หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 305 หัวหน้าผู้ดูแลจวนอ๋อง (1)
“เหตุผลหรือ รับเงินมาแล้วก็จัดการตามที่ว่าจ้าง ต้องมีเหตุผลใดอีกหรือ” บุรุษผู้นั้นแสยะยิ้มเอ่ย
“เพื่อเงินหรือ” มู่ชิงอีพึมพำกับตัวเองครู่หนึ่งก่อนยิ้มเอ่ย “หากต้องการแค่เงินคงไม่ใช่เรื่องง่าย ว่าแต่คนที่เชิญพวกเจ้ามาจ่ายหนักได้มากกว่าข้าอีกหรือ ต้องการเท่าไร ทุกคนรีบบอกมาได้เลย เหตุใดต้องลงไม้ลงมือกันด้วยเล่า”
บุรุษที่เป็นหัวหน้าหรี่ตาสำรวจมู่ชิงอีอยู่นานถึงยิ้มเอ่ย “คุณชายเอาแต่ใจอย่างเจ้าดูท่าทางอ่อนแอบอบบาง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะใจเด็ดขนาดนี้”
มู่ชิงอียิ้มบางกล่าว “ชมกันเกินไปแล้ว ข้ามีเงินทองถมเถ ขอแค่เจ้าบอกมาว่าใครบงการอยู่เบื้องหลัง เขาให้เจ้าเท่าไร ข้าจะให้มากกว่าสองเท่า”
ทุกคนที่กำลังห้อมล้อมเขาอยู่ต่างอดดวงตาเป็นประกายไม่ได้ พวกเขาก็แค่รับเงินมาทำงาน ดังนั้นเงินยิ่งเยอะเท่าไรก็ยิ่งดีกว่าอยู่แล้ว จากนั้นก็อดเลื่อนแววตาแห่งความหวังจับจ้องไปทางบุรุษที่เป็นหัวหน้าไม่ได้
บุรุษที่เป็นหัวหน้านึกหวั่นไหวในใจ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้นำ ไม่นานก็เข้าใจหลักสำคัญจึงเอ่ยยิ้มเยาะ “ไม่ต้องมาพูดจาเพ้อเจ้อเหลวไหล หากทำตัวกลับกลอก วันหน้าจะมีใครกล้าจ้างข้าทำงานเล่า”
มู่ชิงอีเอียงศีรษะแล้วมองอู๋ซินอย่างสงสัยก่อนเอ่ยถาม “แบบนี้…ปกติแล้วน่าจะเป็นพวกไม่ได้รับงานมาสามปี พอรับงานทีก็หาเงินกินยาวไปอีกสามปีเลยมิใช่หรือ”
อู๋ซินเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “คิดว่าพวกเขาก็คงรับเงินมาไม่เท่าไร หากสามปีไม่รับงานเลยคงหิวตายไปนานแล้วขอรับ”
“เจ้าพวกน่ารังเกียจ! รนหาที่ตาย!” เห็นได้ชัดว่าคำเยาะเย้ยนั้นทำให้บุรุษที่เป็นหัวหน้าผู้นั้นสีหน้าขรึมลง จากนั้นก็ไม่สนใจอะไรแล้วยกดาบพุ่งเข้ามาฟาดฟันมู่ชิงอี
สำหรับพวกนกพวกกาที่เตะต่อยเป็นแค่นิดหน่อยเช่นนี้ อู๋ซินไม่ต้องขยับตัวเลยด้วยซ้ำ แค่ยกมือขึ้นกุมข้อมือของเขาไว้แล้วออกแรงบีบเล็กน้อย บุรุษผู้นั้นก็กรีดร้องเสียงหลง ดาบในมือก็ร่วงตกพื้นทันที
อู๋ซินสีหน้าราบเรียบไม่เปลี่ยน กระโดดถีบคนที่หวังจะลอบเข้ามาทำร้ายจากด้านหลังจนร่างกระเด็น พอคนอื่นๆ ได้เห็นอิทธิฤทธิ์ก็รู้เลยว่าเจอยอดฝีมือเข้าแล้ว ครั้นเห็นลูกพี่ใหญ่ของตัวเองถูกเขาขยำอยู่ในมือเลยอดพากันหวาดกลัวไม่ได้
มู่ชิงอีก้มหน้ามองบุรุษที่ถูกอู๋ซินกดไว้บนพื้นด้วยมือเดียวแล้วเลิกคิ้วเอ่ย “ดูท่าทาง…คงไม่ใช่คนเก่งกาจอะไรส่งมา”
อู๋ซินพยักหน้า “ก็แค่เก่งกว่าพวกอันธพาลเร่ร่อนทั่วไปหน่อยก็เท่านั้น” หากมีความสามารถจริงๆ คงไม่เอาของพวกนี้มาสร้างความอับอายให้ตัวเอง
มู่ชิงอีพยักหน้ากล่าว “ข้าเพิ่งมาเมืองหลวงครั้งแรกจึงไม่น่าล่วงเกินผู้มีอิทธิพลคนใดได้ เจ้า…บอกข้ามาเถิดว่าคนที่จ่ายเงินว่าจ้างพวกเจ้ามามีชื่อแซ่ว่าอะไร”
บุรุษผู้นั้นยังไม่ยอมจำนน อีกทั้งกัดฟันแน่นไม่ยอมเปิดปากพูด
มู่ชิงอีขมวดคิ้วมุ่นแล้วกวาดตามองทุกคนที่กำลังห้อมล้อมอยู่ด้านข้างด้วยท่าทีที่อยากจะถอยแต่ก็ไม่ยอมถอย อยากจะลงไม้ลงมือแต่ก็ไม่กล้าพวกนั้นแวบหนึ่ง “หากใครรู้ ข้าจะให้ห้าร้อยตำลึง อีกทั้งสัญญาว่าจะไม่ถือสาหาความเรื่องในวันนี้ด้วย”
ทุกคนเริ่มลังเลใจ มีอยู่ไม่กี่คนที่เผยท่าทีอยากจะพูดแต่ก็ไม่พูด
บุรุษที่เป็นหัวหน้าบนพื้นพยายามอดกลั้นกัดฟันหันไปตวาดใส่ลูกน้อง “ห้ามพูด!”
