดถอนหายใจไม่ได้ “ยอมทุ่มสุดตัวจริงๆ” เหตุใดหรงเหยี่ยนถึงจัดการเช่นนี้มู่ชิงอีพอจะคาดเดาได้ แต่กระทั่งฟันองค์หญิงไหวหยางไปพร้อมกันด้วย หรงเหยี่ยนช่างโหดเหี้ยมมากจริงๆ
“เห็นมู่หรงอวี้หรือไม่เพคะ” มู่ชิงอีเอ่ยถาม
หรงจิ่นส่ายศีรษะ “มู่หรงอวี้ไม่ปรากฏตัวให้เห็นตั้งแต่แรกแล้ว เขาไม่ได้อยู่ในจวนองค์ชายเก้าแน่นอน”
“ท่านรู้ได้เช่นไรหรือ” มู่ชิงอีเอ่ยถามอย่างสงสัย
หรงจิ่นกล่าวอย่างเริงร่า “เพราะถ้าเป็นข้าล่ะก็ ตอนนี้ข้าคงไม่มาจวนองค์ชายเก้าหรอก”
มู่ชิงอีเลิกคิ้วสงสัย “เช่นนั้นท่านจะไปไหนเล่า”
“ข้าคง…เข้าวังเพื่อลอบฆ่าคน!” หรงจิ่นฉีกยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวสะอาด
ลอบฆ่า!?
มู่ชิงอีขมวดคิ้ว “เขาทำได้หรือ” ต่อให้วันนี้มีคนมากมายมาจวนองค์ชายเก้า แต่ในวังเองก็คงมีคนอยู่ไม่น้อยเช่นกัน ด้วยฝีมือการต่อสู้ของมู่หรงอวี้คิดจะลอบฆ่าใคร เกรงว่าฝีมือคงยังไม่ถึงขั้นนั้นกระมัง
หรงจิ่นขบคิดด้วยท่าทีจริงจัง “เหอะ ข้าบอกว่าข้าลอบฆ่าคนได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะทำได้” อย่างน้อยวิทยายุทธของหรงจิ่นก็เหนือชั้นกว่ามู่หรงอวี้สองสามระดับ หากหรงจิ่นมั่นใจว่าจะสามารถลอบสังหารฮ่องเต้แคว้นหวาได้ห้าส่วน ดังนั้นมู่หรงอวี้แม้แต่หนึ่งส่วนก็ยังไม่ถึงด้วยซ้ำ
“อีกอย่างข้ายังสังเกตเห็นด้วยว่ามีอีกคนที่ไม่อยู่ในเหตุการณ์เช่นกัน” หรงจิ่นมุ่นคิ้วแล้วเอ่ยอย่างไม่ชอบใจนัก
“ใครหรือ”
“เว่ยอู๋จี้” หรงจิ่นกัดฟันเอ่ย
“เว่ยอู๋จี้หรือ” มู่ชิงอีเลิกคิ้ว “เว่ยอู๋จี้เป็นคนฝั่งใคร”
หรงจิ่นยิ้มเยาะทีหนึ่ง “เว่ยอู๋จี้ไม่ใช่คนฝั่งใครทั้งนั้น ใครมีเงินเขาก็เข้าฝั่งนั้นนั่นแหละ มิเช่นนั้นเจ้าคิดว่าเว่ยอู๋จี้จะกลายเป็นเศรษฐีอันดับหนึ่งในใต้หล้าได้ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงสิบปีหรือ”
“เว่ยอู๋จี้เขา…” มู่ชิงอีเอ่ยขึ้นอย่างข้องใจ
หรงจิ่นยิ้มเย็นชากล่าว “เขาคือหัวหน้าใหญ่ผู้อยู่เบื้องหลังของกลุ่มนักฆ่าอันดับหนึ่งในแคว้นเย่ว์หันเสวี่ยโหลว”
มู่ชิงอีตกตะลึงตาค้างไม่ได้ กวาดตามองหรงจิ่นอยู่นาน ในที่สุดก็อดเอ่ยขึ้นไม่ได้ว่า “เช่นนั้นท่านไม่ถูกเว่ยอู๋จี้ฆ่าตายเพราะเขาอ่อนข้อให้กระมัง”
“ข้าต้องขอให้เขาอ่อนข้อให้ด้วยหรือ” หรงจิ่นยิ้มเย็นชาแล้วจับคางสาวงามในอ้อมกอดอย่างไม่สบอารมณ์นัก เอ่ยอย่างผยอง “ลำพังแค่ข้าคนเดียวก็สามารถหนีพวกลูกน้องของหันเสวี่ยโหลได้แล้ว กลุ่มนักฆ่าอันดับหนึ่งบ้าบออะไรกัน!”
