หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 291 ครั้งแรก ณ เมืองหลวงแคว้นเย่ว์ (2)
“แม่นางมีข้อข้องใจใดอยากถามหรือ” มั่วเวิ่นฉิงเอ่ยถามเสียงเย็นชา
มู่ชิงอีกะพริบตาปริบๆ แล้วข่มความสงสัยในใจไว้ จากนั้นก็เอ่ยถามอย่างแปลกใจว่า “หญ้าเซียนเก้าเมฆาคืออะไรหรือ”
มั่วเวิ่นฉิงยังไม่ทันตอบ อู๋ซินก็ช่วยไขข้อข้องใจให้นางด้วยเสียงขรึม “หญ้าเซียนเก้าเมฆาเป็นยาวิเศษหายากในตำนาน ในหนังสือ ‘ตำราโลกพฤกษาเทพศักดิ์สิทธิ์’ ได้กล่าวไว้ว่าเป็นยาวิเศษอันดับหนึ่งในใต้หล้า ว่ากันว่าสามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นขึ้นมาได้ ต่อมายังเล่าลือกันอีกว่าหากคนที่เรียนวิทยายุทธได้ทานหญ้าเซียนเก้าเมฆาเข้าไปจะมีวิทยายุทธที่แกร่งกล้าขึ้นในชั่วพริบตาเดียว อีกอย่างถึงแม้อาจจะไม่ได้ป้องกันความแก่ชราได้อย่างแท้จริง แต่ก็สามารถช่วยทำให้อายุยืนยาวได้ อีกทั้งว่ากันว่าคนที่ได้หญ้าเซียนเก้าเมฆาครั้งก่อนก็คือยอดฝีมืออันดับหนึ่งในใต้หล้าหันเวิ่นเทียนเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน หลังจากเขาได้หญ้าเซียนเก้าเมฆามาตอนวัยเยาว์ก็กลายเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในใต้หล้า เขามีชีวิตอยู่ยาวนานมาจนกระทั่งอายุหนึ่งร้อยกว่าปีแต่รูปลักษณ์ภายนอกกลับเหมือนหนุ่มวัยกลางคนที่อายุสี่สิบห้าสิบปีเท่านั้น กระทั่งจู่ๆ เขาก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเมื่อยี่สิบปีก่อน แต่ก็มีข่าวลือมาอีกว่าเขายังไม่ตายและทุกวันนี้ก็ยังมีชีวิตอยู่”
“อย่างนี้นี่เอง” มู่ชิงอีพยักหน้า บนโลกนี้สิ่งที่มนุษย์เราปรารถนาก็คงไม่พ้นเรื่องชื่อเสียงอำนาจ แต่ทุกอย่างนี้กลับต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่ายังมีชีวิตอยู่ มิน่าเล่าหญ้าเซียนเก้าเมฆาถึงถูกแก่งแย่งผ่านมือใครต่อใคร ยิ่งเป็นคนที่มีอำนาจมีอิทธิพลก็ยิ่งกลัวความตายและยิ่งหิวกระหายในของสิ่งนี้ ทว่าน้อยนักที่คนธรรมดาทั่วไปจะลุ่มหลงในแรงดึงดูดของเจ้าสิ่งนี้
มู่ชิงอีเอ่ยถามอย่างประหลาดใจว่า “เจ้าสำนักมั่ว คำเล่าลือเป็นความจริงหรือ หญ้าเซียนเก้าเมฆามีผลลัพธ์ที่วิเศษเช่นนั้นจริงๆ หรือ”
“ไม่รู้สิ” มั่วเวิ่นฉิงเอ่ยเสียงเรียบ