ทันทีที่อู๋ซินออกแรงที่มือเพียงนิดเดียวก็ทำเอาบุรุษที่เป็นหัวหน้ากรีดร้องคร่ำครวญแล้ว เห็นได้ชัดว่ากระดูกส่วนสะบักถูกบีบจนแตกละเอียด มู่ชิงอีมองทุกคนด้วยท่าทีอ่อนโยนกล่าว “ดูท่าทางหัวหน้าของพวกเจ้าจะไม่ค่อยอยากคิดแทนพวกเจ้าสักเท่าไร เช่นนั้นข้าคงทำได้แค่เชิญทุกคนตามข้าไปที่ศาล เชื่อว่าอุปกรณ์ทำโทษในศาลคงทำให้ทุกคนเปิดปากได้”
“ไม่…ไม่เอานะ ข้ารู้” ในที่สุดบุรุษรูปร่างเตี้ยผอมในนั้นก็ทนไม่ไหว จากนั้นก็เอ่ยด้วยท่าทีกล้าๆ กลัวๆ “ข้ารู้…ข้าได้ยินลูกพี่กับอีกฝ่ายคุยกัน…เขาคือคนแซ่หลี เหมือนจะเป็นเถ้าแก่โรงทอผ้าอะไรสักอย่าง”
“สารเลว!” บุรุษที่เป็นหัวหน้าร้องครางอย่างเจ็บปวดแล้วจับจ้องบุรุษตัวเตี้ยร่างเล็กที่แฉความลับอย่างโกรธแค้น
บุรุษผู้นั้นกลับไม่สนใจสักนิด เขามองมู่ชิงอีพลางยิ้มเอ่ยอย่างเอาใจ “คุณชาย…ข้ารู้อะไรก็บอกไปหมดแล้ว ข้าจะ…ข้าจะ…” เขาติดตามลูกพี่ก็เพื่อหาเงินเท่านั้น เงินแค่ห้าร้อยตำลึงบางทีอาจไม่พอให้พวกคนรวยกินข้าวสำรับหนึ่งด้วยซ้ำ แต่สำหรับประชาชนคนธรรมดากลับใช้ชีวิตอย่างสุขสบายได้ครึ่งชีวิตเชียว ในเมื่อเป็นเช่นนี้เขาจะใช้ชีวิตเสี่ยงอันตรายแบบนี้ไปทำไมกันอีก
มู่ชิงอีอมยิ้มพลางยักคิ้วใส่ หมุนตัวแล้วบอกกับอู๋ซินว่า “ลงมือเถิด” อู๋ซินรับคำสั่ง จากนั้นก็ทิ้งตัวบุรุษที่ถูกเขากดไว้ทิ้งแล้วพุ่งเข้าไปท่ามกลางฝูงชนที่ล้อมรอบอยู่ พวกเขายังไม่ทันตั้งตัวก็ถูกซ้อมเสียงดัง พลั่กๆ จนกองทับกันเป็นภูเขา แต่ละคนตัวทับซ้อนกัน อีกทั้งด้านหลังยังมีคนถูกทับจนตะโกนร้อง อ๊าก เสียงหลง
เวลานี้หัวหน้าที่ย่นคิ้วนอนเจ็บไหล่อยู่บนพื้นมาตลอดก็เผยสีหน้าซีดขาว และเข้าใจว่าตนเจอยอดฝีมือเข้าแล้ว เพียงแต่เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดข้างกายของคุณชายผู้มั่งคั่งที่ไม่มีภูมิหลังใดและเพิ่งเข้ามาในเมืองหลวงถึงมียอดฝีมือแบบนี้ได้
ครั้นเห็นคนนอนกองเกลื่อนเต็มพื้น มู่ชิงอีก็เอ่ยเสียงเรียบ “ส่งคนพาตัวไปส่วนราชการเถิด ความปลอดภัยของเมืองหลวงแห่งนี้ช่างย่ำแย่เสียจริง”
อู๋ซินพยักหน้าเห็นด้วย กล้าลงมือฆ่าคนอย่างโจ่งแจ้งในเมืองหลวงขนาดนี้ นับว่าเป็นคนใจกล้าไม่เบา
