หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 276 ออกจากเมืองหลวง เจ้าสำนักเย่าหวังกู่ (3)
จ้าวจื่ออวี้มองเนี่ยอวิ๋นพลางครุ่นคิดบางอย่าง “ศิษย์พี่ เมื่อวานท่านเองก็เจอจังชิง คิดว่าคนผู้นี้เป็นเช่นไรหรือ”
เนี่ยอวิ๋นนิ่งเงียบขบคิดอยู่นาน ทว่ากลับส่ายศีรษะแล้วไม่พูดอะไร จ้าวจื่ออวี้และเซ่าจิ่นสบตากันแล้วเผยสีหน้าไม่เข้าใจว่าเนี่ยอวิ๋นหมายความว่าเช่นไร เขาไม่อยากบอกหรือไม่มีความคิดเห็นใดกันแน่
เซ่าจิ่นถอนหายใจอย่างจนปัญญาเอ่ย “หวังว่าฝ่าบาทจะไม่เอาเรื่องครั้งนี้มาโทษเนี่ยอวิ๋น” เนี่ยอวิ๋นโชคร้ายมามากพอแล้ว เรื่องจิ่วจ่วนหลิวหลงไม่เกี่ยวอะไรกับเขาด้วยเลยแต่ความซวยดันมาตกที่เขาได้ ไม่ง่ายเลยกว่าจะถูกปล่อยตัวออกมา ดูท่าทางฝ่าบาทเองก็ไม่คิดจะใช้งานเขาอีก บัดนี้นอกจากเรื่องคดีนี้แล้ว เขายังบังเอิญเจอกับจังชิงก่อนหน้านี้พอดี อีกทั้งได้ยินมาว่าพวกเขาสองคนสนทนากันตลอดทั้งบ่ายอีกด้วย
“ไม่มีอะไรหรอก” เนี่ยอวิ๋นหันไปมองหมากบนกระดานแวบหนึ่งแล้วหมุนตัวเดินจากไปอย่างเงียบๆ
“ไม่มีอะไรหรอกอย่างนั้นหรือ” เซ่าจิ่นเลิกคิ้ว “ไม่เชื่อข้าหรือ”
จ้าวจื่ออวี้มองเขาด้วยสีหน้าเรียบนิ่งแวบหนึ่งแล้วหมุนตัวเดินตามเนี่ยอวิ๋นไป ทิ้งให้เซ่าจิ่นถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายเพียงลำพังแล้วบ่นพึมพำว่า “หวังแค่ว่าคนที่ต้องไล่ตามสืบเรื่องนี้จะไม่ใช่ข้า ข้ารู้สึกสังหรณ์ใจว่าสองคนนี้จะเป็นนักโทษที่รับมือยากกว่าใครทุกคนรวมกันในตลอดหลายปีมานี้ที่ข้าเจอมาเลยก็ว่าได้”
เห็นได้ชัดว่าคำอธิษฐานของเซ่าจิ่นไร้ประโยชน์ เพราะพอได้ยินข้าหลวงเบื้องล่างกราบทูลรายงานในพระตำหนักฉินเจิ้ง ฮ่องเต้แคว้นหวาก็ปะทุไฟโทสะขึ้นมาทันทีแล้วปัดพู่กัน หมึก กระดาษและถ้วยชาที่อยู่บนโต๊ะตรงหน้าลงพื้นกระจัดกระจาย ทุกคนในพระตำหนักทำได้แค่คุกเข่าลงพื้นแล้วเอ่ยขอให้ฝ่าบาทอย่าทรงกริ้วไป
“อย่าทรงกริ้ว! อย่าทรงกริ้ว! เราคลายความโกรธไม่ได้! พวกคนไร้ประโยชน์! หากไม่เอาหัวของกู้ซิ่วถิงและจังชิงนั่นมาให้เรา เราก็จะเอาหัวของพวกเจ้าแทน!” ฮ่องเต้แคว้นหวาตวาดเสียงดังด้วยความโมโห
มีข้าหลวงกรมอาญาคนหนึ่งเดินออกมาจากแถวด้วยท่าทีหวาดกลัว “กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา…กระหม่อมจะรีบติดประกาศตามหาไล่ล่าพวกกู้ซิ่วถิงและจังชิงพ่ะย่ะค่ะ!”
