หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 350 ผู้รอบรู้ในยุทธภพ (3)
“เว่ยอู๋จี้หรือ”
“ถึงแม้เว่ยอู๋จี้จะเป็นพ่อค้า แต่มีความความสัมพันธ์กับเหล่าเชื้อพระวงศ์ของแคว้นเย่ว์ แคว้นหวา กระทั่งเป่ยฮั่น หากไม่เป็นเช่นนี้ เขาจะสามารถไต่เต้าขึ้นมาเป็นเศรษฐีอันดับหนึ่งในใต้หล้าในระยะเวลาสั้นๆ เพียงสิบปีได้เช่นไร หากถูกเขาจับได้ขึ้นมาแล้วทูลรายงานต่อเสด็จพ่อ ถึงแม้เมืองเทียนเชวียจะมีภูมิศาสตร์ตั้งอยู่ในที่สูงและอันตรายน่ากลัวมากพอ แต่พวกเรากลับเข้ากับโลกภายนอกได้อย่างยากลำบาก ยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้ความสามารถของเทียนเสวียนจะไม่แย่เลย ทว่าไม่ได้เฉลียวฉลาดมีพรสวรรค์อย่างเว่ยอู๋จี้ขนาดนั้น ส่วนข้าเองก็ยุ่งมากด้วย…”
ครั้นเห็นท่าทีน่าสงสารของหรงจิ่น มู่ชิงอีก็อดนึกสงสารเขาจริงๆ ขึ้นมาไม่ได้ ความจริงองค์ชายที่แทบไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนตามธรรมเนียมก่อนอายุแปดชันษาและหลังอายุแปดชันษามาก็ยังมีโรครุมเร้าเป็นระยะๆ หรงจิ่นทำได้อย่างวันนี้ก็นับว่าน่าทึ่งมากแล้ว ด้วยสถานะขององค์ชายทำให้ถูกกำหนดไว้ว่าอยู่ด้านนอกเป็นระยะเวลานานไม่ได้ กระทั่งไร้หนทางจะออกจากแคว้นเย่ว์ไปไกล รวมถึงอาจต้องรับมือกับความเปลี่ยนแปลงทุกเมื่อ ดังนั้นร่องรอยของคุณชายอวิ๋นอิ่นจึงอยู่ภายในเขตแคว้นเย่ว์มาตลอด
ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้รับช่วงต่อดูแลเมืองเทียนเชวีย แต่สุดท้ายตนเองกลับต้องออกเงินเพื่อดูแลบ่มเพาะคนเหล่านั้นในเมืองเทียนเชวียเสียเอง แค่นี้ก็เหมือนพ่อแม่ไม่รักน่าสงสารมากพอแล้ว แต่กระนั้นสวรรค์กลับยังกลั่นแกล้งเขาอีก
“หากเดินเส้นทางช่วงชิงบัลลังก์อย่างองค์ชายทั่วไปคงไม่ต้องใช้เงินมากมายขนาดนี้ แต่…เป็นหลักประกันอะไรไม่ได้เลย อีกอย่างต้องใช้เวลานานมากด้วย” หรงจิ่นขมวดคิ้วแล้วเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์นัก
ดังนั้นหรงจิ่นถึงคิดจะยึดอำนาจและก่อกบฏมาตั้งแต่แรกแล้วกระมัง ช่าง…มีปณิธานที่ยิ่งใหญ่มากจริงๆ
