หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 395 ความรักจากฮ่องเต้ที่ยากจะได้รับ (2)
ฉินอ๋องไม่พอใจทันที กัดฟันเอ่ย “ท่านอาสาม ท่านหมายความว่าอย่างไร หรือว่าบิดาของข้าจะต้องจากไปอย่างเปล่าประโยชน์เช่นนี้หรือ” นี่คือสิ่งที่ฉินอ๋องโกรธที่สุด พ่อของเขาเป็นถึงจื้ออ๋องบุตรชายพระชายาเอกคนโตของฮ่องเต้ รัชทายาทที่ฝ่าบาทพระราชทานบรรดาศักดิ์เพิ่มเติม สิ้นพระชนม์ที่เมืองเผิงแต่กลับไม่มีใครรับผิดชอบเรื่องนี้แม้แต่คนเดียว ทำราวกับว่าพ่อของเขาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุจริงๆ แม้ว่าจวนจื้ออ๋องจะได้รับผลประโยชน์มากมาย แต่ผลประโยชน์เหล่านี้เทียบไม่ได้เลยกับการสิ้นพระชนม์ของท่านพ่อ
หรงเหยี่ยนมองไปที่ฉินอ๋อง จากนั้นก็เงยหน้ามองฮ่องเต้แคว้นเย่ว์แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เสด็จพ่อ ลูกไม่ได้หมายความเช่นนั้น แต่ว่าเดิมทีปู้อวี้ถังก็เป็นขุนนางพลเรือนที่มีผลงานในด้านการปกครองมาโดยตลอด เรื่องนี้จะไม่ยุติธรรมเลยหากไปเอาผิดกับเขา เกรงว่าจะไม่สามารถทำให้ราษฎรใต้หล้ายอมรับได้”
ฉินอ๋องจับจ้องหรงเหยี่ยนด้วยความขุ่นเคือง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ขมวดคิ้ว ตรัสด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ปู้อวี้ถัง…ละเว้นโทษประหารแต่ก็ต้องรับโทษ เช่นนั้นเนรเทศเขาไปยังชายแดนตะวันตกเถิด” หรงจิ่นที่ยืนอยู่ท่ามกลางบรรดาองค์ชายโดยไม่พูดอะไร ทันใดนั้นก็ถอนหายใจแล้วเอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “กราบทูลเสด็จพ่อ ลูกว่าท่านควรตัดสินประหารปู้อวี้ถังต่อหน้าสาธารณชน” ทุกคนมองไปที่หรงจิ่นอย่างพร้อมเพรียงกัน ปู้อวี้ถังไม่เคยแม้แต่จะเห็นองค์ชายเก้ามาก่อน ไม่ควรจะมีความแค้นต่อกันไม่ใช่หรือ
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เลิกคิ้วแล้วตรัสถาม “เหตุใดจึงคิดเช่นนั้น”
หรงจิ่นสบถเบาๆ เอ่ย “ปู้อวี้ถังเป็นนักปราชญ์ที่อ่อนแอ ในสถานที่อย่างชายแดนตะวันตกต่อให้เป็นคนที่ร่างกายบึกบึนแข็งแรง เมื่อถูกส่งไปที่นั่นก็มีไม่กี่คนที่จะมีชีวิตอยู่รอดได้ ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นว่าเขายังมีผลงานอยู่บ้าง เหตุใดไม่ประทานความตายแก่เขาโดยตรง จะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมาน”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ไม่ได้กริ้วแต่อย่างใด แต่กลับถามด้วยความสนใจว่า “จิ่นเอ๋อร์ชอบปู้อวี้ถังหรือ”
