หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 277 ออกจากเมืองหลวง เจ้าสำนักเย่าหวังกู่ (4)
มู่ชิงอีเอ่ย “ต่อให้ไม่ไปสำนักเย่าหวังกู่ ตอนนี้พวกเราก็อยู่ที่แคว้นหวาต่อไปไม่ได้” ตอนนี้พวกเขาเป็นนักโทษที่ถูกหมายหัวของเชื้อพระวงศ์ในแคว้นหวา ต่อให้ฮ่องเต้แคว้นหวาจะรักศักดิ์ศรีไม่มีทางป่าวประกาศตามจับพวกเขาไปทั่วใต้หล้า ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาพลังที่เก็บซ่อนไว้ของเหล่าเชื้อพระวงศ์มีอยู่ไม่น้อย และนั่นกลับสร้างความวุ่นวายมากกว่าเดิมด้วย
“มู่ชิงอีพูดถูก” กู้ซิ่วถิงยิ้มกล่าว
มู่หรงซีเองก็ไร้หนทางจะคัดค้านได้เลยทำได้แค่พยักหน้าเห็นด้วย
ในห้องลับแห่งหนึ่งของจวนราชทูตแคว้นเย่ว์ หรงเหยี่ยนได้ยินคำพูดของท่านหมอเช่นนั้นก็เผยสีหน้าไม่สู้ดีนัก “ไร้หนทางแล้วจริงๆ หรือ”
ท่านหมอผู้นี้เป็นหมอที่ตามมากับขบวนราชทูตแคว้นเย่ว์จึงไม่จำเป็นต้องพูดจาพะว้าพะวงอะไร เขาส่ายศีรษะเอ่ย “กงอ๋องเส้นชีพจรเสียหาย เดิมทีอาการไม่ได้หนักอะไรมากมายแค่รักษาดูอาการสักสามถึงห้าเดือนก็หายแล้ว แต่เพราะภายหลังกงอ๋องผลีผลามใช้กำลังภายใน อีกทั้งระยะนี้มีเรื่องกลัดกลุ้มใจและอารมณ์ร้อนฉุนเฉียวอยู่บ่อยครั้ง บัดนี้เส้นชีพจรถูกทำลาย กระหม่อมฝีมือการรักษาไม่ได้เรื่อง เกรงว่าคงไร้หนทางจะช่วยรักษาได้”
“ต่อให้ไม่ได้ก็ต้องยื้อจนกว่าเขาจะยอมมอบของให้ข้าก่อนค่อยว่ากัน!” หรงเหยี่ยนเอ่ยอย่างโมโห เขายอมลำบากตรากตรำเอาชีวิตไปเสี่ยงแผนการอันตรายมาตั้งนาน ถึงแม้จะกล่าวว่าผลลัพธ์น่ายินดี แต่มู่หรงอวี้ยังไม่ได้จ่ายค่าตอบแทนอะไรสักอย่าง หากปล่อยให้ตายไปแบบนี้ เขาก็ขาดทุนแย่สิ
ท่านหมอส่ายศีรษะอย่างจนใจ เขาเป็นหมอ ช่วยรักษาได้แต่คงช่วยชีวิตไม่ไหว อาการบาดเจ็บของกงอ๋องสาหัสขนาดนี้แต่ยังรวบรวมลมหายใจเฮือกสุดท้ายไว้ได้ถือว่าไม่ง่ายจริงๆ “เส้นชีพจรที่ได้ความเสียหายของกงอ๋อง นอกจากจะมียาวิเศษหายากในโลกหรือยอดฝีมือขั้นสูงยอมใช้กำลังภายในช่วยต่อเส้นชีพจรให้เขา มิเช่นนั้นคงไม่มียาใดรักษาได้”
“ช่างไร้ประโยชน์นัก!” หรงเหยี่ยนตวาดใส่ด้วยสีหน้าดุดัน
“รายงานท่านอ๋อง ด้านนอกมีคุณชายท่านหนึ่งมาขอพบพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์นอกประตูกล่าวรายงานด้วยน้ำเสียงนอบน้อม หรงเหยี่ยนกำลังเดือดดาลจึงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “คุณชายที่ใดกัน ไม่พบ!”