คืนก่อนงานชมดอกเบญจมาศของปีนี้แตกต่างไปจากปีก่อนๆ ซึ่งเคยเต็มไปด้วยเหล่าบัณฑิตผู้มีความรู้อย่างสิ้นเชิง เพราะบัดนี้คนในเมืองเผิงกลับเต็มไปด้วยคนในยุทธภพที่พกมีดดาบอาวุธติดตัวเดินพลุกพล่านเกลื่อนถนน พอเห็นสถานการณ์เช่นนั้นเหล่าบัณฑิตที่เดินทางมาโดยเฉพาะต่างก็ทยอยถอยหนีกันหมด ผู้มีความรู้ย่อมมิใช่คนโง่เขลา แค่มองแวบเดียวก็รู้ว่าสถานการณ์เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องดีอะไร การชมดอกไม้ย่อมสำคัญแน่นอน แต่ถ้าถึงขั้นต้องจบชีวิตก็คงไม่ค่อยคุ้มค่าเท่าไร
ในสถานที่ที่ปรากฏเหล่าคนในยุทธภพเต็มถนนเช่นนี้ มู่ชิงอีและหรงจิ่นที่ใช้หน้ากากปิดใบหน้าเดินเนิ่บนาบกลางถนนย่อมไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร ถึงแม้คนที่เดินสัญจรไปมาจะตกตะลึงในความงามเหนือใครของสาวน้อยชุดขาว แต่เห็นได้ชัดว่าความโหดเหี้ยมของคุณชายอวิ๋นอิ่นจะดังกระฉ่อนไปทั่วเมืองเผิงในระยะเวลาสั้นๆ เพียงครึ่งวันเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าลองดีว่าตนจะสามารถหลบคมมีดซิวหลัวได้พ้นหรือไม่
เมื่อเห็นท่าทีพออกพอใจของหรงจิ่น มู่ชิงอีเลยทำได้แค่ถอนหายใจอย่างเอือมระอา คิดๆ ดูแล้วตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา ไม่ว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลกู้อย่างนางจะเดินไปแห่งหนใดก็มักได้รับสายตายำเกรงเลื่อมใสจากคนอื่นเสมอ แต่นี่กลับถูกมองด้วยสีหน้าหวาดผวาเช่นนี้เป็นครั้งแรก แน่นอนว่าทั้งหมดทั้งมวลต้องยกความดีความชอบให้คนข้างกายอยู่แล้ว
“ชิงชิงเป็นอันใดไปหรือ” ครั้นสังเกตเห็นสายตาที่จับจ้องมาของนาง หรงจิ่นจึงก้มศีรษะเอ่ยถามเสียงเบา
มู่ชิงอีส่ายศีรษะอย่างหมดคำพูด “เรากลับกันดีกว่า” ในฐานะคนธรรมดา นางไม่ค่อยมีความสุขกับความรู้สึกที่ถูกทุกคนจับจ้องอย่างหวาดกลัวเหมือนนางเป็นโรคติดต่อเช่นนี้สักเท่าไร
หรงจิ่นไม่เข้าใจ “เหตุใดถึงอยากกลับแล้วเล่า ชิงชิงบอกว่าอยากชมดอกไม้มิใช่หรือ เมืองเผิงแห่งนี้เรื่องอื่นอาจไม่เท่าไร แต่เรื่องดอกไม้กลับไม่เลวเลยจริงๆ”
มู่ชิงอีมองหรงจิ่นที่สัมผัสถึงความหวาดผวาที่ทุกคนมีต่อเขาไม่ได้เลยสักนิดอย่างหมดคำพูด
หรงจิ่นขบคิดก่อนกวาดตามองคนพลุกพล่านบนท้องถนนที่แอบใช้สายตาเหลือบมองมาทางพวกเขาเป็นพักๆ จากนั้นคิ้วทรงดาบก็เลิกขึ้นพร้อมผุดรอยยิ้มร้ายกาจให้เห็น หลังจากนั้นก็ทำเอาทุกคนต่างตื่นตระหนกกันหมด คนที่อยู่ในระยะสามฉื่อต่างถอยหลบหนีหายไปจนเกลี้ยง