หรงจิ่นกรอกตา “ข้าก็ไม่ได้เคยเห็นคนโง่เง่าอย่างเขามาก่อน จะชอบเขาได้อย่างไรกัน”
“โง่เง่า? ทั้งราษฎรและขุนนางในเมืองเผิงต่างก็ยกย่องปู้อวี้ถังว่าเป็นขุนนางที่ฉลาดและยุติธรรม เป็นขุนนางที่หาได้ยากยิ่ง” ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ตรัส หรงจิ่นยิ้มเยาะเอ่ย “หากข้าเป็นปู้อวี้ถัง เมื่อรู้ว่ามีองค์ชายเสด็จมาที่เมืองเผิงก็ควรจะซ่อนตัวให้ไกลที่สุด ยิ่งไกลเท่าไรก็ยิ่งดี หากไม่ได้จริงๆ ก็จะกลับไปแขวนคอที่บ้านเกิดตัวเองแล้วให้บิดามารดาจัดพิธีศพอย่างขุนนางให้ยังจะดีเสียกว่า”
ผู้คนที่อยู่ในสถานที่นั้นอดมุมปากกระตุกไม่ได้ ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ตรัสด้วยความกริ้วว่า “เหลวไหล! แขวนคอตายอะไรกัน! ดูเหมือนว่าจิ่นเอ๋อร์จะมีความประทับใจที่ดีต่อปู้อวี้ถังผู้นี้จริงๆ” มิเช่นนั้นก็คงไม่เอ่ยปากขอร้องแทนเขา ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ดูออกว่าหรงเหยี่ยนขอร้องแทนเขาเพื่อให้ได้มาซึ่งชื่อเสียงที่ใจกว้างมีคุณธรรมก็เท่านั้น หรือบางทีเขาอาจจะต้องการร่วมมือกับจวงอ๋องกำราบฉินอ๋อง มีเพียงหรงจิ่นเท่านั้นที่ต้องการช่วยชีวิตปู้อวี้ถังจริงๆ
หรงจิ่นเลิกคิ้ว แม้จะไม่ยอมรับแต่ก็ไม่ได้คัดค้าน
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เหตุใดจิ่นเอ๋อร์จึงได้ขอร้องแทนปู้อวี้ถังเล่า” หรงจิ่นเลิกคิ้วแล้วเอ่ยว่า “ลูกไปขอร้องแทนเขาเมื่อไรกัน ลูกเพียงแค่บอกว่าแทนที่เสด็จพ่อจะเนรเทศเขาไปชายแดนตะวันตก ไม่สู้ประหารชีวิตเขาไปเลย อย่างไรเสียเขาก็เป็นนักปราชญ์ คนแคว้นหวาจะได้ไม่เอาแต่พูดว่าพวกเราไม่ให้ความเคารพนักปราชญ์”
“…” การตัดศีรษะโดยตรงนั้นถือว่าไม่ทรมานเท่าการเนรเทศอย่างนั้นหรือ
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ถอนหายใจ ก่อนจะตรัสพลางโบกมือ “ช่างเถิด เรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้คือ…ถ่ายทอดราชโองการของเรา ยึดตำแหน่งขุนนางของปู้อวี้ถัง กลายเป็นสามัญชน เรื่องนี้จบเพียงเท่านี้”
เมื่อพูดจบฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ก็ไม่ได้สนใจสีหน้าท่าทางของทุกคนอีก โบกมือพลางลุกขึ้นแล้วจากไป
ทันทีที่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์จากไป บรรยากาศในห้องตำราก็แปลกไปเล็กน้อย ฉินอ๋องอดถามด้วยความโกรธเคืองไม่ได้ “ท่านอาเก้า ท่านหมายความว่าอย่างไร เหตุใดถึงได้ปกป้องคนชั่วอย่างปู้อวี้ถัง” นี่ไม่ใช่ปัญหาว่าควรจะประหารปู้อวี้ถังหรือไม่อีกต่อไปแล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือปู้อวี้ถังทำให้ผู้คนหัวเราะเยาะว่าจวนฉินอ๋องไร้ความสามารถ