องครักษ์ลังเลอยู่ครู่หนึ่งถึงเอ่ย “คุณชายผู้นั้นบอกว่าเขามาจากแคว้นเย่ว์ เขาบอกว่า…เขาเป็นหมอพ่ะย่ะค่ะ”
“เป็นหมอหรือ เช่นนั้นก็เชิญไปที่ห้องหนังสือ” หรงเหยี่ยนขมวดคิ้วใคร่ครวญก่อนตัดสินใจออกไปเจอ
ในห้องหนังสือ หรงเหยี่ยนเข้าประตูมาก็เห็นชายหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งกำลังนั่งถือหนังสือก้มหน้าพลิกอ่านไปมาอยู่ริมหน้าต่าง
ครั้นได้ยินเสียง ชายหนุ่มผู้นั้นถึงเงยหน้าขึ้นมองหรงเหยี่ยน “ตวนอ๋อง เป็นเกียรตินัก”
หรงเหยี่ยนมองสำรวจอย่างละเอียดถึงเห็นว่าหนุ่มผู้นั้นอายุคงราวๆ ยี่สิบสี่ถึงยี่สิบห้าปีเท่านั้น ใบหน้าหล่อเหลาเหนือใคร เพียงแต่สีหน้าที่ปรากฏให้เห็นมีแต่ความเย็นชาราวกับน้ำแข็ง ดวงตาทั้งสองข้างยิ่งมองไม่เห็นความอ่อนโยนเลยสักนิดราวกับน้ำแข็งเย็นเฉียบที่ถึงแม้จะผ่านไปเป็นหมื่นปีก็ไม่มีทางละลายได้
“คุณชายเป็นใคร มาหาข้ามีเรื่องอันใด” หรงเหยี่ยนเอ่ยถาม
หนุ่มชุดขาวเอ่ยเสียงเรียบ “มั่วเวิ่นฉิง”
“มั่วเวิ่นฉิงหรือ” หรงเหยี่ยนผงะไปด้วยท่าทีตกใจ “เป็น…เจ้าสำนักเย่าหวังกู่อย่างนั้นหรือ” ถึงแม้สำหรับคนนอกแล้วสำนักเย่าหวังกู่จะลึกลับมาก แต่ถึงอย่างไรก็อยู่ในเขตแดนแคว้นเย่ว์ เช่นนั้นเหล่าเชื้อพระวงศ์แคว้นเย่ว์จะไม่รู้จักได้เช่นไร
หนุ่มชุดขาวพยักหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ
ก็ไม่แปลกหากหรงเหยี่ยนจะไม่เชื่อ มั่วเวิ่นฉิงเป็นเจ้าสำนักของเย่าหวังกู่ซึ่งหากกล่าวถึงฝีมือการรักษาแล้วย่อมพูดได้อย่างสมศักดิ์ศรีเลยว่าอยู่เหนือใครในใต้หล้า อีกทั้งเล่าลือกันว่าหากลูกศิษย์ของเย่าหวังกู่อายุครบสิบห้าปีก็ต้องออกผจญยุทธภพ อีกอย่างมั่วเวิ่นฉิงก็มีชื่อเสียงโด่งดังมาตั้งแต่อายุสิบห้าสิบหกปีก่อนแล้ว ถึงแม้จะเป็นระยะเวลาสั้นๆ เพียงชั่วพริบตาเดียว แต่หากลองคำนวณดูแล้วอย่างน้อยมั่วเวิ่นฉิงก็น่าจะอายุสามสิบเอ็ดสามสิบสองปี ทว่าบุรุษหนุ่มตรงหน้า ก่อนหน้านี้ที่เดาว่าเขาอายุยี่สิบสี่ยี่สิบห้าเพราะดูจากใบหน้าอ่อนวัยของเขา มิเช่นนั้นหากบอกว่าเพิ่งบรรลุนิติภาวะเกรงว่าก็คงมีคนเชื่อเช่นกัน
“ไม่เชื่อหรือ” มั่วเวิ่ยฉิงเลิกคิ้วเอ่ยถาม
