หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 353 ความจริงเรื่องหญ้าเซียนเก้าเมฆา (2)
“หันเวิ่นเทียนโกหกอย่างนั้นหรือ” ฮั่วซูเอ่ยอย่างฉงน “เหตุใดเขาต้องโกหกคนอื่นด้วย”
ไท่สื่อเหิงแค่นเสียงเบา “หญ้าเซียนเก้าเมฆาถูกเขากินเข้าไปแล้ว ใครก็ไม่มีทางเอาไปได้ แต่หากเขาบอกว่าเขาได้ตำราลับวิทยายุทธมา เจ้าว่าจะเป็นเช่นใดเล่า” หันเวิ่นเทียนเป็นคนธรรมดาไม่ได้เป็นลูกหลานจากตระกูลชื่อดังอะไร อีกทั้งเบื้องหลังยังไม่มีอำนาจคอยหนุนหลังอะไรด้วย ถ้ามีคนรู้ว่าเขาหาตำราลับวิทยายุทธเจอ คนในยุทธภพต้องแห่มาโจมตีเขาแน่นอน ต่อให้หันเวิ่นเทียนเก่งกาจเพียงใด เกรงว่าก็คงยากจะต่อกรกับการรุมโจมตีของทุกคนในยุทธภพได้ แต่หากเป็นแค่หญ้าวิเศษชนิดหนึ่งเล่า ในเมื่อหญ้าเซียนเก้าเมฆาถูกเขาทานเข้าไปแล้วก็คงไม่ถึงขั้นสังหารเขาทิ้งแล้วเค้นเลือดออกมากระมัง แถมใครกล้ารับประกันได้บ้างว่าจะได้ผลจริง
ฮั่วซูถอนหายใจอย่างหัวเสียเอ่ย “เกลียดจริงๆ ที่แท้ก็แค่ข่าวโคมลอย”
ไท่สื่อเหิงยักคิ้วอย่างได้ใจกล่าว “เห็นได้ชัดว่าเรื่องโกหกพรรค์นี้ก็มีคนเชื่อด้วย สมองของคนในยุทธภพ…ช่างหวังอะไรด้วยไม่ได้เลย”
ภายในห้องโถง ทั้งสี่คนเปลี่ยนสีหน้าทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘หวังอะไรกับสมองไม่ได้เลย’ อย่างพร้อมเพรียง จากนั้นก็กวาดตามองไท่สื่อเหิงที่เผยท่าทีย่ามใจอย่างโกรธเคือง
“เรื่องนี้…เจ้าเคยบอกใครบ้าง” หรงจิ่นเอ่ยถามด้วยเสียงนุ่มนวล
ไท่สื่อเหิงนิ่งไปก่อนส่ายศีรษะเอ่ย “ข้าไม่เคยบอกใคร ข้าบอกไปก็ไม่มีใครเชื่อหรอก” ทุกคนที่เข้ามาขวางเขาล้วนอยากรู้ว่าหญ้าเซียนเก้าเมฆาอยู่ที่ใด แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีใครถามเขาเรื่องที่ว่าหญ้าเซียนเก้าเมฆามีจริงหรือเปล่า ต่อให้เขาบอกคนเหล่านั้นไปว่าบนโลกใบนี้ไม่มีหญ้าเซียนเก้าเมฆา คิดว่าอีกฝ่ายก็คงเข้าใจว่าเขาโกหกอยู่ดี
“เช่นนั้นนับจากนี้ไปให้ลืมคำพูดเมื่อครู่ทิ้งทั้งหมด” หรงจิ่นเอ่ยเสียงนุ่มนวล
“หมายความว่าอย่างไร” ไท่สื่อเหิงไม่เข้าใจ หรงจิ่นจับจ้องเขาแน่นิ่ง แต่สายตานั้นกลับชวนให้เขาขนลุกขนพองไปหมด จากนั้นก็ได้ยินหรงจิ่นเอ่ยเสียงผ่อนคลายว่า “ในเมื่อเย่าหวังกู่บอกว่ามีหญ้าเซียนเก้าเมฆา ดังนั้นก็ต้องมีจริงๆ เข้าใจหรือยัง”
“เข้า…เข้าใจแล้ว” ไท่สื่อเหิงพยักหน้ารับอย่างขมขื่น ตอนแรกเขานึกสงสัยว่าการที่ตนตามอวิ๋นอิ่นมาเป็นตัวเลือกที่ดีหรือไม่ แต่พอนึกถึงเหล่าสาวโหดที่คอยไล่ล่าตามเขาตลอดหลายวันมานี้ หากเขาติดตามคุณชายอวิ๋นอิ่นคงปลอดภัยมากกว่ากระมัง เพราะอย่างน้อย…แม่นางชิงอีก็ยังใจดีเป็นมิตรอยู่บ้าง
ครั้นเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนที่มู่ชิงอีส่งมาให้ตน ไท่สื่อเหิงก็ลอบปลอบใจตัวเองในใจ