“เจ้าคิดว่าข้าจะกลัวหรือ ส่วนราชการแล้วอย่างไรเล่า ข้าเข้าไปสองสามเดือนก็ออกมาแล้ว พอถึงตอนนั้น…” พอบุรุษที่เป็นหัวหน้าผู้นั้นได้ยินว่าจะส่งตัวเขาไปส่วนราชการก็พลันรู้สึกว่าถึงแม้คนที่ติดตามข้างกายของหนุ่มน้อยตรงหน้าจะเก่งกาจ แต่เขาก็เป็นแค่คุณชายอ่อนหัดที่ทำอะไรตามกฎคนหนึ่งเท่านั้น เลยข่มขู่ไป
อู๋ซินขมวดคิ้วมุ่นแล้วพยักหน้าให้มู่ชิงอีสื่อว่าเรื่องนี้อาจจะเกิดขึ้นได้จริง ถึงอย่างไรคนพวกนี้ก็ไม่มีทางถูกตัดสินประหาร จากนั้นขอแค่หาวิธีเอาชีวิตรอดจากคุกมาได้ ผ่านไปอีกสองสามเดือนก็มีโอกาสถูกปล่อยตัวออกมาอยู่ดี “คุณชาย เราจะ…”
“ไม่ต้อง” มู่ชิงอียกมือขึ้นห้ามแล้วฉีกยิ้มมองบุรุษที่ชั่วช้าโหดเหี้ยมตรงหน้า “ช่วยเอาจดหมายไปส่งให้คุณชายรองของตระกูลหนานกงหน่อยแล้วกัน บอกว่า…คนพวกนี้วางอุบายฆ่าคนปล้นทรัพย์ อีกทั้งข่มขู่ว่าออกจากคุกมาจะตามล้างแค้นข้าด้วย ขอให้เขาช่วยหน่อยก็แล้วกัน”
“ตระกูลหนานกง?” จู่ๆ บุรุษผู้นั้นก็ชักสังหรณ์ใจไม่ดี
รอยยิ้มของมู่ชิงอีกลับสดใสงดงามมากกว่าเดิม “คุณชายรองของจวนผู้นำแม่ทัพใหญ่ หนานกงอวี้อย่างไรเล่า ได้ยินมาว่าเขาเกลียดคนเลวเข้าไส้ คิดว่าเขาไม่มีทางเพิกเฉยแน่นอน”
อู๋ซินกล่าว “คุณชายพูดถูก ด้วยความสนิทสนมระหว่างคุณชายกับคุณชายหนานกงแล้ว แค่นี้คงเรื่องเล็ก”
จบกัน!
ในที่สุดบุรุษผู้นั้นก็เผยสีหน้าสิ้นหวัง หนานกงอวี้เกลียดคนเลวเข้าไส้จริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นคนผู้นี้ยังเป็นสหายของเขาอีกต่างหาก หากหนานกงอวี้คิดจะใช้โทษหนักกับพวกเขา จะมีใครกล้าขัดขืนหรือ
“เจ้า…เจ้าสัญญากับข้าว่าจะให้เงินและไม่ถือความเอาโทษกับข้านี่นา” ในที่สุดบุรุษร่างผอมเตี้ยก็ได้สติ แล้วเอ่ยอย่างไม่พอใจนัก
มู่ชิงอีฉีกยิ้มอ่อนหวาน “คำพูดของศัตรู หากยังไม่ได้เงินก็ไม่ควรเชื่อใจจะเป็นการดีที่สุด”
ณ จวนตระกูลหลีแห่งเมืองหลวง
ตระกูลหลีอยู่ในเมืองหลวงที่แสนกว้างใหญ่แห่งนี้แต่กลับไม่ได้ถือว่าพิเศษหรือตกเป็นเป้าสายตาใครนัก ถึงแม้นายท่านของตระกูลหลีจะเป็นผู้ดูแลโรงทอผ้าห้องเสื้อสามแห่งและโรงย้อมผ้าอีกแห่ง หากเทียบเรื่องทรัพย์สมบัติอาจจะมากกว่าผู้ทำมาค้าขายบางส่วนอยู่ไม่น้อย แต่กระนั้นสิ่งเหล่านี้กลับไม่ใช่กิจการของเขา เขาแค่ช่วยดูแลกิจการแทนคนอื่นก็เท่านั้น