หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 356 สาวงามขุ่นเคืองใจจนปะทุความโกรธ (2)
ชั่วชีวิตนี้เซวียไฉ่อีไม่เคยถูกใครเมินใส่แบบนี้เช่นกัน ในฐานะที่เป็นสาวงาม นางย่อมได้ผลประโยชน์จากความงามอยู่แล้ว ถึงแม้ชื่อเสียงในยุทธภพของสำนักไฉ่อีจะไม่โด่งดังเท่าไร แต่ไม่ว่าไปที่ใด เซวียไฉ่อีก็ยังตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนเหมือนเคย ทว่าบุรุษชุดขาวเย็นชาตรงหน้ากลับเอ่ยหน้าตายว่า ‘เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย’ นี่จึงทำให้เซวียไฉ่อีทั้งอับอายทั้งโมโห ในขณะเดียวกันภายในใจก็ยิ่งยืนหยัดว่าจะคว้าใจของมั่วเวิ่นฉิงมาให้ได้
การเอาชนะใจ ใช่ว่าจะมีเพียงฝ่ายชายเท่านั้นที่ทำได้
“มั่วเวิ่นฉิง! เจ้าช่างไร้มารยาทนัก!” เซวียไฉ่อียังไม่ทันโกรธ ทว่าเหล่าคนของสำนักไฉ่อีด้านหลังนางกลับทนไม่ไหวอีกต่อไป หากไม่ได้อยู่ต่อหน้าเจ้าสำนัก เกรงว่าคงชักดาบพุ่งไปหาเขานานแล้ว เซวียไฉ่อีสั่งสอนลูกน้องทุกคนของตนให้เกลียดบุรุษ ทว่าตัวนางเองกลับไม่ใช่คนแบบนั้น ในทางกลับกันชวนให้รู้สึกน่าตรึกตรองเช่นกัน
เซวียไฉ่อียกมือขึ้นขวางลูกน้องที่หมายจะพุ่งเข้ามาเพราะโกรธแทนเจ้านายตน จากนั้นก็มองมั่วเวิ่นฉิงอย่างเงียบๆ ก่อนเอ่ย “เจ้าสำนักมั่ว รังเกียจที่ไฉ่อีไม่คู่ควรหรือ” ถึงแม้จะถามไปเช่นนั้น แต่ในน้ำเสียงของเซวียไฉ่อีกลับไม่ได้แฝงความรู้สึกไม่คู่ควรเลยสักนิด ถึงมั่วเวิ่นฉิงจะไม่ได้เป็นหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งในยุทธภพ แต่เซวียไฉ่อีกลับเป็นสาวงามอันดับหนึ่งในยุทธภพ มั่วเวิ่นฉิงเป็นเจ้าสำนักเย่าหวังกู่ที่โด่งดังไปทั่วทั้งใต้หล้า ส่วนนางเองก็เป็นถึงเจ้าสำนักไฉ่อี ถึงแม้จะไม่ได้เป็นสำนักที่ใหญ่โตอะไร แต่หญิงสาวในยุทธภพที่จะเทียบเทียมนางได้กลับมีอยู่ไม่มาก สำหรับเซวียไฉ่อีแล้ว นางกับมั่วเวิ่นฉิงต่างหากที่เป็นคู่ครองที่เหมาะสมกันที่สุดแล้ว
มั่วเวิ่นฉิงขมวดคิ้วมุ่นอย่างรำคาญใจแล้วลุกขึ้นเตรียมตัวเดินออกไปจากที่นี่ เหตุที่เขาเข้ามานั่งด้านในสุดก็เพราะอยากนั่งดื่มชาเงียบๆ สักพัก ในเมื่อไม่ได้รับความสงบย่อมต้องไปอยู่แล้ว ส่วนผู้หญิงน่ารำคาญพวกนี้ เขาไม่คิดสนใจเลยสักนิด
“เจ้าสำนักมั่ว…” ครั้นเห็นมั่วเวิ่นฉิงเตรียมเดินจากไป เซวียไฉ่อีก็นึกร้อนใจขึ้นมา นางเปิดเผยความรู้สึกต่อหน้าสาธารณชนโดยไม่สนใจเรื่องศักดิ์ศรี หากมั่วเวิ่นฉิงจากไปเช่นนี้ นางคงกลายเป็นตัวตลกของคนในยุทธภพแล้ว เซวียไฉ่อีขบริมฝีปากก่อนเอ่ยเสียงเบา “เจ้าสำนักมั่วไม่กังวลเรื่องหญ้าเซียนเก้าเมฆาหรือ สำนักไฉ่อีของข้าพร้อมช่วยเจ้าสำนักมั่วอย่างเต็มที่”
“ไม่จำเป็น” มั่วเวิ่นฉิงใช้มือผลักเซวียไฉ่อีออกแล้วเดินลงบันไดไป
ตนหอบความหวังดีไปให้แต่ดันถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย ใบหน้าสะสวยของเซวียไฉ่อีแดงก่ำอย่างฉุนเฉียว ครั้นคนของสำนักไฉ่อีเห็นเจ้าสำนักเผยสีหน้าไม่ค่อยดีนักเลยพุ่งเข้าไปขวางมั่วเวิ่นฉิงไว้ “มั่วเวิ่นฉิง หยุดนะ!”