“ชิงชิงผิดหวังหรือ” หลังจากทุกคนแยกย้ายกันไปแล้ว ครั้นหรงจิ่นเห็นมู่ชิงอีกำลังตกอยู่ในภวังค์จึงเอ่ยถามเสียงเบา มู่ชิงอียิ้มบางถอนหายใจเอ่ยเสียงเบา “หากบอกว่าไม่ผิดหวังเลยก็คงเป็นการโกหก แต่…ก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายอะไรเพคะ” คำเล่าลือของสิ่งล้ำค่านี้โผล่มากะทันหันเกินไป ต่อให้มีอยู่จริงก็ใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ ทว่าไม่มี…ก็อยู่ในความคาดหมายเช่นกัน
หรงจิ่นเอ่ยเสียงนุ่มนวล “ชิงชิงไม่ต้องกังวลใจไป อาการป่วยของมู่หรงซีต้องมีหนทางรักษาแน่นอน อย่างมากเดี๋ยวข้าช่วยจับตัวมั่วเวิ่นฉิงมาก็ได้แล้ว”
มู่ชิงอียิ้มบางอย่างเอือมระอา “แม้แต่ตอนนี้พวกพี่ชายอยู่ที่ใดก็ยังไม่รู้เลย ไม่ต้องรีบร้อนคุยเรื่องนี้ก็ได้เพคะ ในทางกลับกันไม่คิดเป็นห่วงตัวท่านเองบ้างเลยหรือ”
หรงจิ่นยิ้มกล่าว “ข้ารู้จักร่างกายของข้าดี ถึงจะไม่ได้ใช้ชีวิตสุขสบายแต่ก็ไม่ตายหรอก” หรงจิ่นถอดหน้ากากออกพร้อมฉีกยิ้มโดยไม่มีท่าทีฝืนใจเลยสักนิด เป็นเพราะยอมแพ้อย่างสมบูรณ์ถึงยอมรับและปล่อยวางได้อย่างแท้จริง หลังจากเห็นอาการป่วยกำเริบหนักเบาของหรงจิ่นมาหลายครั้ง มู่ชิงอีก็ไม่รู้จริงๆ ว่าเด็กอายุแปดขวบคนหนึ่งทนมาจนถึงตอนนี้ได้อย่างไร เกรงว่าท่าทีไม่สนใจในตอนนี้อาจเป็นความผิดหวังหลังจากผ่านความทุกข์ทรมานมาเป็นเวลานานของเขาซะมากกว่า
มู่ชิงอียื่นมือไปกุมมือเย็นเฉียบของหรงจิ่นไว้อย่างเบามือแล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ต้องหายแน่นอน”
หรงจิ่นยิ้มบางแล้วกุมมือเรียวงามของนางกลับโดยไม่พูดอะไร ทว่าภายในห้องโถงที่กว้างขวางอบอวลไปด้วยไออุ่นจางๆ รายล้อมเต็มไปหมด
ในเมื่อไม่มีหญ้าเซียนเก้าเมฆา แผนการในเดิมทีย่อมต้องปรับเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด หรงจิ่นเริ่มกลับมายุ่งอีกครั้ง วันๆ หายตัวไปไม่เห็นแม้แต่เงา ดังนั้นจึงเหลือเพียงอู๋ซินและฮั่วซูคอยคุ้มครองความปลอดภัยของมู่ชิงอี มู่ชิงอีเองก็รู้ดีว่าหรงจิ่นออกไปจัดการเรื่องอันตรายเป็นส่วนใหญ่เลยไม่อยากให้เขาเสียสมาธิ ทุกวันนางจะเดินเล่นไปมาในเมืองและจัดการเรื่องในเมืองเทียนเชวียเล็กน้อย ในทางกลับกันหลังจากไท่สื่อเหิงค้นพบว่าเจ้านายและบ่าวรับใช้ของเรือนแห่งนี้ปฏิสัมพันธ์ด้วยยากจึงเลิกตามรังควานมู่ชิงอีไป
ไท่สื่อเหิงไม่ใช่บุคคลที่ชวนให้รำคาญแต่อย่างใด ทว่ากลับเป็นผู้มากความรู้อีกต่างหาก ในเมื่อสามารถทำให้กู้อวิ๋นเกอผูกมิตรกับไท่สื่อเหิงในสถานที่อย่างหอนางโลมชุ่ยหงได้ ย่อมเห็นได้ชัดเจนว่าคนผู้นี้ไม่เลวเลย อีกทั้งมู่ชิงอีก็รู้ว่าตำราประวัติศาสตร์ลับที่อยู่นอกราชสำนักทั้งหลายล้วนมาจากไท่สื่อเหิงทั้งสิ้น ดังนั้นไท่สื่อเหิงจึงเป็นเป้าหมายคู่สนทนาที่ดีไม่น้อย
ภายในโถงชั้นสอง ไท่สื่อเหิงมองสาวน้อยชุดขาวที่คลี่ยิ้มบางๆ ตรงหน้าแล้วก็อดผงะพลางเหม่อลอยไม่ได้
