หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 429 อำนาจของฮ่องเต้ (2)
มู่ชิงอีเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ฉินอ๋องคิดว่าอวี้อ๋องจะสามารถเนรมิตที่พักพิงให้แก่ชาวบ้านได้ในชั่วพริบตา? หรืออวี้อ๋องต้องพาชาวบ้านเร่ร่อนเหล่านั้นเดินกลับเมืองหลวงไกลเป็นหลายสิบลี้? อีกอย่างกระหม่อมจำได้ว่ากระหม่อมให้ตั๋วเงินเจ้าสัวเฉินไปแล้วหมื่นตำลึง นอกจากค่าข้าวสารอาหารแห้งแล้ว หากนับรวมค่าเช่าบ้านด้วยก็ถือว่าเหลือเฟือ ในเมื่อเจ้าสัวเฉินรับเงินไปแล้วจะกล่าวหาว่าอวี้อ๋องแย่งที่พักอาศัยของคนอื่นได้อย่างไรกัน”
“เจ้า…เถียงข้างๆ คูๆ!” ฉินอ๋องร้องโวยวายเสียงดัง
มู่ชิงอียิ้มบางอย่างใจกว้างโดยไม่พูดอะไร ครั้นในสายตาของทุกคนเห็นคนหนึ่งโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ ส่วนอีกคนสงบนิ่งใจเย็น ใครพูดจาน่าเชื่อถือกว่ากันไม่ต้องบอกก็รู้
หรงจิ่นยืนอยู่อีกฝั่งโดยไม่คิดพูดแทรกแม้แต่ประโยคเดียว เขาแค่ใช้แววตาอ่อนโยนจับจ้องมู่ชิงอีที่คอยตอบโต้แทนเขาแน่นิ่ง ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าชิงชิงในเวลานี้น่าจับจ้องเหนือกว่าผู้ใด กระทั่งทำเอาเขาอยากซ่อนนางไว้แต่ก็ทำใจกลบแสงรัศมีนี้ไม่ได้จริงๆ
หรงเหยี่ยนและหรงเซวียนที่อยู่ด้านข้างสบตากัน ซึ่งนัยน์ตาแฝงไปด้วยความตกใจ กู้หลิวอวิ๋นอายุแค่นี้แต่ฝีปากดีไม่น้อย อีกทั้งไม่ได้ข่มใครแต่กลับต้อนให้จนมุมโดยไม่รู้ตัวมากกว่า เริ่มแรกบีบให้หรงไหวยอมรับว่าไม่พอใจหรงจิ่นก่อน จากนั้นถึงตอกกลับเรื่องการกระทำของหรงจิ่น ไม่ว่าสุดท้ายการกระทำของหรงจิ่นจะถูกหรือผิด อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่าหรงจิ่นทำทุกอย่างเพื่อราษฎรและฮ่องเต้ ในขณะเดียวกันก็สื่อให้เห็นว่าหรงไหวผู้ที่เป็นบุตรชายขององค์รัชทายาทที่สิ้นพระชนม์ไปแล้วกลับไม่สนใจใยดีราษฎรเลยแม้แต่น้อย แถมยังเคียดแค้นและอิจฉาริษยาอาแท้ๆ ที่อ่อนเยาว์กว่าตนด้วย ครั้นมองสีหน้าประหลาดๆ ของเหล่าขุนนางฝั่งตรงข้ามที่จับจ้องหรงไหว อัครเสนาบดีโจวที่เผยสีหน้าเศร้าใจก็รู้เลยว่าต่อให้หรงไหวจะพูดเช่นไรก็ไร้หนทางจะกลับมาเป็นต่อได้แล้ว
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์กวาดตามองหรงไหวอย่างไม่ชอบใจแวบหนึ่ง เอ่ยตรัสเสียงเย็นชาว่า “ฉินอ๋อง เจ้ามีอะไรจะพูดอีกหรือไม่”
หรงไหวเงียบไปพักหนึ่ง ในที่สุดถึงเอ่ยขึ้นว่า “หลาน…ไม่มีอะไรจะพูดพ่ะย่ะค่ะ!” เขาจะพูดอะไรได้อีก ตัดพ้อว่าเสด็จปู่เข้าข้างหรงจิ่นอย่างนั้นหรือ หรงไหวยังไม่เลอะเลือนขนาดนั้น หากเวลานี้พูดออกไปเช่นนี้ หากเขาไม่โง่ก็คงบ้าไปแล้ว
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์แค่นเสียงเบา “เจ้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว หากว่างนักก็เรียนรู้จากพวกอาทั้งหลายสิว่าจัดการเรื่องอื่นๆ เช่นไร วันๆ อย่าเอาแต่คิดเรื่องไร้สาระ ตอนที่อารองอายุเท่าเจ้าก็ออกรบไปหลายรอบแล้ว ส่วนอาสี่ของเจ้าก็จัดการเรื่องใหญ่ๆ ไปไม่น้อย”
