หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 298 องค์ชายเก้าผู้ที่ถนัดก่อเรื่องทำร้ายคนอื่นแต่กลับไม่มีผลดีอะไรกับตัวเอง (1)
- Home
- หวนคืนชะตาแค้น
- ตอนที่ 298 องค์ชายเก้าผู้ที่ถนัดก่อเรื่องทำร้ายคนอื่นแต่กลับไม่มีผลดีอะไรกับตัวเอง (1)
“เจ้าไม่ต้องกลัว…” ครั้นเห็นใบหน้าซูบตอบของนางซีดเซียว มู่ชิงอีก็เอ่ยปลอบเสียงนุ่มนวล “หากเผลอเกิดเรื่องเหนือความคาดหมายใดขึ้น ข้าจะถือว่าเจ้าจงรักภักดีต่อตระกูลกู้ ส่วนเงินที่พ่อของเจ้าลักเอาไป ข้าจะไม่ถือโทษเอาความใดก็ได้ เจ้าคิดเห็นเช่นไรเล่า”
“ไม่…ไม่เอา” โจวหลีเอ๋อร์ปล่อยแขนเสื้อที่ดึงไว้อย่างรวดเร็ว สองมือที่ยันพื้นไว้รีบดันตัวถอยกรูดไปด้านหลัง “ไม่นะ…คุณชายปล่อยข้าไปเถิด”
“อู๋ซิน เอาตัวนางออกไป”
“ขอรับ คุณชาย” อู๋ซินขานรับพลางพยักหน้า
“ไม่! ไม่นะ…ช่วยด้วย เจ้ามันปีศาจชั่วร้าย…” โจวหลีเอ๋อร์อดไม่ไหวตะโกนกรีดร้องขึ้นอย่างควบคุมตัวเองไม่อยู่ ในที่สุดก่อนที่มือของอู๋ซินจะแตะต้องตัวนาง นางก็ชิงหมดสติไปเสียก่อน
อู๋ซินเก็บมือกลับเงียบๆ แล้วมองมู่ชิงอีเอ่ยถามว่า “คุณชาย จะส่งตัวนางให้องค์ชายเก้าจริงๆ หรือ”
มู่ชิงอีกลอกตาใส่อย่างเอือมระอา “แค่ล้อเล่นเท่านั้นแหละ ใครจะไปรู้ว่าชื่อเสียงขององค์ชายเก้าจะทำคนเกรงกลัวได้ขนาดนี้” ส่งคนอย่างโจวหลีเอ๋อร์ไปจวนองค์ชายเก้าแล้วจะมีประโยชน์ใดเล่า
อู๋ซินก้มหน้าลงอย่างละอายใจ ก่อนหน้านี้องค์ชายเก้าลืมบอกคุณหนูไปว่าชื่อเสียงของเขาย่ำแย่มานานแล้ว
หากเปรียบเทียบเมืองหลวงแคว้นเย่ว์กับเมืองหลวงแคว้นหวาก็ถือว่าทิวทัศน์งดงามสมคำร่ำลือจริงๆ หากกล่าวถึงเรื่องพื้นที่คงเรียกได้ว่ากว้างขวางกว่าเมืองหลวงแคว้นหวาอยู่หน่อย เพราะภูมิศาสตร์ตั้งติดกับชายแดนแว่นแคว้นต่างๆ มากมาย ในเมืองหลวงจึงมีพ่อค้าจากแต่ละแคว้นเดินขวักไขว่พลุกพล่านเต็มไปหมด กระทั่งคนที่มีเส้นผมและดวงตาหลากสีสันก็ปรากฏให้เห็นอยู่ไม่น้อย ประชาชนในเมืองหลวงเองก็คุ้นเคยจนเห็นเป็นเรื่องปกตินานแล้ว สู้ประชาชนแคว้นหวาไม่ได้ที่ยังคงรู้สึกแปลกตาอยู่บ้าง