หรงจิ่นเลิกคิ้ว มองหลานชายที่กำลังเดือดดาลอยู่ตรงหน้าอย่างเกียจคร้าน “เมื่อได้เป็นอ๋องก็มีความกล้ามากขึ้นแล้วหรือ หากอยากจะล้างแค้นให้พ่อของเจ้า แน่จริงเจ้าก็ไปหาตัวผู้ร้ายเองสิ มาบีบบังคับขุนนางเล็กๆ ระดับห้า นับว่าเจ้าเก่งแล้วหรือ พ่อของเจ้า พี่ชายคนโตของข้าเพียงขอให้ปู้อวี้ถังช่วยคุ้มกัน หรือว่าเสด็จพ่อมอบหมายให้ปู้อวี้ถังดูแลความปลอดภัยของเขาหรอกหรือ”
“ในฐานะข้าราชบริพาร เดิมทีเขาก็ควรปกป้ององค์ชาย!” ฉินอ๋องเอ่ยด้วยความโกรธจัด
หรงจิ่นพยักหน้า เข้าในใจทันที “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ข้าคิดว่าในฐานะข้าราชบริพารควรจะจงรักภักดีต่อเสด็จพ่อและดูระบอบของบ้านเมืองให้ดี ไม่สู้พรุ่งนี้ข้าช่วยรายงานเสด็จพ่อให้อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายมาเป็นองครักษ์ประจำตัวฉินอ๋องดีหรือไม่ หากวันใดเกิดเรื่องขึ้นกับฉินอ๋อง ขุนนางทั้งเมืองหลวงจะได้ไม่ต้องออกจากตำแหน่งกันหมด”
“ท่านกำลังหาเรื่องกันอยู่ชัดๆ!” ฉินอ๋องกัดฟันเอ่ย
ผู้คนในที่แห่งนั้นเคยชินกับสถานการณ์เช่นนี้แล้ว หากวันไหนที่อวี้อ๋องไม่ก่อเรื่องถึงจะนับว่าผิดปกติ
“อวี้อ๋อง ฝ่าบาทมีรับสั่งให้เข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” เจี่ยงปินเข้ามาอย่างรีบร้อน เมื่อเห็นว่าหรงจิ่นยังอยู่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ตั้งแต่ที่องค์ชายเก้าออกจากตำหนักในพระราชวังก็แทบจะไม่ชอบออกไปเดินข้างนอกเลย ในวันปกตินอกจากจะไปประชุมราชสำนักกับออกไปเดินเล่นบ้างเป็นครั้งคราว ก็แทบจะปิดประตูเอาแต่อยู่ในจวนไม่ออกไปไหน บางครั้งที่ฝ่าบาทมีรับสั่งให้เข้าเฝ้า หากไม่พอใจก็ไม่ยอมออกมา เจี่ยงปินแอบรู้สึกว่าทุกครั้งที่ไปถ่ายทอดราชโองการที่จวนอวี้อ๋องเหมือนเป็นการทรมานชนิดหนึ่ง โชคดีที่หัวหน้าผู้ดูแลจวนอวี้อ๋องเป็นคนมีเหตุผล ทุกครั้งที่ถูกองค์ชายอวี้อ๋องทำให้รู้สึกไม่สบายใจก็มักจะได้รับการปลอบโยนทางใจและทางวัตถุจากหัวหน้าผู้ดูแลทันที
หรงจิ่นหรี่ตา ครั้งนี้กลับไม่ได้พูดอะไรมาก เขาสะบัดแขนเสื้อภายใต้สายตาที่อิจฉาของบรรดาพี่น้องและหลานชาย แล้วมุ่งหน้าไปยังพระตำหนักของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์
ทุกคนที่อยู่ด้านหลังมองมาที่เขาด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันไป องค์ชายสิบเอ็ดที่อายุน้อยที่สุดอดบ่นพึมพำไม่ได้ “ไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดเสด็จพ่อถึงได้โปรดปรานเขามากขนาดนี้…”
