หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 402 นักลอบสังหารจวนอานซุ่นจวิ้นอ๋อง (1)
“น่าเบื่อ…”
“คุณชายเว่ยมาถึงแล้ว!” มีเสียงดังขึ้นด้านนอกประตู ดูเหมือนว่าเจ้าสำนักเย่าหวังกู่จะมีหน้ามีตาไม่น้อยเลย ไม่เพียงแต่คนในราชวงศ์ผู้มีอำนาจ แม้แต่เว่ยอู๋จี้ก็มาด้วย
หลังจากนั้นไม่นานก็เห็นเว่ยอู๋จี้ที่สวมชุดสีม่วงเดินเข้ามา ไม่แปลกใจเลยที่คนที่ติดตามอยู่ข้างๆ ผู้นั้นคือเชียนหลิง เชียนหลิงสวมเสื้อคลุมสีม่วงอ่อน เดินอยู่ข้างเว่ยอู๋จี้ด้วยสีหน้าซีดเซียว ดูท่าทางอ่อนแอเล็กน้อย ราวกับว่าจะเป็นลมเมื่อใดก็ได้
เว่ยอู๋จี้เดินเข้ามา กวาดสายตามองผู้คนในโถงใหญ่ ในขณะที่ผู้คนยังไม่ได้สังเกตเห็น พวกเขาก็เดินไปอยู่ในมุมที่ห่างไกลที่สุด ซึ่งบังเอิญอยู่ไม่ไกลจากตำแหน่งของมู่ชิงอีกับหรงจิ่น นั่งลงในตำแหน่งที่มีโต๊ะกั้นเพียงแค่หนึ่งโต๊ะ
สาวใช้ที่อยู่ด้านหลังเชียนหลิงเดินเข้ามาข้างหน้าแล้วถอดผ้าคลุมให้นาง เผยให้เห็นเสื้อสีม่วงอ่อนปักด้วยลายดอกพุดตาน ที่คอเสื้อกับแขนเสื้อถูกตกแต่งด้วยขนจิ้งจอกสีขาว ชุดฤดูหนาวทำให้เชียนหลิงดูเปราะบางน้อยลงแต่กลับดูสงบนิ่งมากขึ้น
สร้อยข้อมือสีแดงห้อยอยู่ที่ข้อมือของเชียนหลิง อัญมณีแต่ละเม็ดเปล่งประกายแวววาว พลอยทำให้ผู้คนรู้สึกอบอุ่นหัวใจ เห็นได้ชัดว่านั่นเป็นสิ่งที่หลิงซูเอ่ยถึงเมื่อครู่ หรือก็คือไข่มุกเปลวเพลิง
ด้วยร่างกายที่ป่วยออดๆ แอดๆ ของเชียนหลิง ในปลายฤดูหนาวที่หนาวเย็นเช่นนี้นับว่าสวมเสื้อผ้าค่อนข้างบางแต่กลับไม่เห็นว่านางจะรู้สึกถึงความหนาว เห็นได้ชัดว่าเป็นผลจากไข่มุกเปลวเพลิง
หรงจิ่นเหลือบมองสร้อยข้อมือบนข้อมือสีขาวเนียละเอียดราวหิมะที่ดึงดูดสายตา จากนั้นก็ละสายตาแล้วก้มมองมือหยกเรียวของมู่ชิงอีที่กำลังถือเตาผิงมืออยู่
มู่ชิงอีถอนหายใจ เอื้อมมือไปตบที่มือเขาเบาๆ เป็นสัญญาณว่าไม่ให้เขาทำอะไรแผลงๆ แม้ว่าจะต้องการสร้อยข้อมือไข่มุกในมือของเชียนหลิงจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องก่อความวุ่นวายในจวนอานซุ่นจวิ้นอ๋องแห่งนี้ หรงจิ่นแค่นเสียงเบาแล้วเอ่ยว่า “หากจื่อชิงใส่จะต้องดูดีกว่านางแน่นอน”
มู่ชิงอีไม่รู้จะทำอย่างไร “มันไม่เหมาะกับกระหม่อม” ตอนนี้นางมีสถานะเป็นบุรุษ จะสวมกำไลข้อมือของสตรีได้อย่างไร
ตงฟังซวี่มองไปที่ทั้งสองคนด้วยความสงสัย ถามขึ้นมาว่า “พวกเจ้ากำลังเล่นปริศนาอะไรกันอยู่หรือ”
มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “ไม่มีอะไร ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็สามารถพบเห็นคุณชายตงฟังได้ทุกที่ องค์หญิงเซียงเฉิงกับจิ้งหย่วนโหวสบายดีหรือไม่”