มู่ชิงอีมาได้ประจวบเวลาพอดีเพราะเป็นช่วงที่ดอกพุดตานทั้งนอกและในเมืองหลวงแคว้นเย่ว์ต่างบานสะพรั่ง ดอกพุดตาน ดอกสามผิวหรือดอกไม้วงศ์ตระกูลเดียวกับชบา ดอกขนาดใหญ่หลากสีสันงดงาม มีทั้งดอกสีแดง สีชมพู สีเงินขาว เป็นต้น ยิ่งไปกว่านั้นตอนเช้าดอกจะบานเป็นสีขาวหรือสีอ่อน ตอนกลางวันหรือตอนพลบค่ำจะเบ่งบานเปลี่ยนเป็นสีชมพูบานเย็น หนึ่งวันเปลี่ยนหลายสีจนใครๆ ต่างเรียกว่า “พุดตานดอกสามสี”
ทั่วทั้งนอกและในเมืองหลวงแคว้นเย่ว์ปลูกต้นดอกพุดตานเรียงรายเต็มไปหมด ซึ่งขับให้ความเงียบเหงาช่วงปลายฤดูกาลใบไม้ผลิที่ใกล้เข้ามาเยือนในเมืองหลวงให้ดูมีชีวิตชีวางดงามขึ้นมาก
มู่ชิงอีเดินในเมืองหลวงเพียงลำพัง บนท้องถนนใหญ่มีคนเดินขวักไขว่ไปมาเช่นกัน แต่หากกล่าวอย่างขบขัน ที่นี่กลับไม่ได้เหมือนแคว้นหวาไปเสียหมดและเทียบกันไม่ติดด้วยซ้ำ
นางเดินสุ่มเลือกโรงน้ำชาที่บรรยากาศดูคึกคักสักแห่งแล้วนั่งพักผ่อน สั่งชามาหนึ่งกาพร้อมของว่างสองที่ จากนั้นก็นั่งชมความงามที่แสนครึกครื้นซึ่งต่างจากแคว้นหวาอยู่ข้างริมหน้าต่าง
จู่ๆ ก็ปรากฏตัวหนุ่มน้อยรูปงามคนหนึ่งโผล่มาย่อมตกเป็นเป้าสายตาของคนรอบข้างอยู่แล้ว เลยมีคนเข้ามาทักทายพูดคุยด้วยอยู่บ่อยครั้ง
“น้องชายผู้นี้ ข้าขออนุญาตแล้วกัน” เสียงบุรุษเจือเสียงหัวเราะเสียงหนึ่งดังแว่วขึ้นด้านข้าง มู่ชิงอีเลิกคิ้วหันไปมองแต่กลับเห็นบุรุษหนุ่มสวมชุดผ้าแพรสีฟ้าคนหนึ่ง นางเห็นเพียงสีหน้าเหนื่อยล้าของบุรุษผู้นั้นแต่กลับแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม หว่างคิ้วแฝงไปด้วยความสง่าใจกว้าง ทันทีที่เห็นก็รู้เลยว่าหากไม่ใช่คนในตระกูลมั่งคั่งก็ต้องเป็นขุนนาง
มู่ชิงอีพยักหน้าเอ่ย “ท่านคือ…”
บุรุษผู้นั้นเอ่ยอย่างรู้สึกผิด “ข้ามีนามว่าหนานกงอวี้ ข้ายังไม่ได้ถามน้องชายเลยว่ามีนามว่าอะไรหรือ”
มู่ชิงอีตกใจอยู่บ้าง “ที่แท้ก็คือคุณชายของท่านแม่ทัพใหญ่ตระกูลหนานกงนี่เอง เป็นเกียรติยิ่งนัก” ถึงแม้จะมาแคว้นเย่ว์ได้ไม่นาน แต่คนที่ควรรู้จักนางกลับจดจำได้อย่างแม่นยำไม่มีตกหล่น แต่ไหนแต่ไรมานางเป็นคนชอบวางแผนอย่างรอบคอบก่อนค่อยลงมืออยู่แล้ว ฉะนั้นนางจึงไม่มีทางเดินเพ่นพ่านมาถึงสถานที่แห่งหนึ่งโดยจำชื่อคนสำคัญไม่ได้เลยสักคนแน่นอน
