หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 391 พระราชโองการศักดิ์สิทธิ์ (2)
มู่ชิงอีพยักหน้าอย่างเข้าใจ ลำดับเครือญาติเชื้อพระวงศ์ไม่ว่าในอาณาจักรไหนก็ล้วนวุ่นวายทั้งนั้น แต่ว่า “การเรียกเช่นนี้นั้นไม่ค่อยเหมาะสมนัก” หากเป็นสถานการณ์ทั่วไปคงไม่เป็นไร อย่างไรเสียก็บอกได้ว่าแค่เด็กๆ เล่นกัน แต่สำหรับหรงจิ่นนั้นไม่ใช่สถานการณ์ทั่วไป ภายใต้สถานการณ์ความระแวดระวังของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ ไม่ว่าเรื่องอันใดก็มีความเป็นไปได้ที่จะถูกขยายออกอย่างไม่มีขีดจำกัด
ตงฟังซวี่โบกมืออย่างไม่ใส่ใจพลางเอ่ย “เรื่องนี้ข้าย่อมรู้อยู่แล้ว ข้าเข้าใจกฎดี” เมื่ออยู่ต่อหน้าคนนอกเขาย่อมรู้ว่าควรเรียกว่าอย่างไร แต่ว่านี่ก็ไม่ได้มีคนนอกไม่ใช่หรือ…ปกติเขาก็ไม่ได้มีความชอบอะไรเป็นพิเศษ คุณชายตงฟังผู้หลงใหลในสาวงามนึกไม่ออกว่าหากพี่ชายรูปงามกลายเป็นท่านอาที่ไม่มีใครช่วยเหลือจะมีสภาพเป็นอย่างไร
หรงจิ่นเอ่ยอย่างไม่เกรงใจว่า “จื่อชิงไม่ต้องสนใจเขา ข้าไม่สนิทกับเขา”
“พี่เก้าใจร้ายยิ่งนัก” ตงฟังซวี่เอ่ยด้วยความเสียใจ แต่หลังจากเห็นชายหนุ่มที่สวมชุดขาวดูสบายตาและผิวพรรณเนียนละเอียดกว่าท่านอารูปงามที่นั่งอยู่ตรงหน้า ดวงตาที่โศกเศร้าก็เบ่งบานดั่งดอกไม้ในทันที “ท่านนี้…อืม คุณชายนามว่าจื่อชิงใช่หรือไม่ ช่างเป็นชื่อที่ดีจริงๆ เอ่อ…ไม่ได้มีนามว่ากู้หลิวอวิ๋นหรอกหรือ เหตุใดจึงได้เรียกว่าจื่อชิง อายุเท่าจื่อชิงในตอนนี้คงจะยังไม่มีสมญานามไม่ใช่หรือ” มองดูชายหนุ่มรูปงามในชุดขาวราวหิมะ คุณชายตงฟังพลันรู้สึกอิจฉาอย่างยิ่ง เหตุสวรรค์จึงไม่ยุติธรรม พี่เก้าเองก็รูปร่างหน้าตาไม่เลวเลย ซ้ำยังมีคนรูปงามเช่นนี้อยู่ข้างกายเขา หากเขาต้องการมองดูคนที่รูปร่างงดงาม ไม่รู้จักไปส่องกระจกดูตัวเองหรืออย่างไร
“จื่อชิง เจ้าอยากมาอยู่ที่จวนจิ้งหย่วนโหวของพวกเราหรือไม่ ข้าให้เจ้าเป็นหัวหน้าผู้ดูแลดีหรือไม่” คุณชายตงฟังเอ่ยอย่างกระตือรือร้น
มู่ชิงอียิ้มเจื่อนๆ พยักหน้าพลางเอ่ย “ขอบคุณคุณชายตงฟังที่ชื่นชมข้า ผู้น้อยนามว่ากู้หลิวอวิ๋น หรือเรียกว่าจื่อชิงก็ได้”
“ที่แท้จื่อชิงก็เป็นชื่อเล่นของเจ้า เช่นนั้นข้าเรียกเจ้าว่าจื่อชิงดีหรือไม่” คุณชายตงฟังหมอบอยู่บนโต๊ะตรงหน้ามู่ชิงอี เอียงคอมองมู่ชิงอี มู่ชิงอีกำลังจะเอ่ยตอบ แต่กลับเห็นหรงจิ่นที่อยู่ฝั่งตรงข้ามลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หยิบชาบนโต๊ะสาดใส่หน้าคุณชายตงฟัง
โชคดีที่ทั้งสามคนพูดคุยกันอยู่ที่นี่เป็นเวลานานแล้ว อากาศก็เย็นเล็กน้อย ชาจึงอุ่นขึ้นตั้งนานแล้ว มิเช่นนั้นใบหน้าที่งดงามของคุณชายตงฟังเกรงว่าจะเสียโฉมกระมัง
“หรงจิ่น ท่านทำเกินไปแล้ว!” คุณชายตงฟังลุกขึ้นพลางเอ่ยด้วยความโกรธ
“เจ้าจะเอาอย่างไร” หรงจิ่นเอ่ยเย้ยหยัน
คุณชายตงฟังสีหน้าเปลี่ยนไปหลายรอบแล้ว สุดท้ายก็กระทืบเท้าแล้ววิ่งออกไปทั้งน้ำตา “คิดว่ารูปร่างงดงามแล้วจะทำอะไรก็ได้อย่างนั้นหรือ หรงจิ่นเจ้าปีศาจ! ข้าจะต้องแย่งจื่อชิงมาให้ได้! จื่อชิง เจ้ารอข้าก่อน…ข้าจะไปช่วยเจ้าอย่างแน่นอน!”
