หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 288 ออกเดินทาง อำลาแคว้นหวา (3)
หรงเหยี่ยนรีบร้อนเดินออกนอกประตูไปยังโถงใหญ่เพื่อต้อนรับพวกเซ่าจิ่น ทว่ายังเดินไปไม่ถึงโถงใหญ่ก็เห็นหรงจิ่นเดินเนิบนาบเข้ามาพร้อมอู๋ฉิง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเพิ่งกลับมาจากข้างนอก “พี่สี่ นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ” หรงจิ่นเล่นพัดในมือพลางเลิกคิ้วเอ่ยถาม
หรงเหยี่ยนมองหรงจิ่นด้วยแววตาลึกล้ำแวบหนึ่ง “เช้าตรู่ขนาดนี้ น้องเก้าไปไหนมาหรือ”
หรงจิ่นแค่นเสียงใส่แล้วแกว่งกล่องในมือ “คิดว่าจะไปหาใต้เท้าเซ่าแต่ได้ยินว่าเขาออกมาแล้ว ข้าเลยไปซื้อขนมที่ศาลาชิงอานกลับมาแทน”
“เจ้าไปหาเซ่าจิ่นทำไมกัน” หรงเหยี่ยนเอ่ยถาม
หรงจิ่นเลิกคิ้ว “จะทำอะไรได้ แค่จะไปถามว่าได้ข่าวคราวขององค์หญิงหมิงเจ๋อบ้างหรือไม่ อีกอย่างน้องชิงก็หายตัวไปด้วย…แคว้นหวาช่าง…”
หรงเหยี่ยนแววตาเป็นประกายแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “อย่าบอกใครเรื่องที่เจ้าสนิทสนมกับจังชิงเชียว” องค์ชายเก้าแค่นเสียงเบาใส่แล้วหมุนตัวเดินเข้าไป ซึ่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาฟังเข้าใจหรือไม่
ครั้นคนในโถงใหญ่เห็นพวกเขาสองคนเข้ามา องค์ชายเจ็ดก็ข่มอารมณ์ไว้ไม่อยู่เป็นคนแรก “ตวนอ๋อง มู่หรงอวี้อยู่ที่ใด”
องค์ชายเจ็ดบาดเจ็บที่ตาหนึ่งข้าง ส่วนบาดแผลอื่นๆ กลับไม่ได้สาหัสนัก ทว่าบาดแผลที่ไม่ได้สาหัสนี้กลับทำให้เขาชวดตำแหน่งฮ่องเต้ไป
หรงเหยี่ยนไม่แม้แต่จะขยับเปลือกตาก็เอ่ยเสียงเรียบว่า “องค์ชายเจ็ดเข้าใจบางอย่างผิดไปกระมัง มู่หรงอวี้เป็นองค์ชายของแคว้นหวา หาใช่องค์ชายของแคว้นเย่ว์ไม่ เหตุใดทุกคนถึงมาหาเขาในจวนราชทูตแคว้นเย่ว์ได้เล่า”
เซ่าจิ่นลุกขึ้นประสานมือกล่าว “ตวนอ๋อง กระหม่อมเพิ่งได้รับข่าวมาว่ากันว่ามู่หรงอวี้อยู่ในจวนราชทูตแคว้นเย่ว์ มู่หรงอวี้ร้ายกาจโหดเหี้ยม พวกกระหม่อมคิดถึงเพียงแต่เรื่องความปลอดภัยของจวนราชทูตแคว้นเย่ว์ ตวนอ๋องโปรดอภัยให้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
หรงเหยี่ยนเลิกคิ้วยิ้มเย็นชากล่าว “ความปลอดภัยของจวนราชทูตแคว้นเย่ว์มีเพียงข้าและองครักษ์ของแคว้นเย่ว์ที่รับผิดชอบ ไม่จำเป็นต้องให้ใต้เท้าเซ่าเป็นกังวลหรอก ในทางกลับกัน…ใต้เท้าเซ่าและทุกคนบุกรุกเข้าจวนราชทูตตามอำเภอใจเช่นนี้ยังเห็นแคว้นเย่ว์ของข้าอยู่ในสายตาอีกหรือ”
มู่หรงเสียเอ่ยเสียงขรึม “มู่หรงอวี้เป็นผู้ที่คิดทรยศต่อเชื้อพระวงศ์ ก่อกบฏบ้านเมือง กระทั่งวางแผนลอบสังหารเสด็จพ่อ กระทำการไร้คุณธรรมไม่ถูกต้อง แคว้นหวาของเราจำเป็นต้องจับกุมตัวเขามาลงโทษ หากล่วงเกินไปต้องขออภัยตวนอ๋องด้วย”
หรงเหยี่ยนกล่าว “ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่เคยเจอตัวมู่หรงอวี้อะไรนั่น!”