“คุณชายไท่สื่อเป็นอะไรไปหรือ” ครั้นเห็นว่าพูดไปพูดมาไท่สื่อเหิงก็เหม่อลอย มู่ชิงอีเลยเอ่ยถามพร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อย
พอไท่สื่อเหิงได้สติกลับมาก็ส่ายหน้าอย่างรู้สึกผิด “ขออภัยด้วย”
มู่ชิงอียิ้มบางแล้วส่ายศีรษะ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ไท่สื่อเหิงใจลอยต่อหน้านาง นางเองก็รู้ว่าเพราะเรื่องใด เพราะไท่สื่อเหิงรู้สึกว่านางคล้ายคลึงกู้อวิ๋นเกอในอดีตมากเหลือเกิน ในเมื่อนางเป็นกู้อวิ๋นเกอมาตั้งสิบแปดปี ดังนั้นจึงมักเผลอหลุดทำอะไรตามความเคยชินต่อหน้าคนที่คุ้นเคยกับนางเป็นอย่างดีโดยไม่รู้ตัว ไท่สื่อเหิงเป็นสหายที่ดี แต่กระนั้นมู่ชิงอีก็บอกตัวตนที่แท้จริงกับเขาไม่ได้อยู่ดี ฉะนั้นหากเทียบกับไท่สื่อเหิงแล้ว ความจริงนางรู้สึกละอายใจมากกว่า
ไท่สื่อเหิงถอนหายใจเบาๆ เอ่ย “แม่นางมู่กับคุณชายอวิ๋นอิ่นเป็นสามีภรรยากันจริงหรือ”
มู่ชิงอีเลิกคิ้วถาม “ไม่เหมือนหรือ”
ไท่สื่อเหิงส่ายศีรษะกล่าว “ดูออกว่าคุณชายอวิ๋นอิ่นดีกับแม่นางมู่มาก ส่วนแม่นางมู่เองก็เป็นห่วงเป็นใยคุณชายอวิ๋นอิ่นมากเช่นกัน แต่…หากกล่าวว่าเป็นสามีภรรยากัน กลับเหมือนมีบางอย่างขาดหายไป” อดพูดไม่ได้จริงๆ ว่าในฐานะผู้รอบรู้ในยุทธภพ สายตาของไท่สื่อเหิงถือว่าหลักแหลมมากทีเดียว
มู่ชิงอีเองก็ไม่ได้ปิดบังอะไร เพียงแต่ยิ้มเอ่ย “พวกเรายังไม่ได้แต่งงานกัน”
ไท่สื่อเหิงยิ้มกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น หากแม่นางมีความรู้สึกดีๆ ต่อคุณชายอวิ๋นอิ่นจริงก็ควรซื่อสัตย์กับตนเองจะดีกว่า เพื่อเลี่ยงไม่ให้วันข้างหน้า…นึกเสียใจภายหลัง”
มู่ชิงอีมุ่นคิ้ว ทว่ากลับผุดความสับสนขึ้นมาในใจ จากนั้นก็พยักหน้าเอ่ย “ขอบคุณมากที่คุณชายไท่สื่อช่วยเอ่ยเตือน”
ไท่สื่อเหิงส่ายหน้าพลางยิ้มขมขื่น เขาเตือนนางเสียที่ไหนกัน เขาก็แค่นึกเสียใจภายหลังก็เท่านั้น อดีตเขาไม่กล้าบอกความในใจของตนต่อหญิงสาวที่งดงามสง่าแต่ส่วนลึกของนัยน์ตากลับเก็บซ่อนความเย็นยะเยือกไปชั่วนิรันดร์ กระทั่งนางตายจากไป เขาถึงนึกเสียใจขึ้นมาเหลือเกิน หากตอนนั้นเขาสารภาพความในใจของตนไป แต่ไม่ใช่อ้างสถานะความเป็นเพื่อนที่แสนขี้ขลาดแบบนั้นเพื่อใกล้ชิดนาง บางทีนางอาจปฏิเสธเขา แต่บางทีก็อาจจะมีวิธีแก้ไขซึ่งแตกต่างจากตอนนี้อย่างสิ้นเชิง ตอนนี้นางตายจากไปแล้ว ไม่ว่าเขานึกเสียใจมากแค่ไหนก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว
ฮั่วซูที่นั่งอยู่อีกฝั่งมองไท่สื่อเหิงด้วยท่าทีประหลาดใจ เหมือนไท่สื่อเหิงผู้นี้จะปฏิบัติกับแม่นางมู่พิเศษกว่าปกติ แต่ก็ไม่เหมือนความรักเสียทีเดียว ทว่าเหมือนส่งความคิดถึงให้ผู้หญิงคนอื่นผ่านแม่นางมู่ ถึงแม้นางจะไม่ชอบพฤติกรรมเช่นนี้ของเขา แต่เขาก็คงไม่ได้ถูกตาต้องใจแม่นางมู่กระมัง ไท่สื่อเหิงยังมีประโยชน์อยู่ นางยังไม่อยากให้เขาถูกเจ้าเมืองฆ่าตายเร็วขนาดนั้น