ในห้องโถงด้านข้าง อีกสองคนที่เหลือมองหน้ากัน เงียบไปนานกว่ามู่ชิงอีจะเอ่ยขึ้นมาว่า “ข้าคิดว่า…ความจริงแล้วเมื่อครู่เขาอยากจะอัดท่าน” นางแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้มองผิด ทั้งๆ ที่ตงฟังซวี่ต้องการจะเอาคืนคนป่าเถื่อนสักตั้ง แต่เพียงแค่ครู่เดียวกลับกลายเป็นน้ำตาที่น่าสงสาร อารมณ์เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก
หรงจิ่นแค่นเสียงเยาะเย้ยอย่างภาคภูมิใจ “เขาน่ะหรือจะกล้า?”
มู่ชิงอีเข้าใจในทันที “เขารู้ว่าท่าน…” มีศิลปะการต่อสู้?
หรงจิ่นสบถเบาๆ แม้ว่าจะไม่ได้พูดแต่สีหน้ากลับอธิบายคำตอบแล้ว มู่ชิงอีพยักหน้าอย่างเข้าใจ เมื่อรู้ความแข็งแกร่งด้านกำลังภายในของหรงจิ่นแล้วยังกล้าที่จะเอาคืน นอกจากผู้ที่เป็นปรมาจารย์อย่างแท้จริงแล้ว ก็คงจะเป็นพวกที่สมองมีปัญหา คุณชายตงฟังผู้นี้ดูเหมือนจะเป็นคนที่รู้สถานการณ์เป็นอย่างดี
“กราบทูลอวี้อ๋อง พระศพของท่านอ๋องกลับมาถึงแล้ว ซื่อจื่อขอเชิญอวี้อ๋องออกไปรับพระศพของท่านอ๋องด้วยกันพ่ะย่ะค่ะ” ด้านนอกประตูมีบ่าวรับใช้ของจวนจื้ออ๋องมารายงานด้วยความเคารพ
หรงจิ่นตอบรับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
ในวันปกติบรรดาองค์ชายชั้นสูงที่แต่งตัวหรูหราสง่างามได้เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าสีพื้นเรียบๆ เดินตามพระชายาจื้อกับจื้ออ๋องซื่อจื่อด้วยสีหน้าโศกเศร้าไปต้อนรับพระศพของหรงหวงจากนอกประตูจวนเข้ามาวางอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ทยอยกันไปจุดธูปทีละคน ในเวลานี้เจี่ยงปินได้มาถึงพร้อมกับนำราชโองการของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์มาด้วย
“ด้วยราชโองการแห่งฟ้า ฮ่องเต้จึงมีพระบัญชาว่าองค์ชายใหญ่หรงหวงเป็นบุตรชายพระชายาเอกในวังหลวง มีความเคารพและจริงใจ ซื่อสัตย์ขยันหมั่นเพียร บัดนี้ได้จากไปแล้ว เราเสียใจอย่างสุดซึ้ง จึงพระราชทานบรรดาศักดิ์เพิ่มเติมเป็นองค์รัชทายาทนามว่าเต้ากง จบราชโองการ!”