ตงฟังซวี่โบกมือพลางเอ่ย “มีหรือที่พวกเขาจะไม่สบาย หากมีเรื่องอันใดที่ไม่อยากจะทำก็ให้บุตรชายอย่างข้าออกหน้าแทนพวกเขา” องค์หญิงเซียงเฉิงกับจิ้งหย่วนโหวเป็นคู่รักที่หาได้อยากในเมืองหลวง แม้ว่าองค์หญิงเซียงเฉิงจะมีสถานะเป็นองค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นเย่ว์ แต่กลับไม่ได้มีความหยิ่งยโสของความเป็นเชื้อพระวงศ์ จากที่แต่งงานกับจิ้งหย่วนโหวมาแล้วยี่สิบกว่าปีก็นับว่าให้ความเคารพซึ่งกันและกัน ไม่เคยมีส่วนร่วมในการสู้รบระหว่างเชื้อพระวงศ์เหล่านี้
ตงฟังซวี่มองหรงจิ่นด้วยรอยยิ้ม ถามเสียงเบาว่า “ท่าน…น้าเก้าไม่ชอบคุณชายเว่ยหรือ” คุณชายตงฟังรู้จักกับหรงจิ่นมาหลายปี สายตาแหลมคมยิ่งกว่าใคร แม้ว่าหรงจิ่นจะเพียงแค่เหลือบมองเว่ยอู๋จี้ครู่เดียว แต่กลับถูกเขาสังเกตเห็นสายตาที่ไม่เป็นมิตรได้
หรงจิ่นไม่ได้ปฏิเสธ เลิกคิ้วพลางเอ่ย “ถ้าใช่แล้วจะทำไม”
ตงฟังซวี่ยักไหล่ สื่อให้เห็นว่าเขาเองก็ทำอะไรไม่ได้ “ก็ไม่ทำไม ฝ่าบาทเกรงใจคุณชายเว่ยมากกว่าข้าที่เป็นหลานนอกเสียอีก ดังนั้น…หลานนอกอย่างข้าก็ทำอะไรคุณชายเว่ยไม่ได้เช่นกัน”
ไม่สามารถปฏิเสธคำพูดนี้ได้ แต่ไหนแต่ไรมาฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ก็ไม่ได้เอาใจบรรดาองค์ชายและหลานชายมากนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลานนอกกับบุตรสาวที่แต่งออกไปแล้ว แต่คนอย่างเว่ยอู๋จี้ที่ร่ำรวยที่สุดในใต้หล้า เห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่ไม่ว่าใครๆ ก็ไม่สามารถมองข้ามได้ แม้ว่าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์จะคิดว่าตัวเองเป็นคนที่น่าเกรงขามมากที่สุด แต่ตราบใดที่ยังไม่อยากถูกฉีกหน้าก็จะไม่มีทางทำให้เว่ยอู๋จี้ต้องขุ่นเคืองง่ายๆ
แม้ว่าผู้คนจะดูถูกสถานะที่ต่ำต้อยของคนทำกิจการค้าขาย แต่ก็มีน้อยคนที่จะไม่อิจฉาเว่ยอู๋จี้ผู้ทำกิจการค้าขายที่ท่องเที่ยวไปทั่วและได้รับการปฏิบัติเหมือนเป็นแขกของราชวงศ์ในแต่ละแคว้น แต่ในทางเดียวกัน คนเช่นนี้เดิมทีมีไม่มากนัก
เดิมทีในมุมที่พวกเขานั่งอยู่ค่อนข้างสงบ แม้ว่าจะมีคนที่ชอบแกว่งเท้าหาเสี้ยนต้องการเข้าหาอวี้อ๋อง แต่เพียงแค่เหลือบมองใบหน้าที่ไร้ความปราณีของอวี้อ๋องพวกเขาก็หยุดชะงักทันที แต่เมื่อเว่ยอู๋จี้มาร่วมงานด้วยทำให้สถานการณ์แตกต่างออกไป ไม่ต้องพูดถึงว่ามีผู้มีอำนาจครึ่งหนึ่งกำลังจ้องมองมาทางนี้ แม้แต่บรรดาองค์ชายที่เดิมทีนั่งอยู่ด้านหน้าสุดก็เข้ามาด้วย และย่อมไม่สามารถขาดมู่หรงอวี้ซึ่งเป็นเจ้าภาพไปได้
“เหตุใดคุณชายเว่ยกับอวี้อ๋องถึงมานั่งตรงนี้ได้เล่า ข้าต้อนรับได้ไม่ดี ขอทั้งสองท่านโปรดอภัยด้วย” มู่หรงอวี้เดินเข้ามา เอ่ยพลางยกมือคำนับด้วยรอยยิ้ม เพียงแค่ประโยคเดียวก็ทำให้คนทั้งสองโต๊ะที่เดิมทีอยู่ใครอยู่มันพากันมองไปที่มู่หรงอวี้แล้วหันมาชำเลืองมองซึ่งกันและกัน เว่ยอู๋จี้เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “อานซุ่นจวิ้นอ๋องเอ่ยเกินไปแล้ว ผู้น้อยรักความเงียบสงบ ที่นี่กำลังดี” ท่าทางดังกล่าว ทำให้รู้สึกราวกับว่ามู่หรงอวี้เป็นเพียงแค่อานซุ่นจวิ้นอ๋องแห่งแคว้นเย่ว์ ไม่เคยมีศักดิ์เป็นกงอ๋องแห่งแคว้นหวามาก่อน