ครั้นเห็นท่าไม่ดี เว่ยอู๋จี้ที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะริมหน้าต่างทางฝั่งมู่ชิงอีก็รีบเปิดปากเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าสำนักเซวีย หากพวกเจ้าจะลงไม้ลงมือกันก็ไปข้างนอก หากทำให้คนบริสุทธิ์โดนลูกหลงไปด้วยคงเดือดร้อนแน่”
เซวียไฉ่อีผงะไป เวลานี้ถึงหันไปเห็นเว่ยอู๋จี้ ก่อนหน้านี้นางย่อมเห็นเว่ยอู๋จี้แล้ว เพียงแต่ความสนใจทั้งหมดดันไปอยู่ที่มั่วเวิ่นฉิง นางเลยมองผ่านตัวตนของเว่ยอู๋จี้ไปก็เท่านั้น พอเวลานี้นึกขึ้นได้จึงเปลี่ยนท่าทีดูอ่อนโยนลงไม่น้อย “คุณชายเว่ย เห็นเรื่องน่าขันแล้ว”
เว่ยอู๋จี้ยิ้มกล่าว “ไม่หรอก เจ้าสำนักมั่ว เป็นเกียรตินัก”
มั่วเวิ่นฉิงหันไปพยักหน้าให้แต่กลับไม่ได้พูดอะไร เวลานี้เซวียไฉ่อีกลับสังเกตเห็นมู่ชิงอีที่นั่งเงียบอยู่อีกฝั่งมาตลอด ศัตรูตัวฉกาจ สาวงามน่าเชยชม ถึงแม้มู่ชิงอีจะมีผ้าบางปิดหน้าไว้ แต่เซวียไฉ่อียังคงรู้สึกได้ว่านางเป็นสาวงามคนหนึ่งที่ความสวยทัดเทียมตนได้ สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือแค่เห็นดวงตาแวววาวสุกใสคู่นั้นก็รู้ได้เลยว่าอย่างน้อยแม่นางผู้นี้ต้องอายุน้อยกว่าตนสิบปีแน่ อีกทั้งยังเป็นบุตรสาวตระกูลสูงส่งที่ได้รับการดูแลสั่งสอนอย่างดีดั่งไข่ในหินอีกต่างหาก
ฉับพลันความอิจฉาก็ทะลักออกมาจนปรี่ล้น เซวียไฉ่อีจับจ้องมู่ชิงอีแล้วเอ่ย “แม่นางผู้นี้คือ…”
หญิงสาวคนหนึ่งของสำนักไฉ่อีรีบเดินเข้ามากระซิบข้างหูเซวียไฉ่อีเสียงเบาไม่กี่ประโยค จากนั้นสีหน้าของเซวียไฉ่อีก็เปลี่ยนเล็กน้อย “ที่แท้ก็ฮูหยินของคุณชายอวิ๋นอิ่น ช่างเป็นเกียรติจริงๆ”
มู่ชิงอีคลี่ยิ้มบาง “เจ้าสำนักเซวีย เป็นเกียรตินัก”
น้ำเสียงอ่อนโยนนุ่มนวล ถึงแม้จะหนักแน่นสุขุมแต่กลับแฝงความสดใสของเด็กสาวไว้ด้วย เซวียไฉ่อีจ้องมู่ชิงอีตาเขม็งกล่าว “อวิ๋นฮูหยินปลดผ้าออกให้ข้าชมใบหน้าได้หรือไม่”
มู่ชิงอีขมวดคิ้วมุ่นเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “เจ้าสำนักเซวีย คำขอนี้ออกจะเกินไปหน่อย”
เซวียไฉ่อียิ้มตอบ “คุณชายอวิ๋นอิ่นหล่อเหลาหลักแหลม คิดว่าอวิ๋นฮูหยินเองก็คงเป็นสาวงามล่มเมืองเช่นกัน ให้ข้าได้เห็นสักหน่อยจะเป็นไรไปเล่า”
ฮั่วซูยิ้มเย็นชาแล้วเอ่ย “ฮูหยินของเราสถานะสูงส่ง จะเปิดเผยใบหน้าต่อคนแปลกหน้าได้เช่นใด”
เซวียไฉ่อีสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ย “เป็นข้าที่ล่วงเกินเอง” สถานะสูงส่ง…เซวียไฉ่อีเกลียดผู้หญิงที่สถานะสูงส่งที่สุด ตนรูปโฉมงดงาม มีวิทยายุทธติดตัวที่ไม่เลว แถมวางอุบายเก่งไม่น้อย เดิมทีควรอยู่เหนือคนอื่นมาตั้งแต่กำเนิด ทว่าสิ่งเดียวที่นางไม่มีก็คือชาติกำเนิดอันสูงส่ง