บุรุษผู้นี้ก็คือหนานกงอวี้บุตรชายคนรองของหนานกงเจวี๋ยสุดยอดแม่ทัพใหญ่อันดับหนึ่งผู้น่าเกรงขามในตอนนี้ หนานกงเจวี๋ยไม่เพียงแต่เป็นแม่ทัพใหญ่ที่น่าเกรงขามเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นท่านน้าขององค์ชายสองจวงอ๋องหรงเซวียนแห่งแคว้นเย่ว์อีกต่างหาก บัดนี้องค์ชายในราชสำนักจะแบ่งเป็นสามพวกคร่าวๆ ถึงแม้ดูทรงแล้วอิทธิพลอำนาจอาจจะสูสีพอๆ กัน แต่ในกองทัพพวกองค์ชายสองกลับคะแนนนำลิ่วมาเป็นอันดับหนึ่ง ดังนั้นตระกูลหนานกงที่สนับสนุนองค์ชายสอง นางย่อมต้องทำความรู้จักมาก่อนแล้ว
ครั้นได้ยินคำพูดของมู่ชิงอี หนานกงอวี้ก็อดยิ้มเจื่อนลงไม่ได้พลันเอ่ย “ดูท่าทางน้องชายจะไม่ใช่คนในเมืองหลวง แต่คิดไม่ถึงว่า…ชื่อเสียงของท่านพ่อจะดังไปไกลขนาดนี้ ในเมื่อแม้แต่ข้าเองก็พลอยได้รับผลประโยชน์ดีๆ มาไม่น้อย”
มู่ชิงอียิ้มกล่าว “ท่านแม่ทัพหนานกงชื่อเสียงและอิทธิพลดังไปไกล ข้าจะไม่รู้จักได้อย่างไรเล่า” ดูท่าทางหนานกงอวี้จะไม่ได้ดูภาคภูมิใจกับการมีบิดาเป็นหนานกงเจวี๋ยเลย ก็ใช่ สำนวนที่ว่าลูกไม่ย่อมหล่นไม่ไกลต้น ในเมื่อบิดาเก่งกาจขนาดนี้ สำหรับบุตรชายแล้วย่อมกดดันมากเป็นธรรมดา หากทำดีก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว แต่หากทำไม่ดีขึ้นมากลับจะทำให้ชื่อเสียงของบิดาเสื่อมเสียแทน
หนานกงอวี้โบกมือกล่าว “ยังไม่ได้บอกชื่อของน้องชายเลย น้องชายหน้าตาหล่อเหลาขนาดนี้ เกรงว่าผ่านไปอีกสองปีหน้าตาคงไม่แพ้…เหอะ ไม่รู้ว่าเจ้าจะบอกชื่อเสียงเรียงนามได้หรือไม่” ครั้นรู้ว่าตนหลุดพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด หนานกงอวี้ก็ตัดคำพูดที่อยากจะพูดก่อนหน้านี้ทิ้งเสียดื้อๆ
มู่ชิงอีเองก็ไม่ได้ใส่ใจ ยกมือประสานทำความเคารพ กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้ามีนามว่ากู้หลิวอวิ๋น ขอคารวะคุณชายหนานกงขอรับ”
“กู้หลิวอวิ๋นหรือ พัดผ่านไปมาตามสายลม งามสง่าดั่งเมฆา ช่างเป็นชื่อที่ดีจริงๆ” หนานกงอวี้เอ่ยชื่นชม
มู่ชิงอียิ้มกล่าว “คุณชายชมเกินไปแล้ว”
หนานกงอวี้นั่งลงฝั่งตรงข้ามของมู่ชิงอีแล้วยิ้มเอ่ยอย่างเริงร่าว่า “เห็นหลิวอวิ๋นก็รู้เลยว่าเป็นนักปราชญ์ที่มาจากตระกูลผู้มีความรู้ ข้าเป็นแค่นักสู้เลยไม่ค่อยชอบคำพูดเกรงใจพวกนั้นเท่าไร หากหลิวอวิ๋นไม่รังเกียจ ข้าจะเรียกเจ้าว่าหลิวอวิ๋น ส่วนเจ้าเรียกข้าว่าหนานกงก็พอ”