“นั่นสิ องค์ชายเก้าแข็งแกร่งนักเพคะ” มู่ชิงอีเอ่ยอย่างขอไปที
หรงจิ่นเห็นเช่นนั้นก็เดือดดาล “ข้าจะไปฆ่าเขาเดี๋ยวนี้แหละ”
มู่ชิงอีรีบรั้งเขาเอาไว้แล้วเอ่ยอย่างเอือมระอา “องค์ชาย ท่านยังจำได้หรือไม่ว่าตอนนี้พวกเราอยู่ที่ใดกัน” พวกเขายังอยู่บนต้นไม้ใหญ่ในจวนองค์ชายเก้า ถ้าถูกใครเห็นเข้าคงจบสิ้นกันพอดี
หรงจิ่นแค่นเสียงเบาทีหนึ่ง จากนั้นก็คว้าตัวนางมาโอบไว้ในอ้อมกอดแล้วพุ่งตัวออกจากต้นไม้หายวับไปจากจวนองค์ชายเก้า มุ่งหน้าไปทางวังหลวงอย่างเงียบเชียบ
“องค์ชายเก้า ท่านคิดจะทำอันใดอีกหรือเพคะ” มู่ชิงอีมุดอยู่ในอ้อมอกของหรงจิ่นแล้วเอ่ยถามอย่างเหนื่อยหน่ายใจ
หรงจิ่นก้มหน้ามองนางแวบหนึ่ง “ไปดูละครสนุกๆ ในวังกัน อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่อยากดู”
นางอยากดูมากก็จริง แต่หากถึงขั้นเข้าวังไปดูเรื่องสนุกๆ ก็ออกจะเหิมเกริมเกินไปหน่อยแล้ว อีกอย่างจะถูกคนเห็นตัวได้ง่ายด้วย
“แค่อยากดูก็พอแล้วมิใช่หรือ” หรงจิ่นแค่นเสียงเบาแล้วเอ่ยด้วยท่าทีสบายๆ
ขณะที่มู่ชิงอีกำลังจะอ้าปากเอ่ยคัดค้าน ใครบางคนก็พุ่งขึ้นไปอยู่บนกำแพงของวังหลวงแล้ว มู่ชิงอีทำได้แค่แอบลุ้นว่าตอนนี้ท้องฟ้าจะมืดพอหรือไม่เท่านั้น เพราะมีหลายจุดที่ไม่ทันได้จุดไฟจึงสบโอกาสให้ใช้พรางตัวได้พอดี
ในวังยังคงเงียบสงบ ถึงแม้จวนองค์ชายเก้านอกวังจะโกลาหลแต่กลับไม่ส่งผลใดต่อคนในวังสักนิด ราวกับไม่มีใครคิดว่าทุกอย่างนอกวังจะเกี่ยวข้องอันใดกับคนในวังอย่างไรอย่างนั้น หรงจิ่นโอบตัวมู่ชิงอีพาหลบเหล่าองครักษ์มากมายไปแอบอยู่บนหลังคาพระตำหนักฉินเจิ้ง
มองเข้าไปจากด้านนอกฮ่องเต้แคว้นหวาทรงกำลังจัดการกับกองเอกสารอยู่ พระตำหนักตกอยู่ในความเงียบสงบ ควันสีขาวลอยโขมงออกมาจากกระถางเครื่องหอมภายในพระตำหนักซึ่งช่วยทำให้จิตใจผ่อนคลาย เห็นได้ชัดว่าเรื่องขององค์ชายเก้าไม่ได้ส่งผลใดต่อฮ่องเต้แคว้นหวาเลย
ไม่ใช่ว่านางจะเดาผิดหรอกกระมัง มู่ชิงอีขมวดคิ้วมุ่นอย่างสงสัย
มือข้างที่ใช้โอบเอวมู่ชิงอีของหรงจิ่นกระชับแน่นมากกว่าเดิมสื่อว่าอย่าเพิ่งกระวนกระวายใจไป
ผ่านไปนานฮ่องเต้แคว้นหวาที่อยู่ในพระตำหนักก็จัดการกองเอกสารเบื้องหน้าเสร็จ พระองค์เงยหน้าขึ้นแล้วนวดคลึงหว่างคิ้วพลางตรัสถามขึ้นว่า “เรื่องทางจวนองค์ชายเก้าเป็นเช่นไรบ้างแล้ว”
“ทูลฝ่าบาท ตอนนี้…ยังไม่มีข่าวคราวใดพ่ะย่ะค่ะ”
“ลูกมารผจญ!” ฮ่องเต้แคว้นหวาตรัสขึ้นด้วยความเกรี้ยวโกรธ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเดือดดาล เห็นได้ชัดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ใช่ว่าจะไม่ส่งผลใดต่อเขาเลย เพียงแต่สิ่งที่เขาให้ความสนใจกลับไม่ใช่ภัยอันตรายขององค์ชายเก้ากับงานเลี้ยงอภิเษกก็เท่านั้น