เว่ยหลีเอ่ยเสียงสูง “มีหรือไม่ แค่ตรวจค้นดูก็รู้แล้ว ตวนอ๋องขัดขวางไว้เช่นนี้เพราะกินปูนร้อนท้องหรืออย่างไร”
“เหิมเกริมนัก!” หรงเหยี่ยนเผยสีหน้าเกรี้ยวโกรธ “แม่ทัพใหญ่เว่ย ข้าคือตวนอ๋องแห่งแคว้นเย่ว์ ข้ามิใช่คนในแคว้นหวาของเจ้า ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะทำตัวสามหาวได้”
หรงจิ่นนั่งอยู่อีกฝั่งอย่างเบื่อหน่ายด้วยท่าทางเกียจคร้าน หาวขึ้นมาสามครั้งก่อนจะขมวดคิ้วมุ่นเอ่ย “พี่สี่ ในเมื่อไม่มีใครก็ให้พวกเขาเข้าไปตรวจดูแวบหนึ่งก็สิ้นเรื่องแล้วมิใช่หรือ จะพูดจาพร่ำเพรื่อไปทำไมกัน”
หรงเหยี่ยนหันไปมองหรงจิ่นแต่กลับเห็นเขาเอนตัวพิงเก้าอี้พร้อมดวงตาสะลืมสะลือดูง่วงนอนเต็มที จากนั้นเขาก็ย่นหว่างคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยอย่างหงุดหงิด ซึ่งบ่งบอกว่าเขากำลังพยายามอดกลั้นต่อสถานการณ์ตรงหน้าไว้มากแล้ว
พอหรงจิ่นพูดเช่นนั้น เซ่าจิ่นก็รีบเอ่ย “องค์ชายเก้าพูดถูก กระหม่อมจะให้คนระมัดระวังและไม่รบกวนเวลาพักผ่อนของเหล่าแขกของแคว้นเย่ว์แน่นอน ตวนอ๋องโปรดอำนวยความสะดวกด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
หรงเหยี่ยนแค่นเสียงใส่ทีหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าขรึม “ข้ามีแขกพักอยู่ที่นี่ พวกเจ้าอย่าทำให้แขกข้าแตกตื่นล่ะ”
ทุกคนต่างสบตากัน เซ่าจิ่นพยักหน้ากล่าว “แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากได้รับอนุญาตจากหรงเหยี่ยน พวกเซ่าจิ่นก็นำคนที่พามาด้วยรีบเข้าไปตรวจค้นภายในจวนราชทูตทันที ไม่นานเหมือนว่าตรวจค้นทั่วทุกซอกทุกมุมแล้วแต่ก็ยังไม่เห็นร่องรอยของมู่หรงอวี้ ทุกคนต่างก็เผยสีหน้าที่ดูไม่ดีนัก
“รายงานใต้เท้า ท่านอ๋อง มีเพียงแค่ที่นี่เท่านั้นแล้วที่ยังไม่ได้ตรวจค้น” ทหารนายหนึ่งเอ่ยเสียงนอบน้อม ทั่วทั้งจวนราชทูตมีแค่จุดนี้ที่ประตูใหญ่ปิดแน่น อีกทั้งตรงประตูก็ยังมีคนเฝ้าไม่ให้ใครเข้าไปด้วย
หรงเหยี่ยนรีบสาวเท้าเข้ามาเอ่ยเสียงขรึม “ข้าเพิ่งบอกไปว่าด้านในนี้เป็นที่พักของแขกข้า”
เว่ยหลีกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ต้องรบกวนแขกของตวนอ๋องออกมาเจอกันสักหน่อยแล้ว มิเช่นนั้นเราคงอดสงสัยไม่ได้ว่าตวนอ๋องจะซ่อนตัวกบฏไว้หรือไม่”
ขณะที่หรงเหยี่ยนกำลังจะพูดบางอย่าง ประตูใหญ่ก็ถูกคนเปิดออกจากด้านใน “คุณชายเชิญทุกท่านเข้าไปเจ้าค่ะ” หญิงสาวสวมชุดขาวคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านในพลางเอ่ยเสียงเบา
หรงเหยี่ยนผงะไปครู่หนึ่งถึงพยักหน้ากล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็เชิญทุกคนเถิด” ครั้นพูดจบก็ไม่สนใจว่าทุกคนจะแสดงท่าทีเช่นไร หรงเหยี่ยนก็ชิงย่างกรายเข้าไปในห้องก่อนคนแรก
ห้องนี้ขนาดไม่ใหญ่นัก ภายในห้องแค่มองก็รู้แล้วว่าไม่มีที่ใดซุกซ่อนคนได้ บุรุษหนุ่มชุดขาวผู้หนึ่งกำลังถือหนังสือไว้ในมือพลางเงยหน้าขึ้นมองทุกคนที่เดินเข้ามา แววตาเย็นชาแน่นิ่งราวกับคนที่ยืนเบียดเสียดกันตรงหน้าเดินเข้ามาเองโดยไม่ได้รับเชิญ ราวกับเป็นพวกแมลงเม่าก็มิปาน