จากน้ำเสียงที่เฉียบคมของเจี่ยงปิน ในที่สุดหรงหวงก็ได้รับเกียรติที่รอคอยมาทั้งชีวิตที่จะได้เป็นองค์รัชทายาท แต่น่าเสียดาย…ที่มันเกิดขึ้นหลังจากที่เขาเสียชีวิตไปแล้ว
ผู้คนที่อยู่หน้าห้องโถงไว้ทุกข์ล้วนมีความคิดแตกต่างกันไป แต่พวกเขาไม่ได้แสดงผ่านทางสีหน้า ลุกขึ้นพลางเอ่ยสรรเสริญ “ฝ่าบาททรงพระปรีชา”
พระชายาจื้อเอ่ยขอบพระทัยทั้งน้ำตา “ขอบพระทัยฝ่าบาท”
เจี่ยงปินพยุงพระชายาจื้อลุกขึ้นด้วยตัวเอง เอ่ยว่า “พระชายาองค์รัชทายาท ซื่อจื่อ อย่าได้เศร้าไปเลย”
พระชายาองค์รัชทายาทพยักหน้าเอ่ย “ขอบคุณเจี่ยงกงกง” คำว่าอย่าเศร้านั้นพูดง่าย แต่เวลาทำเหตุใดจึงยากเช่นนี้ ในที่สุดนางก็ได้เป็นพระชายาองค์รัชทายาท แต่ว่าองค์รัชทายาทได้ล่วงลับไปแล้ว การได้เป็นพระชายาองค์รัชทายาทเช่นนี้จะมีประโยชน์อะไร พระชายาองค์รัชทายาทที่ไม่มีองค์รัชทายาทแล้ว ยังไม่สง่างามเท่ากับเป็นพระชายาจื้อเช่นเดิม
จื้ออ๋องซื่อจื่อได้ก้าวเข้ามาขอบคุณด้วย “ขอบคุณกงกง ขอให้กงกงเอ่ยขอบพระทัยเสด็จปู่แทนจวนจื้ออ๋องด้วย ขอบพระทัยในความรักความเมตตา และขอให้เสด็จปู่…ดูแลพระวรกายด้วย”
เจี่ยงปินพยักหน้า มองไปยังจื้ออ๋องซื่อจื่อที่ไม่ได้เห็นเขามาเป็นเวลานานแต่ท่าทางกลับสงบมากกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด หากจื้ออ๋อง…องค์รัชทายาทเต้ากงยังอยู่ ไม่แน่ในภายภาคหน้าคนผู้นี้อาจจะได้เป็นใหญ่เป็นโต แต่ดูจากตอนนี้แล้ว…คงจะยาก
เจี่ยงปินเพียงแค่มาถ่ายทอดพระราชโองการเท่านั้น หลังจากที่ถ่ายทอดพระราชโองการของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์แล้วก็ไม่กล้าอยู่นาน ลุกขึ้นแล้วเอ่ยลา บรรยากาศหน้าห้องโถงไว้ทุกข์ดูแปลกไปเล็กน้อยในชั่วขณะหนึ่ง หลายคนไม่รู้ว่าจะแสดงความยินดีกับพระชายาจื้อหรือควรจะปลอบใจนางดี แน่นอนว่าต้องแสดงความยินดีที่ได้เป็นพระชายาองค์รัชทายาท แต่องค์รัชทายาทได้นอนอยู่ในโลงศพแล้ว คาดว่าคงไม่มีสตรีผู้ใดที่จะดีใจหรอกกระมัง
อารมณ์ของบรรดาองค์ชายยิ่งซับซ้อนกว่าเดิม พวกเขาต่อสู้เพื่อตำแหน่งองค์รัชทายาทมาครึ่งชีวิต แต่ตอนนี้กลับถูกพี่ชายใหญ่แย่งไปก่อนแล้ว แม้ว่าจะเป็นคนที่ตายไปแล้ว แต่ว่า…บุตรชายของเขายังอยู่ บุตรชายขององค์รัชทายาท…จะฟังอย่างไรก็ดูไม่เหมือนคำเรียกที่ทำให้ผู้คนรู้สึกปีติยินดี
“พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าขอโทษต่อพี่สะใภ้ใหญ่และหลานชาย ขอพี่สะใภ้ใหญ่โปรดลงโทษด้วย” ภายใต้สายตาที่จับจ้องของทุกคน หรงเซวียนผลักคนข้างกายที่กำลังพยุงเขาด้วยร่างกายที่บาดเจ็บไปทั้งตัว เดินโซซัดโซเซมาอยู่ตรงพระชายาหน้าจื้อกับจื้ออ๋องซื่อจื่อ คุกเข่าลงบนพื้นพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
พระชายาจื้อจ้องมองไปที่หรงเซวียนที่กำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้า หากเป็นไปได้นางอยากจะใช้มีดหั่นคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นหมื่นชิ้น แต่ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าคนจำนวนมากนางกลับไม่สามารถทำอะไรได้เลย หลับตาลงด้วยความเจ็บปวด ข่มความแค้นและความเกลียดชังที่คุกรุ่นเอาไว้ พระชายาจื้อเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้งเล็กน้อย “น้องสองเอ่ยเกินไปแล้ว เป็นท่านอ๋องของพวกเรา…ที่ชีวิตรันทด ไม่โทษน้องสอง น้องสองลุกขึ้นเถิด”
หรงเซวียนไม่ยอมลุกขึ้น กัดฟันพลางเอ่ยว่า “พี่น้องไปด้วยกัน แต่ข้ากลับไม่สามารถปกป้องพี่ใหญ่ได้ ย่อมเป็นความผิดของข้า ขอพี่สะใภ้ใหญ่โปรดลงโทษด้วย”
จื้ออ๋องซื่อจื่อปล่อยมือที่กำลังพยุงพระชายาจื้ออ๋อง พยุงหรงเซวียนลุกขึ้นด้วยตัวเองแล้วเอ่ย “ท่านอาสองพูดเกินไปแล้ว การที่ท่านอาสองสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย คาดว่าวิญญาณของท่านพ่อที่อยู่บนสวรรค์คงจะดีใจเป็นอย่างมาก เรื่องกล่าวโทษขอให้ท่านอาสองอย่าได้พูดถึงอีก ในเวลานี้จะโทษท่านอาสองได้อย่างไรเล่า”