หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 388 สาวงามดั่งบุปผาถูกขวางกั้นด้วยกลีบเมฆ (3)
เมื่อพูดถึงเรื่องจริงจัง องค์ชายเก้าหรงจิ่นดูท่าทางไม่ได้สนใจนัก นั่งตัวตรงในที่นั่งของตัวเองแล้วมองไปที่มู่ชิงอีพลางยิ้มเอ่ย “พรสวรรค์อย่างท่านเฟิ่งจัง เพียงแค่ตำแหน่งผู้ว่าราชการธรรมดาไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ว่า…เมืองเผิงนับว่าเป็นสถานที่ที่ดี”
มู่ชิงอีเข้าใจแล้วว่าเมืองเผิงอยู่บริเวณใกล้เคียงเมืองเทียนเชวีย ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อดูจากท่าทางของหรงจิ่นที่มีต่อซุนเจ๋อหลิงเห็นได้ชัดว่ามีจิตใจที่จะโน้มน้าวให้สนับสนุนตน ตราบใดที่สามารถโน้มน้าวแม่ทัพผิงหรงซุนเจ๋อหลิงที่รักษาทั้งสามเขตเมือง ผู้ว่าราชการเมืองเผิงก็เป็นคนกันเอง ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาหลายปี ในความจริงแล้วเมืองเผิง เมืองอวี๋ เมืองชิง ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของหรงจิ่นแล้ว เพียงแต่ว่า…เกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะโน้มน้าวซุนเจ๋อหลิงได้
“เกิดอะไรขึ้นกับปู้อวี้ถัง” ตอนอยู่ที่เมืองเผิง มู่ชิงอีมีความประทับใจที่ดีต่อปู้อวี้ถังผู้นี้อยู่บ้าง ไม่ยึดติดกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ มีความยืดหยุ่นและเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ นับว่าเป็นการพิจารณาเพื่อราษฎรอย่างแท้จริง ในฐานะผู้ปกครองมีไม่กี่คนที่จะสามารถทำได้ดีกว่าปู้อวี้ถัง ครั้งนี้ปู้อวี้ถังถูกพวกเขาทำให้ต้องเดือดร้อนไปด้วย ทำให้ต้องประสบกับหายนะ
หรงจิ่นเลิกคิ้ว เอ่ยเสียงเรียบว่า “เสด็จพ่อมีรับสั่งแล้วให้คุ้มกันร่างของของจื้ออ๋องเข้าเมืองหลวงไปพร้อมกัน ตำแหน่งผู้ว่าราชการจะถูกแทนที่โดยผู้ช่วยผู้ว่าราชการชั่วคราว และจะส่งเจ้าหน้าที่ที่เหมาะสมไปในภายหลัง ตำแหน่งผู้ว่านั้นเป็นขุนนางระดับห้า ส่วนผู้ช่วยผู้ว่าเป็นขุนนางระดับแปด เว้นเพียงแต่ว่าจะมีผลงานมากมายมหาศาลที่ทำให้สามารถก้าวข้ามตำแหน่งต่างๆ ขึ้นมาได้ มิเช่นนั้นก็ทำได้เพียงเป็นผู้ประจำตำแหน่งชั่วคราวเท่านั้น”
มู่ชิงอีพยักหน้าเอ่ย“เช่นนั้นก็รีบให้ท่านเฝิงไปที่เมืองเผิงโดยเร็วที่สุด อย่างน้อยก็ต้องลงหลักปักฐานในเมืองเผิงก่อนที่จะเข้ารับตำแหน่งผู้ว่าราชการอย่างเป็นทางการ ส่วนปู้อวี้ถัง…มีวิธีช่วยเขาหรือไม่”
“เหตุใดชิงชิงจึงได้เป็นห่วงปู้อวี้ถังเช่นนี้” องค์ชายเก้ากล่าวอย่างไม่พอใจ
มู่ชิงอีกล่าวชื่นชมว่า “เขาเป็นคนมีความสามารถ หากตายไปเช่นนี้คงน่าเสียดาย” ปู้อวี้ถังถูกคุมตัวเข้าเมืองหลวงครั้งนี้ เกรงว่าจะโชคร้ายมากกว่าโชคดี องค์ชายสิ้นพระชนม์ทั้งคนก็ย่อมต้องมีผู้รับผิดชอบ ปู้อวี้ถังซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ที่อยู่ใกล้ที่สุดในขณะนั้นย่อมเป็นแพะรับบาปที่ดีที่สุด ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น เพียงแค่ไม่มีความสามารถพอที่จะปกป้ององค์ชายได้ ก็เพียงพอที่จะทำให้ปู้อวี้ถังดิ้นไม่หลุดแล้ว
ตอนนี้ราชวงศ์และคนของจวนจื้ออ๋องไม่มีทางปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน เกรงว่าจวงอ๋องกับตระกูลหนานกงก็แทบรอไม่ไหวที่อยากจะให้ปู้อวี้ถังตายเร็วๆ เพื่อที่จะได้ขจัดเรื่องนี้ออกไป