มู่หรงอวี้เอ่ยอย่างรู้สึกผิด “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร…ข้าว่าคุณชาย…”
หรงจิ่นถอนหายใจเบาๆ เอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “เจ้าฟังไม่ออกจริงๆ หรือแสร้งทำเป็นฟังไม่ออก ความหมายของเว่ยอู๋จี้ก็คือให้เจ้ารีบไสหัวไปเร็วๆ เข้า”
ทั้งโถงใหญ่พลันเงียบเสียงลง รอยยิ้มบนใบหน้าของมู่หรงอวี้แข็งทื่อในทันที แต่สีหน้าเว่ยอู๋จี้กลับไม่เปลี่ยนเลยแม้แต่นิดเดียว ยังคงแย้มยิ้มอยู่เช่นเดิม “อวี้อ๋องชอบพูดจาล้อเล่น อานซุ่นจวิ้นอ๋องอย่าได้ใส่ใจเลย ผู้น้อยไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้นแน่นอน”
ในที่สุดมู่หรงอวี้ก็ได้สติกลับมา ก่อนจะฝืนยิ้มเอ่ย “คุณชายเว่ยเกรงใจแล้ว”
เว่ยอู่จี้ยิ้มเอ่ย “ผู้น้อยนั่งอยู่ตรงนี้ก็พอแล้ว อานซุ่นจวิ้นอ๋องงานยุ่ง ไม่จำเป็นต้องต้อนรับผู้น้อยเป็นพิเศษ”
“ก็หมายความว่าให้เขาไสหัวไปไม่ใช่หรือ” ตงฟังซวี่ที่อยู่ด้านข้างพยายามพูดเสียงเบาแล้ว แต่ก็ยังได้ยินความสงสัยของเขาอย่างชัดเจน
มู่หรงอวี้กัดฟัน เอ่ยด้วยสีหน้าแข็งทื่อว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวก่อน” คุณชายเว่ยยิ้มอย่างอ่อนโยน “เชิญจวิ้นอ๋อง” แม้ว่ามู่หรงอวี้จะมีจิตใจที่ทะเยอทะยาน แต่ก็ยังไม่ถึงจุดที่ไร้ความละอาย ถูกหรงจิ่นเย้ยหยันในเวลาที่มีแขกเหรื่อเต็มจวนเช่นนี้จึงไม่สามารถทนอยู่ต่อไปได้ ทำได้เพียงเอ่ยขออภัยแล้วเดินออกไป
แม้ว่าสถานะของมู่หรงอวี้จะไม่ใช่เพียงแค่อานซุ่นจวิ้นอ๋องอีกต่อไป แม้ว่าตำแหน่งเจ้าสำนักเย่าหวังกู่จะทำให้ผู้คนมากมายต้องเห็นแก่หน้าเขา แต่ในใจของผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ชั้นสูงในเมืองหลวงแห่งแคว้นเย่ว์ พวกเขายังคงดูถูกมู่หรงอวี้ซึมลึกถึงกระดูก แม้ว่ากฎหมายของแคว้นเย่ว์จะไม่เข้มงวดเท่าแคว้นหวา แต่ก็ไม่ใช่บ้านป่าเมืองเถื่อน ไม่ว่าจะเป็นชาติกำเนิดหรือศีลธรรมก็ต้องให้ความสำคัญ
เดิมทีมู่หรงอวี้เป็นองค์ชายแห่งแคว้นหวา แต่ตอนนี้กลับบอกว่าเป็นบุตรชายของอดีตเจ้าสำนักเย่าหวังกู่และจะสืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักเย่าหวังกู่ ด้วยเหตุนี้สถานะองค์ชายแห่งแคว้นหวาของเขาจึงถูกถกเถียงอยู่ ดังนั้นภูมิหลังนับว่าเป็นรอยเปื้อนที่ลบไม่ออกของมู่หรงอวี้ หากมู่หรงอวี้มีอำนาจมากในมือของเขา เขาจะไม่มีวันยอมรับว่าตัวเองเป็นบุตรชายของเจ้าสำนักเย่าหวังกู่ น่าเสียดายที่ตอนนี้เขาไม่มีอะไรสักอย่าง ดังนั้นจึงทำได้เพียงยึดตำแหน่งเจ้าสำนักเย่าหวังกู่ไว้ให้แน่น
เมื่อเห็นว่ามู่หรงอวี้ถูกหรงจิ่นกับตงฟังซวี่เย้ยหยันจนออกจากห้องโถงไป แม้ว่าใบหน้าของทุกคนจะนิ่งเฉยแต่ในใจกลับรู้สึกยินดีในความทุกข์ของมู่หรงอวี้
เว่ยอู๋จี้มองหรงจิ่นที่อยู่อีกด้านหนึ่ง จากนั้นสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่มู่ชิงอี คิ้วโค้งงามสง่าของเขาขมวดมุ่นเล็กน้อย