“เจ้าโง่!” ฮ่องเต้แคว้นหวาคว้าถ้วยชาใบหนึ่งเขวี้ยงใส่อย่างหัวเสีย ข้าหลวงผู้น่าสงสารไม่กล้าหลบจึงถูกน้ำชากระเซ็นใส่โดยไม่กล้าแม้แต่ขยับตัว โชคดีที่ตอนนี้เป็นช่วงฤดูร้อน น้ำชาเองก็ไม่ได้ร้อนมาก เพราะฮ่องเต้แคว้นหวามัวแต่ก่นด่าจึงไม่ได้ดื่ม
ราชสำนักเพิ่งรื้อคดีทวงความยุติธรรมให้ตระกูลกู้และแต่งตั้งตำแหน่งให้กู้ซิ่วถิงไป หากตอนนี้ป่าวประกาศตามหาตัวกู้ซิ่วถิง ผู้คนทั่วทั้งใต้หล้าจะมองความน่าเกรงขามของราชสำนักและเชื้อพระวงศ์เช่นไร
“ฝ่า…ฝ่าบาทอย่าทรงกริ้วไปเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แคว้นหวาแค่นเสียงเย็นชาแล้วตรัสว่า “ถ่ายทอดคำสั่งเราออกไปว่าให้ตามสืบอย่างลับๆ หากข้าได้ยินข่าวเสื่อมเสียใดจากด้านนอก…”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา”
“เนี่ยอวิ๋น”
เนี่ยอวิ๋นก้าวขึ้นมาด้านหน้าแล้วก้มหน้ารอรับคำสั่งอย่างนอบน้อม “ฝ่าบาท”
ฮ่องเต้แคว้นหวาจับจ้องกวาดตามองเนี่ยอวิ๋นอยู่นานถึงตรัสว่า “เราขอมอบหมายภารกิจตามจับจังชิงให้เจ้า เจ้าจะตามจับตัวกลับมาได้เมื่อไร”
เนี่ยอวิ๋นเอ่ยตอบเสียงขรึม “กระหม่อมจะพยายามอย่างสุดความสามารถพ่ะย่ะค่ะ”
“เราไม่ต้องการความพยายามอะไรทั้งสิ้น เราแค่ต้องการเห็นหัวของจังชิงเท่านั้น!” ฮ่องเต้แคว้นหวาเต็มไปด้วยโทสะ เนี่ยอวิ๋นก้มศีรษะกล่าว “กระหม่อมน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
“ตามที่บอกไป” ฮ่องเต้แคว้นหวาตรัสเสียงขรึม “หากไม่เห็นหัวของจังชิงก็ให้คนถือหัวของเจ้ามาแทน เซ่าจิ่น จ้าวจื่ออวี้ พวกเจ้าคอยตามช่วยเหลือเนี่ยอวิ๋น อย่าทำให้ข้าผิดหวัง”
“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากออกประตูวังมา พวกเขาสามคนก็เดินเนิ่บนาบเคียงไหล่กันโดยไม่ปริปากพูดอะไร ผ่านไปนานเซ่าจิ่นถึงถอนหายใจกล่าว “สหายเนี่ย เจ้าคิดจะทำเช่นไรต่อไป”
เนี่ยอวิ๋นเงยหน้ามองพวกเขาสองคน “ขอโทษที่พลอยทำให้พวกเจ้าเดือดร้อนไปด้วย”
จ้าวจื่ออวี้ขมวดคิ้วมุ่นกล่าว “ศิษย์พี่พูดอะไรกัน ต่อให้ไม่ใช่ท่าน เกรงว่าฝ่าบาทก็ต้องรับสั่งให้พวกเราจัดการอยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้นพวกเราเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกันจะพูดแบบนี้ทำไมเล่า”