ถึงแม้คนในยุทธภพจะให้ความสำคัญเรื่องชาติกำเนิดน้อยกว่าคนทั่วไป แต่คุณชายตระกูลผู้ดีจากสำนักดังๆ กลับไม่มีใครอยากได้สตรีคนหนึ่งที่ไม่มีภูมิหลังใดเลยมาเป็นภรรยา อีกทั้งด้วยนิสัยหยิ่งผยองของนางแล้วย่อมไม่มีทางยอมเป็นอนุภรรยาแน่นอน แต่คนธรรมดาในยุทธภพจะมีใครต้องตานางได้เล่า เพราะเหตุนี้ถึงยื้อเวลามานานสิบกว่าปี กระทั่งบัดนี้เซวียไฉ่อีที่อายุล่วงเลยมาถึงสามสิบปีแล้วแต่กลับยังขึ้นคานอยู่
คำว่าสถานะสูงส่งของฮั่วซูราวกับตบหน้าเซวียไฉ่อีอย่างแรง ในฐานะผู้หญิง หากมีสถานะสูงส่งและมาจากตระกูลผู้ดี ใครจะอยากเร่ร่อนพเนจรในยุทธภพไปตลอดกัน อีกอย่างใช่ว่าจะไม่มีคุณหนูตระกูลผู้ดีเดินสายยุทธภพเสียเมื่อไร แต่มีใครที่ไม่แต่งองค์ทรงเครื่องครบครันและมีบ่าวบริวารคอยตามรับใช้เป็นโขยงบ้างเล่า ฉะนั้นจึงแตกต่างจากกลุ่มคนเล็กๆ อย่างสำนักไฉ่อีอย่างสิ้นเชิง
ยามที่ทุกคนต่างคิดว่าเรื่องราวคงจบลงเพียงเท่านี้ จู่ๆ เซวียไฉ่อีกลับขัดขืนพุ่งไปทางมู่ชิงอี ขณะเดียวกันก็คว้าใบหน้าของมู่ชิงอีเอาไว้
“เหิมเกริมนัก!” ฮั่วซูตวาดขึ้นอย่างเกรี้ยวโกรธ
เดิมทีตำแหน่งที่เว่ยอู๋จี้นั่งเป็นจุดที่ขวางเซวียไฉ่อีได้ง่ายที่สุด แต่ในสายตาของทุกคน คุณชายเว่ยไม่มีวิทยายุทธติดตัว ส่วนตำแหน่งของไท่สื่อเหิงออกจะไกลกว่าหน่อย แต่ด้วยวิทยายุทธของเขาเน้นวิชาตัวเบาเป็นหลัก หากคิดจะขวางเซวียไฉ่อีย่อมไม่มีทางทันแน่นอน ในทางกลับกันฮั่วซูที่นั่งตรงจุดที่ไม่สะดวกที่สุดกลับยกมือขึ้นบังแขนของเซวียไฉ่อีได้อย่างง่ายดาย
เซวียไฉ่อียิ้มเยาะทีหนึ่ง บิดข้อมือก่อนยื่นแขนพุ่งไปทางใบหน้ามู่ชิงอีอีกครั้ง ฮั่วซูสีหน้าอึมครึมก่อนจะยกมือขึ้นกำข้อมือของเซวียไฉ่อีไว้แน่น พอเหวี่ยงแขนฟาดลงไปทีหนึ่ง เซวียไฉ่อีก็ถูกดันถอยไปด้านหลัง ขณะเดียวกันก็คว้าผ้าปิดหน้าของมู่ชิงอีออกมาด้วย
“ฝีมือดีนี่” หลังจากเซวียไฉ่อีถอยหลังไปหลายก้าวก็จับจ้องฮั่วซูพลางยิ้มเย็นชาเอ่ย ฮั่วซูนั่งอยู่ ส่วนนางยืนอยู่ เดิมทีนางเป็นต่ออีกฝ่ายมากกว่า แต่กลับถูกกระบวนท่าไม่กี่ท่าของอีกฝ่ายดันถอยไปด้านหลัง ดังนั้นจึงกล่าวได้เพียงว่าวิทยายุทธของหญิงสาวชุดดำผู้นี้เหนือกว่านาง เซวียไฉ่อีกุมมือที่เจ็บระบมเล็กน้อยก่อนหันไปมองมู่ชิงอีที่อยู่ข้างกายฮั่วซู
บรรยากาศชั้นสองตกอยู่ท่ามกลางความเงียบสงัด ทุกคนต่างจับจ้องหญิงสาวใบหน้างดงามที่ถูกเปิดเผยรูปโฉมจนนิ่งงันไปชั่วขณะ หญิงสาวที่ได้รับสมญานามว่าฮูหยินของคุณชายอวิ๋นอิ่นผู้นี้เหมาะจะใส่ชุดสีขาวกว่าเซวียไฉ่อีมากโข ชุดสีขาวดั่งหิมะ คิ้วงามดกดำได้รูป ปากสีแดงโดยไม่ต้องแต่งเติมอะไร จมูกโด่งเป็นสัน ดวงตาประกายงดงาม สุขุมสง่างามอ่อนโยน เพียงแค่มองแวบเดียวก็ชวนให้ความหงุดหงิดที่มีมากมายในใจพลอยสงบลงและสุขใจขึ้นไม่น้อย