มู่ชิงอียิ้มกล่าว “มิบังอาจ...หนานกง...แต่ไหนแต่ไรมาท่าน…สนิทสนมกับคนง่ายขนาดนี้เชียวหรือ” ด้วยสถานะของหนานกงอวี้ก็นับว่าเป็นเรื่องอ่อนไหวเช่นกัน มู่ชิงอีนึกสงสัยจริงๆ ว่าคนสถานะอย่างเขาจะยอมถ่อมตัวมาผูกมิตรกับคนที่รู้สึกถูกชะตาด้วยตอนเจอกันในโรงน้ำชาโดยบังเอิญเช่นนี้หรือ
หนานกงอวี้ส่ายศีรษะแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ถึงข้าจะมนุษยสัมพันธ์ดี แต่ก็ใช่ว่าจะเข้าหาผูกมิตรคนไปเรื่อยเช่นนั้น แต่…พอข้าเห็นหลิวอวิ๋นแวบแรกก็รู้สึกถูกชะตาด้วย มิได้หรือ มา ข้าขอดื่มชาแทนสุราให้หลิวอวิ๋นสักแก้วแล้วกัน”
มู่ชิงอียกแก้วชาขึ้นชนกับเขาเบาๆ ก่อนยิ้มบางกล่าว “ข้าต่างหากที่ต้องดื่มให้หนานกงถึงจะถูก”
ทั้งสองต่างสบตาฉีกยิ้มให้กัน หนานกงอวี้เอ่ยถามอย่างใคร่รู้ “หลิวอวิ๋นมาเมืองหลวงด้วยเรื่องอันใดหรือ”
มู่ชิงอีเอ่ยยิ้มๆ “ข้าเป็นคนแคว้นหวา ตระกูลข้ามีกิจการเล็กๆ ปกติจะขายพวกหนังสือ ครั้งนี้ข้ามาเมืองหลวงก็แค่คิดว่าจะมาตระเวนดูทุกซอกทุกมุมเพื่อเปิดโลกสักหน่อยก็เท่านั้น”
หนานกงอวี้พยักหน้า แต่ก็ไม่ได้ถามว่าเหตุใดคุณชายผู้มั่งคั่งของแคว้นหวาอย่างเขาถึงต้องวิ่งแจ้นมาเปิดโลกถึงเมืองหลวงแคว้นเย่ว์ เพียงแค่เอ่ยว่า “หากหลิวอวิ๋นมีเรื่องใดต้องการความช่วยเหลือก็บอกข้ามาได้เลย”
มู่ชิงอีคลี่ยิ้มเอ่ยขอบคุณแต่ไม่ได้พูดอะไรมากนัก ถึงแม้หนานกงอวี้จะพูดเช่นนั้น แต่ด้วยความสัมพันธ์ของพวกเขาหากมีเรื่องใดจริงๆ คงหวังพึ่งเขาไม่ได้ เพราะหากพูดมากไปจะดูแอบแฝงเจตนาอื่นมากกว่า
มู่ชิงอีหันไปมองนอกหน้าต่างแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเอ่ย “เมืองหลวงแคว้นเย่ว์และแคว้นหวาต่างกันจริงๆ ถึงแม้แคว้นหวาจะตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มแม่น้ำ แต่เวลานี้กลับดูหงอยเหงา ทว่าตอนนี้เมืองหลวงแคว้นเย่ว์กลับมีดอกไม้หลากสีสันช่วยขับให้ทิวทัศน์งดงาม”
หนานกงอวี้อดเอ่ยอย่างภาคภูมิใจไม่ได้ว่า “ถึงแม้ข้าจะดูเบื่อแล้ว แต่ทุกปีจะมีเหล่านักปราชญ์บัณฑิตเดินทางแวะเวียนมาชมดอกพุดตานโดยเฉพาะ หลิวอวิ๋นเองก็คงชื่นชอบไม่ต่างกัน”
มู่ชิงอีพยักหน้ากล่าว “ต่อให้ใบไม้ในป่าทึบจะร่วงโรยแห้งเหี่ยวเป็นสีเหลือง แต่ดอกพุดตานกลับเบ่งบานงามสะพรั่ง แบบนี้ข้าจะไม่ชอบได้อย่างไรเล่า”