“ไม่รู้อย่างนั้นหรือ” หากแม้แต่เจ้าสำนักเย่าหวังกู่ยังไม่รู้ เช่นนั้นคำเล่าลือเหล่านี้ถูกเผยแพร่มาจากที่ไหนกัน
“หญ้าเซียนเก้าเมฆานี้ หากมันเป็นของเราก็ต้องเป็นของเรา แต่หากไม่ใช่ของเราต่อให้พยายามแค่ไหนมันก็ไม่ใช่ของเรา หากข้าไม่รู้แล้วจะแปลกตรงไหนเล่า” มั่วเวิ่นฉิงเลิกคิ้วเอ่ย
มู่ชิงอีพยักหน้า “เจ้าสำนักพูดถูก แต่ในเมื่อเจ้าสำนักได้ของหายากนี้มาแล้ว ความจริงท่านไม่ควรร่อนเร่ไปไหนต่อไหนแล้ว คิดว่าคงไม่มีคนธรรมดาที่ไหนกล้าบุกรุกเย่าหวังกู่หรอกกระมัง”
มั่วเวิ่นฉิงจับจ้องมู่ชิงอีพลางกวาดตามองอยู่นานถึงเอ่ยถาม “แม่นางไม่อยากได้หญ้าเซียนเก้าเมฆาบ้างหรือ”
มู่ชิงอีกล่าวด้วยรอยยิ้มแผ่วเบา “ข้ายังอายุแค่สิบหกปี แต่ถ้าผ่านไปอีกสักแปดปีสิบปีไม่แน่ข้าอาจจะอยากได้ก็ได้” นางย่อมอยากได้อยู่แล้ว หากหญ้าเซียนเก้าเมฆามีอิทธิฤทธิ์ช่วยชุบชีวิตคนตายได้จริงๆ และหาก…มั่วเวิ่นฉิงมีมันจริงๆ ล่ะก็นะ
ผ่านไปนานมั่วเวิ่นฉิงถึงพยักหน้าสื่อว่าเห็นด้วยกับคำพูดของนาง สาวน้อยที่ไม่ชอบการต่อสู้ ยามอายุเพียงสิบห้าสิบหกปีย่อมไม่นึกถึงเรื่องใบหน้าเหี่ยวย่นแก่ลงของตัวเองอยู่แล้ว ดังนั้นนางจึงไม่ได้หิวกระหายอยากได้หญ้าเซียนเก้าเมฆามาจริงๆ นอกเสียจากนางจะอยากมีอายุที่ยืนยาว
“ข้าไปแคว้นหวาเพราะมีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการ” มั่วเวิ่นฉิงเอ่ย
มู่ชิงอีลอบพยักหน้าในใจ เป็นเรื่องที่สำคัญจริงๆ นอกจากช่วยชีวิตมู่หรงอวี้แล้วยังทำให้พี่ใหญ่และพี่ชายหายตัวไปด้วย
“ในเย่าหวังกู่ไม่มีหญ้าเซียนเก้าเมฆาหรอก” มั่วเวิ่นฉิงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
ทันใดนั้นพวกเขาสองคนข้างกองไฟก็หันไปมองมั่วเวิ่นฉิงอย่างพร้อมเพรียง ทว่ามั่วเวิ่นฉิงกลับเผยสีหน้าปกติ เอ่ยเสียงเรียบว่า “เพียงแต่มีคนจงใจกุข่าวลือขึ้นมาเท่านั้น”
มู่ชิงอีเลิกคิ้ว “เจ้าสำนักมั่วไปล่วงเกินใครมาหรือ”
มั่วเวิ่นฉิงปิดปากเงียบกริบ ส่วนมู่ชิงอีเองก็ไม่พูดอะไรอีก คนอย่างมั่วเวิ่นฉิง หากเขาคิดจะพูดใครก็ห้ามเขาไม่ได้ แต่ถ้าเขาไม่อยากพูดใครก็บีบบังคับเขาไม่ได้เช่นกัน ทว่านางกลับสงสัยมากกว่าว่าเหตุใดมั่วเวิ่นฉิงถึงพูดเรื่องเหล่านี้ให้พวกเขาฟัง
หลังจากนั้นพวกเขาสามคนก็ไม่พูดอะไรกันอีก สุดท้ายมู่ชิงอีก็เอนตัวพิงต้นไม้แล้วหลับไปโดยไม่รู้ตัว พอตื่นขึ้นมาอีกทีท้องฟ้าก็สว่างไสวแล้ว