“พวกเจ้าเป็นใคร มีธุระอันใดหรือ” มั่วเวิ่นฉิงเอ่ยถาม
จ้าวจื่ออวี้มุ่นคิ้วเล็กน้อยกล่าว “คุณชายท่านนี้คือ”
“มั่วเวิ่นฉิง”
บนโลกใบนี้คนที่รู้จักชื่อมั่วเวิ่นฉิงมีไม่มากนัก จากสีหน้าของพวกเซ่าจิ่น เว่ยหลี และมู่หรงเสียแล้วกลับไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย เห็นได้ชัดว่าชื่อนี้ไม่ได้ส่งผลใดต่อเขา อย่างน้อยใครๆ ก็มองออกว่ามั่วเวิ่นฉิงตรงหน้าไม่ใช่มู่หรงอวี้แค่นั้น
หากว่ากันตามนี้แสดงว่าข่าวที่พวกเขาได้มาเกรงว่าจะเป็นเรื่องโกหก หรือบอกได้ว่า…ถูกคนหลอกปั่นหัวนั่นเอง
ครั้นเห็นทุกคนมองหน้าสบตากัน หรงเหยี่ยนก็ยิ้มเย็นชากล่าว “ทำไมหรือ ทุกท่านมีอะไรอยากพูดอีกหรือ”
เซ่าจิ่นถอนหายใจอย่างจนใจแล้วเอ่ย “ดูท่าทางพวกเราจะเข้าใจผิดไป ตวนอ๋องโปรดอภัยให้ด้วย”
หรงเหยี่ยนกลับไม่ยอมง่ายๆ เอ่ยเสียงเย็นยะเยือก “แต่ทุกท่านร่วมใจแห่กันบุกเข้ามาในจวนราชทูตแคว้นเย่ว์มากมายขนาดนี้กลับไม่เหมือนคนเข้าใจผิดเลยสักนิด”
เซ่าจิ่นลูบจมูกกล่าว “ความจริงเป็นเพราะพวกเราได้รับรายงานว่ามู่หรงอวี้อยู่ในจวนราชทูตแคว้นเย่ว์เลยบุ่มบ่ามล่วงเกินตวนอ๋อง โปรดอภัยให้ด้วยเถิด อีกอย่าง…หรือบางทีเป็นเพราะตวนอ๋องมีความแค้นกับผู้ใดกระมัง”
“ช่างน่าขันนัก ข้ามาแคว้นหวาไม่ถึงสองเดือนจะมีความแค้นกับใครได้” หรงเหยี่ยนกล่าวเสียงเรียบ
เซ่าจิ่นถอนหายใจเอ่ย “เรื่องนี้เป็นเพราะกระหม่อมกระทำการผลีผลาม ตวนอ๋องโปรดอภัยให้ด้วยเถิด วันหลังกระหม่อมค่อยมาขอขมาท่านอ๋องถึงที่เองพ่ะย่ะค่ะ”
หรงเหยี่ยนยกมือขึ้นห้ามเขาไว้ด้วยท่าทีหยิ่งผยอง “ไม่จำเป็น ข้าจะกลับแคว้นหวาในอีกไม่กี่วันแล้ว หากอยู่ต่อไปไม่แน่สักวันข้าคงกลายเป็นกบฏอะไรนั่นเอาได้”
พอตนไร้ข้ออ้างเหตุผลใดแล้ว ภายใต้สถานการณ์ที่ช่วยไม่ได้เช่นนั้นเลยทำได้แค่กล่าวขอโทษหรงเหยี่ยนซ้ำไปซ้ำมา สุดท้ายก็ถูกหรงเหยี่ยนขับไล่ออกมาอย่างไร้ซึ่งความเกรงใจ
หลังจากคอยยืนดูเรื่องสนุกๆ อยู่อีกฝั่งจนกระทั่งทุกคนออกไป หรงจิ่นก็กวาดตาสำรวจทุกคนภายในห้องรอบหนึ่งอย่างสนใจพลางครุ่นคิดบางอย่าง
“น้องเก้า?” หรงเหยี่ยนมุ่นคิ้วแล้วมองหรงจิ่นที่ทิ้งตัวพิงกำแพงอย่างเกียจคร้าน
หรงจิ่นเลิกคิ้วเอ่ย “พี่สี่มีแขกเพิ่มมาคนหนึ่งตั้งแต่เมื่อใดกัน ข้าเองยังไม่รู้เลย”
หรงเหยี่ยนเอ่ยเสียงเรียบ “คุณชายมั่วท่านนี้เป็นคนแคว้นเย่ว์ พอดีเจอกันโดยบังเอิญเลยให้เขามาพักในจวนราชทูตสองวัน”
หรงจิ่นเองก็ไม่ได้ใส่ใจ เขาหยัดกายขึ้นพลางโบกมือเอ่ย “เอาเถิด ถึงอย่างไรเรื่องพวกนี้พี่สี่ก็เป็นคนตัดสินใจเองมิใช่หรือ ทว่าสาวน้อยผู้นี้…กลับไม่เหมือนคนที่คอยติดตามอยู่ข้างกายคุณชายมั่วเลย” หรงจิ่นยื่นมือเชิดคางหญิงสาวชุดขาวที่ยืนอยู่ข้างกายมั่วเวิ่นฉิงขึ้นอย่างสนใจแล้วยิ้มตาหยีพลางสำรวจไปด้วย