เซ่าจิ่นพยักหน้ากล่าว “จื่ออวี้พูดถูก แต่…จังชิงผู้นั้น…จะจับตัวมาได้ง่ายดายขนาดนั้นเชียวหรือ” ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้หวังอะไรมากอยู่แล้ว เซ่าจิ่นมองเนี่ยอวิ๋นด้วยความสงสัยแล้วเอ่ยถาม “สหายเนี่ย เจ้ารู้อะไรบางอย่างใช่หรือไม่”
เนี่ยอวิ๋นหลุบตาลงแล้วส่ายศีรษะเล็กน้อย ผ่านไปอีกสักสองสามวันค่อยไปขอรับโทษจากฝ่าบาทแล้วแบกรับความผิดทั้งหมดไว้ก็สิ้นเรื่อง ทำเรื่องที่ฝืนใจเพียงครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว เขาจะทำผิดอีกครั้งได้เช่นไร ยิ่งไปกว่านั้น…เขาเองก็ไม่อยากจับตัว…หญิงสาวคนนั้นมาเข้าคุกเลยจริงๆ
จ้าวจื่ออวี้และเซ่าจิ่นสบตากัน ครั้นเห็นเขารั้นปิดปากไม่ยอมพูด ก็ไม่ได้บีบคั้นอะไร
ในกระท่อมที่ไม่เตะตาใครมุมหนึ่งนอกเมืองหลวง หนุ่มสาวที่มีใบหน้างดงามทั้งสามต่างสบตากัน บรรยากาศในกระท่อมเต็มไปด้วยความอึมครึม
มู่หรงซีที่เปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้วจับจ้องสองพี่น้องตรงหน้าด้วยใบหน้าหล่อเหลาอันบูดบึ้งซึ่งเห็นได้ยากนัก พอนึกถึงตอนที่เขาเพิ่งตื่นขึ้นมาแล้วเห็นตัวเองสวมชุดสตรี ผิงอ๋องอดีตองค์รัชทายาทก็อดเผยสีหน้าขึงขังไม่ได้
มู่ชิงอีอดพุ่งตัวเข้าไปอิงแอบข้างกายกู้ซิ่วถิงไม่ได้ จากนั้นก็เอ่ยเสียงหวานอย่างไร้เดียงสา “พี่ชาย ท่านอย่าโมโหไปเลย นี่ไม่ใช่ความคิดของหม่อมฉันกับพี่ใหญ่จริงๆ นะเพคะ”
ถึงแม้ในใจนางจะชื่นชมความคิดของหรงจิ่นมาก แต่นางจะออกปากชมต่อหน้าพี่ชายไม่ได้เด็ดขาด อีกอย่างตอนนี้หรงจิ่นก็ไม่อยู่ด้วย ถือโอกาสเอาเขามาเป็นแพะรับบาปได้พอดี
ในเวลานี้กู้ซิ่วถิงรู้ทันสถานการณ์เป็นอย่างดี เขามองน้องสาวแล้วพยักหน้าเอ่ยอย่างจริงจัง “ใช่แล้วพี่ชาย ตอนที่พวกเราได้สติ ท่านก็ถูก…ซัดจนหมดสติไปแล้ว พวกเราคงมิอาจทิ้งพี่ชายไว้ที่จวนตระกูลจังได้กระมัง”