“คุณหนู” อู๋ซินปลุกมู่ชิงอีเสียงเบา เมื่อวานมู่ชิงอีเหนื่อยล้าเกินไปเลยทำให้นอนหลับสนิทซึ่งนานๆ ทีจะมีสักครั้ง จากนั้นนางก็ค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้น พอเห็นแสงสว่างก็รู้ว่าสายแล้วจริงๆ
“คุณหนู เหมือนเจ้าสำนักมั่ว…จะอาการไม่ค่อยดีเท่าไรนักขอรับ” อู๋ซินเอ่ยเสียงเบา
มู่ชิงอีลุกขึ้นนั่งแล้วมองไปทางมั่วเวิ่นฉิง จากนั้นก็เห็นมั่วเวิ่นฉิงที่เดิมทียังคงนั่งอยู่ไม่รู้ว่าล้มลงไปนอนฟุบอยู่บนพื้นตั้งแต่เมื่อไร สีหน้าแดงก่ำ เสียงหายใจหอบถี่เล็กน้อย ดูท่าทางไม่เหมือนคนที่นอนหลับแล้วล้มพับไปแต่เหมือนคนหมดสติมากกว่า
“เกิดอะไรขึ้น”
อู๋ซินส่ายหน้า เมื่อคืนเขาเองก็ไม่ได้สังเกตเหมือนกันว่ามั่วเวิ่นฉิงผิดปกติตรงไหนหรือไม่ จนกระทั่งตื่นมาตอนเช้าก็เห็นเขาหมดสติไปแล้ว
มู่ชิงอีลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปทางมั่วเวิ่นฉิง “คุณหนู ระวัง” อู๋ซินรั้งนางไว้พลางเอ่ยเสียงเบา มั่วเวิ่นฉิงเป็นมือฉมังเรื่องการใช้พิษ ฉะนั้นบนร่างกายอาจจะมียาพิษไว้ป้องกันตัวก็ได้ หากคุณหนูบุ่มบ่ามเข้าไปประชิดตัวเขาแบบนี้อาจเป็นเรื่องที่อันตรายมาก
มู่ชิงอีหย่อนกายนั่งลงข้างๆ มั่วเวิ่นฉิงพลางแอบชั่งใจ หากเป็นตอนที่เพิ่งรู้สถานะของมั่วเวิ่นฉิง มู่ชิงอีคงไม่คิดลังเลใจเลยสักนิด ขอแค่แน่ใจว่ามั่วเวิ่นฉิงหมดสติไปจริงๆ ก็จะรีบลงมือจัดการกำจัดเขาในทันที แต่หลังจากได้พูดคุยกัน ถึงแม้จะไม่ได้ผูกพันกันลึกซึ้งแต่มู่ชิงอีก็พอมองออกว่ามั่วเวิ่นฉิงไม่ใช่คนไร้เหตุผลเสียทีเดียว อีกอย่างไม่แน่ว่าสุดท้ายแล้วพิษในร่างกายของพี่ชายอาจจะต้องขอความช่วยเหลือจากคนของเย่าหวังกู่ก็ได้
ยิ่งไปกว่านั้น บัดนี้คนทั่วทั้งใต้หล้าต่างรู้ว่ามั่วเวิ่นฉิงมีหญ้าเซียนเกล้าเมฆาไว้ในครอบครอง หากพวกเขาฆ่ามั่วเวิ่นฉิงทิ้ง ทันทีที่ข่าวแพร่งพรายออกไป เกรงว่าคนทั่วทั้งใต้หล้าคงมาหาเรื่องวุ่นวายกับนางเป็นแน่ ช่างยุ่งยากเสียจริง
มู่ชิงอีถอนหายใจอย่างหมดทางเลือก พลันขมวดคิ้วมุ่น จากนั้นก็สั่งให้อู๋ซินไปล่าสัตว์มีชีวิตมาสักตัว อู๋ซินทำงานว่องไวอย่างมาก อีกทั้งสัตว์ที่อยู่ในป่าลึกก็มีอยู่ไม่น้อย สักพักเขาก็หิ้วกระต่ายป่ากลับมาตัวหนึ่ง