“มิบังอาจ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าคุณชายมั่วจะเดินทางมาถึงแคว้นหวา ข้าก็แค่ตกใจเท่านั้น” หรงเหยี่ยนเชื่อว่าบนโลกนี้คงมีไม่กี่คนที่จะกล้าหาเรื่องมั่วเวิ่นฉิง ถึงแม้ฝีมือวิทยายุทธของคนในสำนักเย่าหวังกู่เป็นเช่นไรบ้างจะไม่มีใครรู้ แต่เรื่องพิษเป็นเช่นไรคนอื่นๆ ต่างรู้ดี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าอย่างน้อยหมอมีชื่อในใต้หล้าเกินครึ่งล้วนออกมาจากสำนักเย่าหวังกู่หรือกระทั่งมีความเกี่ยวข้องกับสำนักเย่าหวังกู่ เพราะเหตุนี้ถึงทำให้สำนักเย่าหวังกู่กลายเป็นสำนักที่มีไม่กี่คนบนโลกใบนี้ที่คิดจะกล้าล่วงเกินหรือสบประมาท
“ไม่รู้ว่าคุณชายมั่วมาที่นี่ด้วยเรื่องอันใดหรือ” หรงเหยี่ยมเอ่ยถามยิ้มๆ การได้พูดคุยผูกสัมพันธ์กับเจ้าสำนักเย่าหวังกู่ย่อมเป็นเรื่องที่ดี
มั่วเวิ่นฉิงเอ่ยเสียงเรียบ “มาหาคน”
“มาหาใครหรือ ข้าสามารถช่วยตามหาได้หรือไม่”
แววตาเย็นชาของมั่วเวิ่นฉิงกวาดมองใบหน้าของเขาแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “มู่หรงอวี้”
หรงเหยี่ยนชะงักไป เพราะสีหน้าของมั่วเวิ่นฉิงเรียบนิ่งเกินไปจึงทำให้เขาดูไม่ออกว่าตกลงเขาผู้นี้มีความแค้นกับมู่หรงอวี้หรือมีความเกี่ยวข้องอันใดด้วยกันแน่ ขณะที่กำลังชั่งใจก็ได้ยินมั่วเวิ่นฉิงเอ่ยขึ้นว่า “ข้ารู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ ข้าช่วยเขาได้”
“…”
เพื่อจับกุมตัวพวกมู่ชิงอี ทั้งนอกและในเมืองหลวงจึงมีคนคุ้มกันอย่างแน่นหนา ขบวนเดินทางกลับซีหลิงต้องหยุดชะงักลงเพราะอาการบาดเจ็บของหรงเหยี่ยนยังไม่ฟื้นตัวดีและอาการบาดเจ็บขององค์หญิงไหวหยางยังสาหัสเลยต้องอยู่ต่อชั่วคราว ขณะเดียวกันในเมืองหลวงก็จัดพิธีศพอยู่หลายจุดและปกคลุมไปด้วยความโศกเศร้าตกแต่งด้วยผ้าสีขาวดำตลอดเดือนเจ็ด
พวกมู่ชิงอีทั้งสามคนยังคงพักอยู่ในกระท่อมนอกเมือง ถึงแม้ตัดสินใจแล้วว่าจะไปจากแคว้นหวา แต่ใช่ว่าบทจะไปก็ตัดใจไปได้เลยจริงๆ ด้วยอิทธิพลที่เหลือของตระกูลกู้ต้องจัดการวางใหม่ทั้งหมด เพียงแต่คนที่ส่งออกมาตามจับกุมตัวพวกเขามีอยู่ไม่น้อย พวกเขาทั้งสามเลยทำได้แค่อยู่ในกระท่อมไม่โผล่หน้าออกไปไหนอย่างช่วยไม่ได้
วันนี้ขณะที่พวกมู่ชิงอีกำลังนั่งสนทนากันอยู่ในห้อง องครักษ์ด้านนอกก็รีบพุ่งตัวเข้ามาร้องขึ้นว่า “คุณชายแย่แล้ว! องครักษ์ในวังมาแล้วขอรับ!”