หรงจิ่นพยักหน้า ชิงชิงพูดถูก ปู้อวี้ถังนับว่าเป็นคนที่มีพรสวรรค์จริงๆ ตอนอยู่ที่เมืองเผิงใช่ว่าเขาไม่เคยมีความคิด เพียงแต่ว่าไม่มีเวลา ซ้ำสถานะก็ไม่เหมาะสม และในตอนนี้สิ่งที่องค์ชายเก้าขาดแคลนมากที่สุดก็คือคนที่มีความสามารถ จะช่วยปู้อวี้ถังก็นับว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
“ข้ารู้แล้ว กลับไปจะลองคิดดู” หรงจิ่นเอ่ย
มู่ชิงอียิ้มพลางพูดเบาๆ ว่า “ไม่ต้องฝืนเกินไปเพคะ” หากลากตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องเพราะต้องการที่จะช่วยปู้อวี้ถัง เช่นนั้นจะมีประโยชน์อะไร
หรงจิ่นยิ้มพลางพูดว่า “ชิงชิงวางใจเถิด ข้าเคยทำผิดพลาดที่ไหนกัน” หลายปีมานี้องค์ชายเก้าได้สลับสับเปลี่ยนตัวตนระหว่างองค์ชายกับคุณชายอวิ๋นอิ่นก็ไม่ได้ทำให้ใครเกิดความสงสัย ความระมัดระวังย่อมเป็นสิ่งจำเป็น
มู่ชิงอีคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มเล็กน้อย “หลายวันมานี้องค์ชายเก้าได้เข้าประชุมในราชสำนักด้วยไม่ใช่หรือ ได้รู้อะไรมาหรือไม่เพคะ”
หรงจิ่นเอามือเท้าพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้านพลางกลอกตา “น่าเบื่อจะตายไป”
แม้ว่าองค์ชายจะมีส่วนร่วมในการเมือง แต่กลับไม่มีตำแหน่งเฉพาะเหมือนขุนนางทั่วไป ปกติเวลาประชุมราชสำนักก็เพียงแค่ยืนฟังเท่านั้น บางครั้งฮ่องเต้แคว้นเย่ว์จะสุ่มมอบหมายหน้าที่บางอย่างให้องค์ชายทำ หากไม่มีอะไรทำก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่าเบื่อจริงๆ
เพียงแต่ว่าความน่าเบื่อเช่นนี้ก็ยังมีประโยชน์อยู่บ้าง อย่างน้อยก็ได้เริ่มติดต่อกับขุนนางในราชสำนักมากขึ้น เมื่อก่อนขุนนางในราชสำนักเกือบทั้งหมดต่างก็พากันหลีกเลี่ยงองค์ชายเก้า ตอนนี้หรงจิ่นเข้าเริ่มประชุมราชสำนักแล้ว ขุนนางน้อยใหญ่ก็เริ่มค่อยๆ มาเยี่ยมเขา แม้ว่าจะค่อนข้างเงียบเหงาเมื่อเทียบกับจวนจื้ออ๋อง จวนจวงอ๋อง และจวนตวนอ๋องในเมื่อก่อน แต่ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดีไม่ใช่หรือ
ไม่นานมู่ชิงอีก็ได้รับรายชื่อขุนนางทุกคนที่มาเยี่ยมในช่วงนี้ มองแวบแรกจำนวนคนนับว่าไม่น้อยเลย ตั้งแต่อัครเสนาบดีไปจนถึงขุนนางชั้นล่างระดับห้าล้วนมีทั้งหมด ไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องอัครเสนาบดี อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายในราชวงศ์ปัจจุบันคือท่านลุงของจื้ออ๋อง อัครเสนาบดีฝ่ายขวาคือบิดาของพระชายาตวน สองคนนี้มาเพื่อลอบทดสอบล้วนๆ
หากพูดในมุมนี้ ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ใจกว้างมากกว่าฮ่องเต้แคว้นหวาเป็นอย่างมาก เมื่อดูภูมิหลังของตระกูลพระชายาขององค์ชายเหล่านั้นที่อยู่ภายใต้การดูแลของฮ่องเต้แคว้นหวา แล้วดูภูมิหลังตระกูลพระชายาของบรรดาองค์ชายเหล่านี้ที่อยู่ภายใต้การดูแลของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์นั้นช่างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
“ชิงชิงจัดการให้คนเมืองเทียนเชวียไปอยู่ที่ไหน” หรงจิ่นเอนหลังพิงเก้าอี้มองมู่ชิงอีที่กำลังดูรายชื่อพลางครุ่นคิดอย่างจริงจัง ถามขึ้นมาอย่างช้าๆ