หรงไหวได้ยินเช่นนั้นก็หน้าแดงพลางลอบสบถด่าในใจ เขาไม่อยากทำที่ไหนกัน ก่อนที่ท่านพ่อสิ้นพระชนม์เสด็จปู่มิทรงอนุญาตให้หลานคนใดเข้ามายุ่งเรื่องในราชสำนักเลย เขาจะทำอะไรได้ มีชีวิตอยู่มาสามสิบกว่าปี ขณะที่ท่านพ่อมีชีวิตอยู่เขาไม่เคยเข้ามาฟังงานในราชสำนักเลย แล้วเขาจะจัดการเรื่องใหญ่โตเหล่านั้นได้อย่างไร
“หลานน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ” หรงไหวกัดฟันเอ่ย
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์พยักหน้า จากนั้นก็กวาดตามองผู้ว่าการเมืองหลวงที่อยู่ด้านหลังแวบหนึ่งอย่างดุดันก่อนตรัสว่า “ผู้ว่าการเมืองหลวงดื่มสุราจนบกพร่องในหน้าที่ ทุจริตทำผิดกฎระเบียบจึงต้องโทษประหาร! ส่วนครอบครัวถูกเนรเทศไปอยู่เขตชายแดน เอาตัวไป”
ผู้ว่าการที่คาดว่าตนคงรอดตายได้ยากนานแล้วจึงถูกลากตัวไปอย่างง่ายดายโดยไม่ดิ้นพล่านใดๆ ทั้งสิ้น
หลังจากจัดการคนเกะกะลูกตาได้แล้วก็ถึงเวลาตบรางวัล ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์มองทุกคนด้านล่างอย่างพึงพอใจตรัสว่า “เรื่องครั้งนี้จวงอ๋อง ตวนอ๋อง อวี้อ๋องจัดการได้เป็นอย่างดี เราขอชื่นชมจากใจจริง พระราชทานเงินหนึ่งพันตำลึงทองและเครื่องประดับหยกสิบชิ้นแก่จวงอ๋องและตวนอ๋อง ส่วนอวี้อ๋องได้รับเงินหนึ่งพันตำลึงทอง เครื่องประดับหยกสิบชิ้นและไข่มุก นอกจากนี้ยังมีสิทธิ์เลือกของในหอสมบัติด้วยสามชิ้น รวมถึงกู้หลิวอวิ๋นเองก็ได้รับเงินหนึ่งพันตำลึงทองเช่นกัน”
ฮ่องเต้ตรัสร่ายรางวัลยาวเหยียด แต่หรงไหวที่ติดตามหรงเซวียนและหรงเหยี่ยนไปด้วยกลับไม่ได้รับความดีความชอบใด ถึงแม้จวนฉินอ๋องจะไม่ได้ขาดแคลนเงินแค่นี้แต่มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง การพระราชทานรางวัลของฮ่องเต้ถือเป็นหน้าเป็นตา หลังจากทุกคนจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว คนอื่นๆ ได้รับรางวัลแต่มีตนเพียงคนเดียวกลับเหมือนถูกลากตัวไปตบหน้ามากกว่า นี่แสดงให้เห็นว่าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ไม่พอใจเขาอย่างมาก
อาจเป็นเพราะถูกลูกหลานเหล่านี้ทำให้จิตใจว้าวุ่น หลังจากควรมอบรางวัลก็มอบแล้ว ควรด่าก็ด่าแล้ว ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ถึงได้โบกมือไล่ทุกคนออกไปจนหมด
ตรงหน้าประตูวัง มองดูแล้วเหล่าองค์ชายก็ดูสนิทสนมกลมเกลียวกันดี ทว่าคนที่เพิ่งโดนฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ก่นด่าสั่งสอนมายกหนึ่งอย่างฉินอ๋องกลับแตกต่างออกไป
“หัวหน้าผู้ดูแลกู้ปากคอเราะร้ายไม่เบา อาเก้าได้คนมากความสามารถเช่นนี้มานับว่าเป็นบุญไม่น้อย” หรงไหวเหลือบมองมู่ชิงอีแวบหนึ่งก่อนพูดจาแดกดันใส่
หรงจิ่นเลิกคิ้วเอ่ย “ย่อมเป็นบุญของข้าอยู่แล้ว เรื่องแบบนี้คงอิจฉากันไม่ได้ มิเช่นนั้นหากหรงไหวว่างนักก็ขออัครเสนาบดีโจวช่วยหาหัวหน้าผู้ดูแลปากดีๆ ให้สักคนสองคนสิ เพื่อเลี่ยงไม่ให้ครั้งหน้าต่อปากต่อคำไม่ได้เช่นนี้ ท่านอัครเสนาบดีโจว ท่านเห็นด้วยหรือไม่เล่า”
หรงไหวพลันเดือดดาล ทว่าถูกอัครเสนาบดีโจวที่อยู่ด้านหลังลากตัวไปอย่างรวดเร็ว หรงจิ่นแค่นเสียงเบาอย่างไม่ชอบใจ จากนั้นก็มองมู่ชิงอีเป็นนัยว่า ข้าจำเป็นต้องเปลืองแรงกับคนพรรค์นี้ด้วยหรือ