หรงเหยี่ยนยิ้มอย่างจนปัญญา “ความคิดของเสด็จพ่อ พวกเราจะคาดเดาได้อย่างไร” ต่างจากบรรดาองค์ชายอายุน้อยที่เกิดทีหลัง องค์ชายที่อายุมากแล้วอย่างหรงเซวียนกับหรงหวงย่อมรู้ถึงเหตุผลบางประการ แม้แต่หรงไหวฉินอ๋องก็รู้บ้างเล็กน้อย ตอนที่หรงจิ่นเกิด หรงไหวก็อายุสิบสองปีแล้ว ในราชวงศ์ อายุสิบสองปีก็นับว่าไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว หรงไหวเอ่ยเสียงเบาว่า “ก็เป็นเพราะพระสนมเหมยไม่ใช่หรือ ก็เป็นเพียงแค่…”
“ฉินอ๋องโปรดระวังคำพูดด้วย!” องค์ชายห้าที่อยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้นมาเบาๆ เรื่องของพระสนมเหมยเป็นข้อห้ามในวัง ตอนนี้พวกเขาพูดเรื่องนี้ขึ้นมาในขณะที่ยังอยู่ที่ห้องตำราหลวงของเสด็จพ่อ หากเสด็จพ่อรู้เข้าไม่ว่าใครก็ต้องรับโทษไปด้วย แม้ว่าฉินอ๋องจะอายุสามสิบต้นๆ แล้ว แต่ก็ไม่เคยมีประสบการณ์ในราชสำนักอย่างแท้จริง ยังคงดูไม่เป็นผู้ใหญ่อยู่บ้าง
หรงไหวฉินอ๋องก็รู้ว่าตัวเองพูดผิดไป แม้แต่ท่านพ่อของเขาก็ไม่กล้าพูดถึงเรื่องพระสนมเหมยออกมาอย่างพล่อยๆ ดังนั้นจึงเงียบปากด้วยความเก้อเขิน
หรงเซวียนเอ่ยเสียงเรียบว่า “ช่างเถิด น้องเก้าอายุยังน้อย สูญเสียมารดาไปตั้งแต่ยังเด็ก เสด็จพ่อจะเอ็นดูเขาก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร พวกเรากลับกันเถิด” หรงไหวกับหรงเซวียนไม่ลงรอยกัน เขาแค่นเสียงเบาก่อนที่จะยกมือคำนับบรรดาท่านอาแล้วหันหลังจากไป บรรดาองค์ชายคนอื่นๆ ก็ตามออกไปด้วย แล้วแยกย้ายกันไปที่หน้าประตูวัง สุดท้ายก็เหลือเพียงหรงเซวียนกับหรงเหยี่ยนเพียงสองคน
หรงเหยี่ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ฉินอ๋องอายุน้อยไม่รู้ความ พี่สองอย่าได้ใส่ใจ”
หรงเซวียนส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “เขาจะเกลียดข้าก็นับว่าสมควรแล้ว” หรงเซวียนรู้ดีว่าการตายของหรงหวงนั้นเป็นความผิดของเขา นอกเสียจากว่าเขาจะสามารถหาตัวคนร้ายได้ แต่หลังจากผ่านไปหลายวันการสืบสวนของฝ่ายต่างๆ ก็ไม่ได้พบปัญหาใดๆ แล้วเขายังจะสามารถทำอะไรได้อีก เขารู้ว่าปัญหาจะต้องอยู่ที่กล่องบรรจุหญ้าเซียนเก้าเมฆาที่ระเบิดกะทันหันอย่างแน่นอน แต่ไม่รู้ว่าตลอดทั้งวันกล่องนั้นผ่านมือคนมาแล้วเท่าไร หลังจากนั้นผู้คนส่วนใหญ่ที่ปล้นกล่องนั้นก็เสียชีวิตทั้งหมด มั่วเวิ่นฉิงจากเย่าหวังกู่ผู้นั้นก็หายตัวไป เรื่องนี้จึงถูกปล่อยให้จบไปเช่นนี้