มู่ชิงอีเงยหน้ามองเขาแล้วเอ่ย “ในหมู่บ้านนอกเมือง ผ่านไปอีกสักพักก็สามารถพาเข้าเมืองได้จำนวนหนึ่ง ต่อให้ท่านอ๋องอยากจะย้ายพวกเขาไปอยู่จวนอวี้อ๋องก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” หมู่บ้านที่ว่านี้ย่อมหมายถึงหมู่บ้านของตระกูลกู้ไม่ใช่หมู่บ้านหลวงที่อยู่ภายใต้การดูแลขององค์ชายเก้า แม้ว่ามู่ชิงอีจะจัดการทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้การดูแลของจวนอวี้อ๋องแล้ว แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีสิ่งที่เล็ดลอดไปได้ หากอยากจะวางใจได้ก็ยังต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่ง
“ไม่ต้องหรอก คนของจวนอวี้อ๋องมีเพียงพอแล้ว” หรงจิ่นพูดพลางโบกมือ องครักษ์ในจวนอวี้อ๋องนั้นมีไม่น้อย ตั้งแต่ออกจากจวนกงเจี้ยน ชื่อเสียงความเจ้าอารมณ์ขององค์ชายเก้าก็ไม่เคยลดลงซ้ำยังเพิ่มขึ้น หลายวันมานี้มีองครักษ์หลายสิบร้อยคนที่ถูกหรงจิ่นทำให้บาดเจ็บหรือถึงขั้นเสียชีวิต แม้ว่าจะชื่อเสียงไม่ดี แต่จวนอ๋องกลับสะอาดสะอ้านขึ้นเป็นอย่างมาก ตอนนี้ทุกอย่างในจวนอวี้อ๋องนั้นเริ่มเข้าที่เข้าทาง หากมีใครคิดจะลอบสอดแทรกคนเข้าไปอีกนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว
ส่วนเรื่องที่ติดสินบนคนในจวน ให้ดูแส้ยาวอันวิจิตรบรรจงที่เอวขององค์ชาย ขอเพียงแค่ไม่ใช่คนที่หาเรื่องใส่ตัว ก็ต้องลองวัดดูสักหน่อย ดังนั้นก่อนที่พวกเขาจะรู้ตัว ทันใดนั้นก็พบว่าข่าวของจวนอวี้อ๋องนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสืบได้ แม้ว่าพวกเขาเดิมทีก็ไม่ได้พบข่าวที่มีความหมายใดๆ อยู่แล้ว เพราะองค์ชายเก้าไม่เคยทำเรื่องที่มีความหมายอะไรเลย
ในเมืองหลวงแม้ว่าจะดูหดหู่เล็กน้อยเนื่องจากการสิ้นพระชนม์ของจื้ออ๋อง แต่สุดท้ายแล้วก็เป็นเรื่องของราชวงศ์กับข้าราชบริพารในสำนัก เมื่อองค์ชายเสียชีวิตก็ไม่จำเป็นต้องให้ราษฎรทั้งใต้หล้ามาไว้ทุกข์เพื่อเขา ดังนั้นผู้คนในเมืองหลวงจึงยังคงใช้ชีวิตเช่นเดิม
หอชิงเฟิงเป็นโรงน้ำชาในเมืองหลวงที่นับว่าไม่เลวเลย ในเวลานี้บนชั้นสองของหอชิงเฟิงมีหนานกงอวี้คุณชายสองสกุลหนานกงสวมเสื้อสีขาวนวลจันทร์กำลังเหม่อลอยอยู่ตรงหน้าต่าง
“หนานกง” น้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยรอยยิ้มดังขึ้นข้างหลังเขา หนานกงอวี้รีบหันกลับมาทันทีก็เห็นมู่ชิงอีสวมเสื้อคลุมสีฟ้าอ่อนยืนอยู่ข้างหลังเขา
“หลิวอวิ๋น!” หนานกงอวี้ยืนขึ้นพลางยิ้มเอ่ย“ข้าคิดว่าเจ้าไม่มีเวลาออกมาแล้ว” มู่ชิงอีเลิกคิ้ว ถอดเสื้อคลุมออกแล้ววางไว้ด้านข้าง เผยให้เห็นชุดผ้าแพรสีขาวที่อยู่ด้านใน ลวดลายเมฆสีเงินบนแขนเสื้อสีขาวปักไว้อย่างเลือนราง หากไม่สังเกตก็เหมือนเป็นเพียงแค่เสื้อสีขาวธรรมดา แต่เมื่อสังเกตอย่างละเอียดจะพบว่าเป็นผ้าแพรปักเลื่อมลายเมฆที่ต่อให้เป็นตระกูลที่มีอำนาจก็หาได้ยากในเมืองหลวง
มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “ข้าแปลกใจกว่าอีกที่หนานกงอวี้นัดข้าในเวลานี้” ในช่วงนี้ร่างของหรงหวงใกล้จะกลับมาถึงแล้ว บรรดาองค์ชายต้องไปสักการะที่จวนจื้ออ๋องวันละครั้ง ตระกูลหนานกงที่สนับสนุนจวงอ๋องกับตระกูลโจวจวนอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายที่สนับสนุนจื้ออ๋องนั้นก็ยิ่งเข้ากันไม่ได้ ในเวลานี้หนานกงอวี้ยังมีเวลาออกมาข้างนอกช่างเป็นเรื่องที่น่าแปลก