“ชิงชิง พวกเราไปกันเถิด ด้านหน้าดูคึกคักไม่เบา” หรงจิ่นกวาดตามองคนที่สัญจรไปมาอย่างพึงพอใจก่อนจะลากมู่ชิงอีเดินไปข้างหน้าอย่างมีความสุข
ด้านหน้าครื้นเครงตามที่คิดไว้ ที่ใดมีคนที่นั่นมักมีคนในยุทธภพ สถานที่ใดมีคนในยุทธภพก็มักมีการประลองเกิดขึ้น ส่วนมากคนในยุทธภพมักอารมณ์ร้อนฉุนเฉียว ดังนั้นจึงมีคนปะทะกันตรงท้องถนน ประชาชนทั่วไปย่อมหนีเป็นธรรมดา ทว่าคนในยุทธภพกลับเข้าไปมุงดูอย่างสนุกสนานพลางวิพากษ์วิจารณ์อย่างออกรส
หากหญิงสาวคนหนึ่งถูกผู้ชายกลุ่มหนึ่งโจมตี แบบนั้นคงเรียกว่ารังแกผู้หญิงที่อ่อนแอกว่า แต่หากผู้ชายคนหนึ่งถูกผู้หญิงกลุ่มหนึ่งห้อมล้อมแทนล่ะก็ แบบนั้นควรเรียกว่าอะไรเล่า
มุมหนึ่งริมถนน บุรุษสวมชุดสีฟ้าทั้งร่างผู้หนึ่งกำลังดวลกับกลุ่มสตรีกลุ่มหนึ่งอยู่ หรือจะกล่าวให้ถูกก็คือผู้ชายคนหนึ่งถูกผู้หญิงกลุ่มหนึ่งรุมโจมตีจะดีกว่า ฝีมือวิทยายุทธของบุรุษผู้นั้นธรรมดาทั่วไป แต่วิชาตัวเบากลับดีไม่น้อย ถึงแม้จะสู้กลับยากมากแต่ก็ยังฝืนยืนหยัดไม่ให้ได้รับบาดเจ็บหนักได้ อีกทั้งวิทยายุทธของหญิงสาวกลุ่มนั้นก็ธรรมดาแต่เพราะพวกนางมีจำนวนคนมากกว่า ดังนั้นหากบุรุษที่อยู่ตรงกลางคิดจะหนีก็คงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เช่นกัน
“คุณชายผู้นี้เป็นใครกันถึงได้หาเรื่องกลุ่มหญิงสาวที่โหดเหี้ยมพวกนี้ได้” เหล่าคนที่มุงดูต่างถกประเด็นกันยกใหญ่
พอเห็นบุรุษชุดสีฟ้าตรงกลางผู้นั้น มู่ชิงอีก็สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อยพลางขมวดคิ้วงามมุ่น
“ชิงชิงรู้จักหรือ” หรงจิ่นเลิกคิ้วถาม
“ไท่สื่อเหิง” มู่ชิงอีเอ่ยเสียงเบา ทายาทของตระกูลไท่สื่อแห่งยุทธภพในตำนาน มีฉายานามว่าไท่สื่อเหิงผู้รอบรู้แห่งยุทธภพ ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาตระกูลไท่สื่อวางตัวเป็นกลางและไม่เข้าร่วมการแก่งแย่งช่วงชิงใดในยุทธภพ ดังนั้นไม่ว่าใครในยุทธภพจึงไม่ค่อยสร้างความลำบากใจให้แก่พวกเขา ไท่สื่อเหิงถูกหญิงสาวรุมโจมตีในที่สาธารณชนเช่นนี้กลับน่าสนใจไม่น้อย
ถึงแม้ตระกูลไท่สื่อจะมีชื่อเสียงในยุทธภพ แต่คนที่ได้เจอะเจอคนของตระกูลไท่สื่อจริงๆ กลับมีไม่มาก ทว่าผู้หญิงเหล่านั้น…