ถึงแม้มู่หรงซีจะโกรธแต่ก็พูดอะไรไม่ออก ในหมู่พวกเขาสามคนคนที่มีวิทยายุทธติดตัวก็คือเขา หากแม้แต่เขายังสัมผัสการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของหรงจิ่นไม่ได้ เช่นนั้นก็คงมิอาจโทษน้องทั้งสองคนได้ ยิ่งไปกว่านั้นแต่ไหนแต่ไหรมามู่หรงซีก็ไม่ใช่คนที่จะแยกแยะดีชั่วไม่ออก เขาย่อมรู้อยู่แล้วว่าซิ่วถิงและชิงอีหวังดีกับเขา
เขาถอนหายใจอย่างจนใจ “พวกเจ้านี่นะ…”
กู้ซิ่วถิงนึกเสียดายอยู่บ้างเพราะเขาไม่ได้คิดจะจากเมืองหลวงมาเร็วขนาดนี้ เดิมทีคิดจะยืมอำนาจของเชื้อพระวงศ์แคว้นหวาตามสืบเรื่องสำนักเย่าหวังกู่ก่อน แต่ในเมื่อไม่ได้เป็นไปตามแผนตอนนี้คงทำได้แค่คิดหาวิธีใหม่เองแล้ว
“พี่ชาย ตอนนี้เราคงกลับไปไม่ได้แล้ว ท่านมีแผนการใดต่อไปหรือ” กู้ซิ่วถิงเอ่ยถาม ตอนนี้กลับไปเมืองหลวงก็มีแต่คำว่าตายสถานเดียว ต่อให้มู่หรงซีคิดว่าอยู่ต่อไปก็ไร้ความหมาย แต่อย่างน้อยก็คงไม่ส่งตัวเองกลับไปตายกระมัง
มู่หรงซีเงียบอยู่นานถึงเอ่ย “เมืองหลวงก็แทบไม่มีอะไรคุ้มค่าให้อาลัยอาวรณ์อยู่แล้ว” ความแค้นของเสด็จแม่ก็เอาคืนได้แล้ว ตระกูลกู้ก็ทวงความยุติธรรมได้แล้ว ถึงแม้บัดนี้มู่หรงอวี้จะยังมีชีวิตอยู่ แต่มู่หรงซีเชื่อว่าเขาไม่มีทางอยู่อย่างเป็นสุขแน่นอน แต่คนที่สูญเสียไปไม่มีทางเอากลับมาได้อีกชั่วนิรันดร์ เช่นนี้เลยทำให้คนที่แก้แค้นสำเร็จรู้สึกว่างเปล่าและสับสนไม่ได้ เขามองสองพี่น้องตรงหน้าแล้วถอนหายใจเสียงเบาเอ่ย “ปรับตัวให้เข้ากับทุกสถานการณ์ก็แล้วกัน”
มู่ชิงอีมุ่นคิ้ว ชั่งใจครู่หนึ่งถึงเอ่ย “พวกเราไปแคว้นเย่ว์ด้วยกันเถิด”
กู้ซิ่วถิงเลิกคิ้ว มู่ชิงอีอธิบายต่อไป “หรงจิ่นบอกว่าสำนักเย่าหวังกู่อยู่ที่แคว้นเย่ว์” นางไม่อยากให้พี่ใหญ่และพี่ชายมาพัวพันอะไรกับแคว้นเย่ว์หลังจากหลุดพ้นมาจากแคว้นหวาแล้วก็จริง แต่หากสำนักเย่าหวังกู่อยู่ที่แคว้นเย่ว์จริงๆ พวกเขาก็ต้องไปอยู่ดี
กู้ซิ่วถิงขบคิดบางอย่าง “แคว้นเย่ว์ป่าเขางดงามเหมาะกับการเจริญเติบโตของพืช หากบอกว่าสำนักเย่าหวังกู่อยู่แคว้นเย่ว์ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
มู่หรงซีที่รู้ว่าพวกเขาสองคนเป็นกังวลเรื่องสุขภาพตนก็ฉีกยิ้มขมขื่นอย่างจนใจเอ่ย “ซิ่วถิง ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้…สำนักเย่าหวังกู่เป็นที่ที่คนนอกจะเข้าได้ตามใจชอบเสียที่ไหนกัน”