มู่ชิงอีชี้ไปยังมั่วเวิ่นฉิงที่อยู่บนพื้น อู๋ซินโยนกระต่ายป่าที่หายใจโรยรินไปทางมั่วเวิ่นฉิง ผ่านไปสักพักกระต่ายป่าก็ยังคงดิ้นพล่านเพียงแต่ตะเกียกตะกายร่างขึ้นมาไม่ได้ เวลานี้อู๋ซินถึงไปหิ้วตัวมันกลับมาแล้วเอ่ย “ไม่มีพิษขอรับ”
มู่ชิงอีถอนหายใจแล้วพยักหน้า “อย่างน้อยก็น่าจะไม่ใช่พิษอะไรที่ออกฤทธิ์ในทันทีกระมัง” มู่ชิงอีก้าวไปข้างหน้าแล้วยกมือของมั่วเวิ่นฉิงขึ้นมาจับชีพจรดู นางพอจะมีความรู้เรื่องวิชาหมอคร่าวๆ อยู่บ้างแต่ไม่ได้ชำนาญอะไร นางรู้สึกได้แค่ว่าชีพจรของมั่วเวิ่นฉิงเต้นเร็วเล็กน้อย ทว่ากลับดูไม่ออกว่าเป็นอะไรกันแน่
อู๋ซินเองก็ก้าวขึ้นมาช่วยอีกแรง ถึงแม้เขาจะไม่รู้เรื่องตำราหมอ แต่อย่างไรเสียก็เป็นคนที่เรียนวิทยายุทธมา จากนั้นก็ขมวดคิ้วกล่าว “เหมือนว่าเจ้าสำนักมั่วจะบาดเจ็บภายใน”
“ด้วยฝีมือของเจ้าสำนักมั่วแล้ว หากได้รับบาดเจ็บภายในจะหมดสติไปไม่ฟื้นเลยหรือ” ว่ากันว่าเส้นชีพจรของมู่หรงอวี้ถูกทำลายแต่ยังถูกมั่วเวิ่นฉิงช่วยกลับมาได้ เหตุใดพอเจอกับตัวเองถึงไม่ไหวเสียเองเล่า
อู๋ซินลังเลครู่หนึ่งถึงเอ่ย “เหมือนว่าร่างกายของเจ้าสำนักมั่วจะไม่ดีนัก อาจจะเพราะเหนื่อยไปกระมัง พวกเรา…”
มู่ชิงอีถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายกล่าว “ไปตักน้ำมา เราคงมิอาจดูดายเห็นเขาเป็นแบบนี้แล้วยังหนีไปอีกกระมัง ถึงอย่างไรก็ต้องรอให้เขาฟื้นขึ้นมาก่อน” ในป่าเขาลึกเช่นนี้ไม่มีใครรู้หรอกว่าจะมีสัตว์ป่าร้ายกาจโผล่มาหรือไม่ หากปล่อยให้เจ้าสำนักเย่าหวังกู่ถูกสัตว์ร้ายกิน เช่นนั้นสู้ให้นางฆ่าทิ้งเสียยังดีกว่า
อู๋ซินพยักหน้ากล่าว “บนร่างของเจ้าสำนักมั่วน่าจะมียา”
จากนั้นก็ค้นตัวจนเจอยาขวดหนึ่งซึ่งหน้าตาดูเหมือนช่วยรักษาอาการบาดเจ็บภายในจึงเอาให้มั่วเวิ่นฉิงทาน พวกเขาสองคนเฝ้าดูเขาอยู่นาน จนเวลาเกือบเที่ยงมั่วเวิ่นฉิงถึงค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา
“ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นแล้ว” ครั้นเห็นเขาฟื้น มู่ชิงอีก็ยกมือขึ้นเช็ดเม็ดเหงื่อที่ไหลมาข้างหูพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ดวงตาเย็นชาของมั่วเวิ่นฉิงล่องลอยไปชั่วขณะ แต่ไม่นานก็ได้สติ จากนั้นก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า “ตอนนี้เวลาใดแล้วหรือ”