หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 414 โบยฉินอ๋อง (2)
บางทีนางอาจเคยชอบเสื้อผ้าและเครื่องประดับที่งดงาม แต่นั่นมันก็ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว สำหรับมู่ชิงอีในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับที่สวยงามแค่ไหนก็เทียบกับการที่นางได้ปลอมตัวเป็นผู้ชาย เดินไปเดินมาข้างนอกอย่างอิสระและทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำไม่ได้ ดังนั้นหรงจิ่นไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดเพราะตอนนี้นางปลอมตัวเป็นผู้ชาย หากให้เลือก นางคงเลือกที่จะมีชีวิตแบบนี้ ดีกว่าการที่ต้องหลบซ่อนอยู่ในเรือนและแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอันใด
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ ผู้ดูแลในจวนก็มารายงานว่าฉินอ๋องและจวงอ๋องมาขอพบ พวกเขาสองคนมองหน้ากัน วันนี้เป็นวันแรกของปีใหม่ ไม่ต้องทำงานแล้วก็ไม่ต้องไปราชสำนัก หรงไหวกับหรงเซวียนมาจวนอวี้อ๋องทำไม มู่ชิงอียื่นมือออกไปล้างมือด้วยน้ำสะอาดที่สาวใช้ยกมาให้ นางเช็ดมือพร้อมกับเลิกคิ้วแล้วเอ่ยว่า “ฝ่าบาทให้จวนอ๋องเป็นคนจัดการเรื่องเมื่อคืนอย่างนั้นหรือ”
ถึงแม้นักฆ่าเมื่อวานจะสิ้นชีพหมดแล้ว แต่การลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้ไม่มีทางจบลงง่ายๆ พวกเขาต้องตรวจสอบเรื่องนี้ แต่การให้หรงไหวและหรงเซวียนเป็นคนจัดการเรื่องนี้ช่างน่าสนใจ ฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์ไม่กลัวว่าพวกเขาสองจะฉวยโอกาสกำจัดกันหรอกหรือ
หรงจิ่นแค่นเสียงเอ่ย “พวกเขาสองคนต่อสู้กันอย่างลับๆ มาตลอด เขาให้พวกเขาสองคนจัดการเรื่องนี้ เพื่อที่จะได้จับตาดูพวกเขา ไม่ว่าใครก็อย่าคิดที่จะแอบทำอะไร เขาขึ้นครองราชย์มาตั้งหลายสิบปี จะไม่รู้หลักการรักษาสมดุลที่ไหนกัน”
มู่ชิงอีพยักหน้าเอ่ย “เช่นนั้นเราออกไปดูกันดีกว่า ว่าพวกเขาอยากทำอะไรกันแน่” นึกถึงเนี่ยอวิ๋นที่ยังอยู่ในห้องศิลาของหรงจิ่น มู่ชิงอีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ถึงแม้เนี่ยอวิ๋นจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องลอบสังหารเมื่อคืนนี้ แต่หากถูกจับได้ พวกเขาคงจะแก้ตัวไม่ขึ้น
หรงจิ่นเอ่ยด้วยท่าทางสงบนิ่ง “ไม่เป็นไร เราไปกันเถิด”
ในห้องโถงของจวนอวี้อ๋อง หรงเซวียนและหรงไหวนั่งดื่มชาเงียบๆ อยู่ในห้องโถง ไม่มีใครพูดอะไร ถึงแม้ช่วงไว้ทุกข์ขององค์รัชทายาทจะผ่านไปแล้ว แต่ลึกๆ ภายในใจของฉินอ๋องนั้นได้ตัดสินใจแล้วว่าหรงเซวียนเป็นคนฆ่าหรงหวง และสำหรับหรงเซวียน อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดก็คือฉินอ๋องหรงไหว หลังจากหรงหวงเสียชีวิตไปแล้ว ดังนั้นแม้หรงเซวียนจึงกลายมาเป็นพระโอรสองค์โตก็ตาม แต่เขาก็ยังคือบุตรของพระสนม ส่วนหรงไหวคือทายาทขององค์รัชทายาท ถึงแม้หรงไหวจะเข้ามาในราชสำนักได้ไม่นาน แต่ได้รับการสนับสนุนจากฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์ มีชื่อเสียงและอำนาจ ซึ่งชื่อเสียงของหรงไหวบดบังอำนาจของหรงเหยี่ยน องค์ชายสี่ที่หรงเซวียนเคยมองว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาคนสองอยู่ด้วยกัน ไม่ต้องหวังว่าจะมีบรรยากาศที่ดี