มู่ชิงอีเอ่ยอย่างตกอกตกใจ “อะไรนะ ทำไมถึง…”
พูดยังไม่ทันจบ อู๋ซินก็พุ่งตัวตามเข้ามาเอ่ยเสียงขรึม “คุณหนู เนี่ยอวิ๋น เซ่าจิ่นและจ้าวจื่ออวี้พาคนมุ่งหน้ามาทางนี้แล้ว”
มู่ชิงอีสงบสติอารมณ์แล้วเอ่ย “พวกเขามาเพื่อตรวจค้นหรือได้ข้อมูลยืนยันมาแล้ว” อู๋ซินกล่าว “พวกเขาพาคนมาไม่น้อย มีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะได้รับข้อมูลยืนยันมาแล้ว”
หากตอนนี้มัวแต่ไตร่ตรองว่าเบาะแสของพวกเขาถูกแพร่งพรายออกไปได้เช่นไรก็ไม่มีประโยชน์ พวกเขาต้องหนีอันตรายครั้งนี้ไปให้ได้ก่อนถึงจะเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
“อู๋ซิน เจ้าพาชิงอีรีบหนีไปทางประตูหลังก่อน พวกเจ้าสองคนเป็นแค่เป้าหมายเล็กๆ พวกเขาตามหาพวกเจ้าไม่เจอง่ายๆ แน่นอน” กู้ซิ่วถิงลุกขึ้นเอ่ยเสียงขรึม
“ไม่ได้!” มู่ชิงอีกล่าวปฏิเสธเสียงแข็ง นางจะหนีไปคนเดียวได้เช่นไร
“อู๋ซิน เจ้าพาพี่ใหญ่หนีไป ข้ากับพี่ชายจะอยู่ที่นี่” มู่ชิงอีกล่าวเสียงหนักแน่น
มู่หรงซีนวดหว่างคิ้วรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นมาทันที “หยุดทะเลาะกันได้แล้ว มิเช่นนั้นคงไม่มีใครได้หนีไปทั้งนั้น อู๋ซิน เจ้าพาตัวชิงอีหนีไป ข้าจะพาคนอื่นๆ และซิ่วถิงหนีไปอีกฝั่ง แยกย้ายกันไปจะปลอดภัยกว่า”
มู่ชิงอีและกู้ซิ่วถิงล้วนไร้ความสามารถในการต่อสู้ อู๋ซินฝีมือวิทยายุทธใช้ได้ หากพาผู้หญิงไปคนเดียวน่าจะดีกว่าแบกผู้ชายคนหนึ่งไปด้วยซึ่งคงกินแรงมากกว่า ที่นี่ก็มีองครักษ์อยู่พอสมควร อีกทั้งวิทยายุทธของมู่หรงซีเองก็ไม่ได้แย่ หากนำองครักษ์และคุ้มกันกู้ซิ่วถิงออกไปอาจจะพอหนีได้บ้าง
มู่ชิงอีและกู้ซิ่วถิงสบตากันและเข้าใจดีว่าความคิดของมู่หรงซีเป็นวิธีการที่ดีที่สุดแล้ว กู้ซิ่วถิงยกมือลูบศีรษะของมู่ชิงอีเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ระวังตัวด้วย หากภายหลังกลับมารวมตัวกันไม่ได้ พี่ใหญ่จะไปหาเจ้าที่แคว้นเย่ว์ก็แล้วกัน”