“พวกนางเป็นลูกน้องของเซวียไฉ่อีจากสำนักไฉ่อีมิใช่หรือ เหตุใดเจ้าเด็กคนนี้ถึงโชคร้ายล่วงเกินกลุ่มสาวบ้าคลั่งเหล่านี้ได้” มีคนเอ่ยนึกเห็นใจไท่เหิงสื่ออย่างอดไม่ได้ สำนักไฉ่อีเป็นกลุ่มองค์กรขนาดไม่ใหญ่นักในยุทธภพ เรื่องวิทยายุทธเองก็ไม่ได้โดดเด่นจนน่าอัศจรรย์ใจ จุดเด่นเพียงหนึ่งเดียวของสำนักไฉ่อีคือรับหญิงสาวที่หน้าตางดงามและอายุยังน้อย ส่วนเจ้าสำนักไฉ่อีก็คือสาวงามอันดับหนึ่งในยุทธภพเมื่อสิบปีก่อน แน่นอนว่าเซวียไฉ่อีที่อายุล่วงเลยสามสิบมาแล้วจะยังรักษาฉายานี้ได้หรือไม่คงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
แต่เรื่องเหล่านี้ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญก็คือผู้หญิงของสำนักไฉ่อีมีเจตนาร้ายต่อผู้ชายเป็นหลัก อีกทั้งยังใจดำอำมหิต หากเผลอไปหาเรื่องพวกนางเข้าย่อมมีจุดจบที่ไม่สวยนัก หากมีวิทยายุทธด้อยกว่าพวกนางย่อมตายอย่างอนาถ ทว่าต่อให้มีวิทยายุทธดีกว่าพวกนางแต่หากไม่ใช่พวกร้ายกาจอะไรใครจะกล้าลงมือเหี้ยมโหดกับผู้หญิงเหล่านี้ได้ ดังนั้นคนในยุทธภพทั่วไปเลยพยายามหลีกเลี่ยงหญิงสาวเหล่านี้
หรงจิ่นเลิกคิ้วถาม “ไท่สื่อเหิงหรือ ข้าเข้าใจแล้ว เซวียไฉ่อีนับว่าฉลาดมาก” ถึงแม้จะเล่าลือว่ามั่วเวิ่นฉิงอยู่ในเมืองเผิง แต่กลับไม่มีใครเจอมั่วเวิ่นฉิงเลย ไท่สื่อเหิงเป็นทายาทของตระกูลไท่สื่อเพียงคนเดียวที่เดินสายยุทธภพ หากไม่ถามเขาแล้วจะถามใครเล่า
“ไท่สื่อเหิง เจ้าสำนักของพวกเราอยากเจอเจ้าก็เพราะให้เกียรติเจ้า แต่เจ้าหาข้ออ้างปฏิเสธเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน” ครั้นกำราบไท่สื่อเหิงไม่ได้สักที หญิงสาวที่เป็นหัวหน้าสวมชุดสีม่วงคนหนึ่งจึงตะโกนถามขึ้น
ไท่สื่อเหิงเบี่ยงตัวหลบดาบยาวที่พุ่งมาแทงตนจากด้านหลังได้อย่างหวุดหวิด แล้วเอ่ยอย่างหัวเสีย “ข้าก็บอกไปแล้วว่าข้าไม่รู้ว่ามั่วเวิ่นฉิงอยู่ที่ไหน! อีกอย่างบอกเซวียไฉ่อีผู้หญิงคนนั้นให้ตัดใจเสียดีกว่า คนอย่างนางเป็นป้าแก่ๆ อยู่ในเย่าหวังกู่ก็พอแล้ว มั่วเวิ่นฉิงจะต้องตานางได้อย่างไร”
ทุกคนต่างส่งเสียงฮือฮา ที่แท้ก็เป็นผู้รอบรู้แห่งยุทธภพนี่เอง ที่แท้เจ้าสำนักไฉ่อีก็ชอบเจ้าสำนักเย่าหวังกู่หรอกหรือ ที่แท้เจ้าสำนักไฉ่อีก็อายุมากขนาดนี้แล้วหรือ อายุของสาวงามถือว่าเป็นความลับจริงๆ