ปู้อวี้ถังยืนนิ่งอยู่ข้างๆ ปล่อยให้พวกเขาสองคนมองตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้า
หรงไหวจับจ้องปู้อวี้ถังด้วยใบหน้าดุร้าย ตอนนั้นเขาอยากจะฆ่าปู้อวี้ถัง แต่หรงจิ่นกลับพาปู้อวี้ถังเข้ามาอยู่ในจวนอวี้อ๋อง หลังจากนั้นเขาก็เคยส่งคนไปฆ่าปู้อวี้ถังสองสามครั้ง แต่นักฆ่าเหล่านั้นไม่เคยกลับมาอีกเลย จึงทำให้เขาสงสัยว่าเสด็จปู่ส่งคนมาคอยปกป้องหรงจิ่นหรือไม่ เขาจึงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ถึงแม้การเสียชีวิตของท่านพ่อจะไม่เกี่ยวข้องกับอวี้ถังก็ตาม แต่หรงไหวคิดว่าเรื่องนี้ฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์ลำเอียงเกินไป เห็นปู้อวี้ถังรอดพ้นจากความตายมาได้ ไม่ว่าเช่นไรเขาก็ไม่ชอบขี้หน้าอยู่ดี
แต่หรงเซวียนไม่คิดอะไรกับปู้อวี้ถัง เพียงแค่มองปู้อวี้ถังตั้งแต่หัวจรดเท้า เลิกคิ้วแล้วเอ่ยว่า “ใต้เท้าปู้อยู่ที่จวนอวี้อ๋องสบายดีหรือไม่”
ปู้อวี้ถังเอ่ยอย่างระมัดระวัง “ตอนนี้อวี้ถังเป็นเพียงราษฎรทั่วไป ไม่กล้าเป็นใต้เท้า ต้องขอบพระทัยที่อวี้อ๋องรับกระหม่อมมาไว้ในจวน กระหม่อมถึงได้มีข้าวทาน เลยสบายดีพ่ะย่ะค่ะ “
หรงเซวียนพยักหน้าเอ่ย “น้องเก้าช่างมองคนเก่งเสียจริง” แค่เห็นคนในจวนอวี้อ๋องล้วนแต่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ แล้วยังมีเรื่องที่สายสืบถูกจัดการอย่างหมดจด ก็รู้ว่าจวนอวี้อ๋องต้องมีคนที่มีความสามารถซ่อนอยู่แน่นอน หรงเซวียนก็คิดไม่ถึงว่าน้องเก้าไม่เอาการเอางานมาตั้งหลายปี แต่กลับมองคนเก่งเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นชายหนุ่มชุดขาวอย่างกู้หลิวอวิ๋น หรือว่าปู้อวี้ถังที่อยู่ตรงหน้าตัวเองตอนนี้ ล้วนแต่เป็นคนมีความสามารถที่หายาก
หรงไหวหัวเราะเยาะ “คนมีความสามารถ? ซ่อนคนเลวเสียมากกว่า ก็แค่คุณชายตกอับที่อพยพมาจากแคว้นอื่น นักโทษที่ขุดออกมาจากคุก คงมีแค่เขาที่ทำอะไรน่าเบื่อเช่นนี้”
“ไหวเอ๋อร์” หรงเซวียนขมวดคิ้วแล้วเอ่ยอย่างเมินเฉย “ผู้ดูแลกู้ แม้แต่เสด็จพ่อยังเอ่ยปากชื่นชม จะกล่าวอะไรก็ระวังหน่อย ประเดี๋ยวน้องเก้าจะโมโหเอา” แล้วอีกอย่างกู้หลิวอวิ๋นไม่ใช่คุณชายตกอับ ช่วงที่ผ่านมา เขาไม่เชื่อว่าหรงไหวจะไม่ส่งคนไปสืบ กิจการที่อยู่ในมือของกู้หลิวอวิ๋นไม่น้อยไปกว่าท่านอ๋องหรือองค์ชายที่พึ่งพาของรางวัลจากฮ่องเต้อย่างพวกเขาเลย และเพราะเหตุนี้ บรรดาท่านอ๋องและองค์ชายถึงได้ยอมรับว่ากู้หลิวอวิ๋นเป็นสหายคนสนิทของหรงจิ่น ไม่มองว่าเขาเป็นแค่คนรับใช้ของจวนอวี้อ๋อง คนที่มีกิจการมายมากคงไม่จำเป็นต้องมาเป็นคนรับใช้จวนอ๋อง ถึงแม้จะเป็นหัวหน้าผู้ดูแล แต่ในสายตาของราชวงศ์ก็คือคนรับใช้อยู่ดี
หรงไหวแค่นเสียงเย้ยหยันแต่กลับไม่พูดอะไรอีก เขาไม่พอใจที่ฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์ลำเอียงต่อหรงจิ่น
หรงเซวียนที่อยู่ข้างๆ ก็ไม่สนใจเขา ยกยิ้มมุมปาก ถึงแม้หรงไหวจะอายุสามสิบแล้ว แต่เขาไม่ค่อยมีประสบในราชสำนักมากนัก เขายังอ่อนหัดเกินไป เสด็จพ่อก็แค่ให้ความสำคัญกับเขามากกว่าแต่ก่อน เขาก็กล้าอิจฉาหรงจิ่น หากหรงจิ่นรับมือได้ง่าย และหากความโปรดปรานของเสด็จพ่อได้มาง่ายๆ หรงจิ่นคงจะตายไปตั้งนานแล้ว
“ท่านอ๋องมาถึงแล้ว!”
นอกประตู หรงจิ่นสวมชุดสีดำ เดินเข้ามาในห้องโถงด้วยใบหน้าที่เย็นชา ข้างหลังยังมีชายหนุ่มชุดขาวที่เดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“คารวะท่านอ๋อง ผู้ดูแลกู้” ปู้อวี้ถังรีบเดินเข้าไปคำนับ
หรงจิ่นโบกมือแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ออกไปเถิด จวงอ๋องและฉินอ๋องมาหาข้าแต่เช้ามีเรื่องอันใดหรือ” หรงจิ่นนั่งลงบนเก้าอี้หลัก มองดูพวกเขาสองคนอย่างเย่อหยิ่ง ท่าทีหยิ่งผยองจนทำให้คนอื่นหมั่นไส้
“จื่อชิง นั่งลงสิ” หรงไหวกำลังจะเอ่ย แต่กลับถูกหรงจิ่นพูดขัดจังหวะ มู่ชิงอียิ้มอย่างแผ่วเบา จากนั้นก็เดินไปนั่งเก้าอี้ด้านข้างหรงจิ่น หรงเซวียนและหรงไหวหันมามองหน้ากัน ดูเหมือนว่าหรงจิ่นจะเห็นกู้หลิวอวิ๋นคนนี้เป็นสหายคนสนิทมากกว่าผู้ดูแลจริงๆ หรือว่า…ข่าวลือช่วงนี้ในเมืองหลวงอาจไม่ใช่แค่ข่าวลือทั้งหมด
หรงเซวียนกระแอมเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “น้องเก้า เจ้าก็รู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เสด็จพ่อให้ข้ากับไหวเอ๋อร์จัดการเรื่องนี้ ดังนั้น…”
หรงจิ่นหัวเราะเยาะแล้วเอ่ยว่า “เข้าใจแล้ว ก็แค่จะค้นหานักฆ่าไม่ใช่หรือ รีบไปค้นเถิด หรือว่าข้าจะไม่ยอมให้พวกเจ้าค้นจวนเช่นนั้นหรือ แต่ว่าพวกเจ้าต้องสั่งการให้ชัดเจน หากใครทำของในจวนของข้าเสียหาย ต้องเอาชีวิตมาแลก แล้วอีกอย่าง… ในเมื่อจะค้นจวนของข้า…จวนของจวงอ๋องและฉินอ๋องค้นแล้วหรือยัง วันนี้ข้าไม่มีอะไรทำ ข้าไปกับพวกเจ้าสองคนดีกว่า”
หรงไหวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เสด็จปู่ให้ข้าและจวงอ๋องจัดการเรื่องนี้ ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับอวี้อ๋อง” ในเมืองหลวงแห่งนี้ โดยเฉพาะจวนของบรรดาองค์ชาย ไม่มีใครกล้าพูดว่าไม่มีสิ่งของหรือคนที่ให้คนอื่นเห็นไม่ได้ หากจะกล่าวแล้ว เกรงว่าจวนของหรงจิ่นคงเป็นจวนที่สะอาดที่สุดแล้ว เขาไม่มีอำนาจอยู่ในมือ เพิ่งจะสร้างจวนได้ไม่นาน แน่นอนว่าสิ่งของที่ต้องเก็บซ่อนไว้จึงมีไม่มากนัก