มู่ชิงอียิ้มบาง ไม่จำเป็นจริงๆ
“อวี้อ๋อง คุณชายกู้ช้าก่อน” เจี่ยงปินที่อยู่ด้านหลังรีบเดินไล่ตามมา เจี่ยงปินเป็นคนสำคัญของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ พอเขาออกมา ทุกคนจึงต่างพากันชะงักไม่รีบไปไหนแล้ว
“มีเรื่องอันใดหรือ”
“ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้คุณชายกู้เข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” เจี่ยงปินเอ่ยเสียงหอบถี่
หรงจิ่นมุ่นคิ้วทรงดาบเล็กน้อย ก้มหน้ามองมู่ชิงอีแล้วเอ่ย “ข้าไปเข้าเฝ้าเป็นเพื่อนจื่อชิง”
เจี่ยงปินปาดเม็ดเหงื่อที่ไม่มีให้เห็นบนหน้าผากก่อนรีบรั้งเขาไว้ “อวี้อ๋อง ฝ่าบาทเรียกแค่คุณชายกู้เข้าเฝ้าคนเดียว ท่านอ๋องโปรด…”
หรงจิ่นเอ่ยเสียงขรึมอย่างไม่สบอารมณ์ “จื่อชิงไม่ใช่คนแคว้นเย่ว์ เขาเป็นสหายของข้า เหตุใดข้าจะไปเป็นเพื่อนเขาไม่ได้เล่า”
เจี่ยงปินรู้สึกเอือมระอา “คือว่า…ฝ่าบาททรงรับสั่งให้คุณชายกู้เข้าเฝ้าคนเดียว” ฝ่าบาททรงคิดเช่นใดหาใช่เรื่องที่คนต่ำต้อยอย่างพวกเขาจะคาดเดาได้ เขาเป็นแค่คนส่งสารเท่านั้น องค์ชายเก้า…ได้โปรดอย่าสร้างความลำบากใจให้กระหม่อมเลย
มู่ชิงอีเงียบไปพักหนึ่งก่อนพยักหน้ากล่าว “ลำบากท่านขันทีแล้ว ข้าจะตามท่านขันทีไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท”
“จื่อชิง!” หรงจิ่นเอ่ยเสียงขรึม
มู่ชิงอียกมือขึ้นลูบบ่าเขาเชิงปลอบโยน เอ่ยเสียงเบา “ไม่ต้องเป็นห่วง กระหม่อมไปครู่เดียวเดี๋ยวก็กลับ ท่านอ๋องออกไปรอข้างนอกประตูวังก่อนเถิด” หรงจิ่นจับจ้องมู่ชิงอีแน่นิ่ง ผ่านไปนานถึงกัดฟันเอ่ย “ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นี่!”
มู่ชิงอียิ้มอย่างจนใจ จากนั้นก็หันไปพูดกับเจี่ยงปินว่า “ท่านขันทีเจี่ยง นำทางไปเถิด”
นางเพิ่งเดินออกมาได้ไม่นานก็ต้องกลับเข้ามาในพระตำหนักแล้ว
“กระหม่อมกู้หลิวอวิ๋น ขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” มู่ชิงอีโค้งตัวทำความเคารพอยู่กลางพระตำหนักด้วยท่าทีนอบน้อม
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ที่อยู่ตรงพระที่นั่งจับจ้องนางหน้านิ่งโดยไม่ตรัสอะไร มู่ชิงอีเองก็นึกหวั่นใจขึ้นมาไม่น้อย นี่เป็นครั้งที่สองที่นางต้องเผชิญหน้ากับฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เช่นนี้ ทว่ากลับแตกต่างกันออกไป เพราะครั้งนี้แรงกดดันของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ทั้งหมดมาตกอยู่ที่นางเพียงคนเดียว ความน่ายำเกรงของฮ่องเต้กลบไปทั่วอาณาบริเวณ มู่ชิงอีทำได้แค่ก้มหน้าทำใจแข็งไว้ มิน่าเล่าคนที่ดื้อรั้นอย่างหรงจิ่นยังเกรงกลัวฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นกษัตริย์ผู้เหี้ยมโหด กระทั่งแอบทำอะไรได้แค่ในที่ลับเท่านั้น ต่อให้ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์จะไม่ได้ทรงพระปรีชาเหมือนช่วงวัยเยาว์ ทว่าความสามารถในฐานะของฮ่องเต้กลับไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย