หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 437 ขุนนางใหม่เข้ารับตำแหน่ง(3)
เมื่อได้ยินเช่นนั้นมู่ชิงอีก็อดรู้สึกปีติยินดีไม่ได้ ราวกับพึ่งจะรู้สึกง่วงก็มีคนยื่นหมอนมาให้ ยิ้มเอ่ย “รีบให้เขาเข้ามา”
ผ่านไปครู่หนึ่งปู้อวี้ถังที่สวมชุดสีขาวนวลจันทร์ก็เดินเข้ามา โค้งคำนับมู่ชิงอีด้วยความเคารพ “ข้าน้อยปู้อวี้ถังคารวะใต้เท้า”
มู่ชิงอีเลิกคิ้วพลางยิ้มเอ่ย “อวี้ถัง ท่านทำอะไร”
ปู้อวี้ถังยิ้มเอ่ย “ข้าน้อยมาขอข้าวใต้เท้ากินสักหนึ่งมื้อ”
มู่ชิงอีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “โบราณกล่าวไว้ว่าผู้ดูแลจวนสมุหนายกก็เทียบเท่ากับขุนนางระดับสามในราชสำนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ดูแลในจวนท่านอ๋อง ข้า…ไม่มีตำแหน่งระดับสูงหรือทรัพย์สมบัติอะไรให้ท่านหรอก”
ปู้อวี้ถังไม่ได้สนใจ “หากใต้เท้าไม่รังเกียจ ให้ข้าเป็นเพียงผู้ช่วยตำแหน่งเล็กๆ ก็พอแล้ว” ในราชสำนัก ตั้งแต่องค์ชาย แม่ทัพ ไปจนถึงขุนนางทั่วไป จะมีคนภายใต้บังคับบัญชาที่ช่วยออกความคิดเห็นหนึ่งถึงสองคน คนเหล่านี้ไม่ได้รวมอยู่ในหน่วยงานราชสำนัก และพวกเขาจ่ายเงินเดือนให้เองเป็นการส่วนตัว ย่อมไม่จำเป็นต้องสนใจระดับสถานะ ขอเพียงแค่ทั้งสองฝ่ายรู้สึกพึงพอใจก็พอแล้ว
มู่ชิงอีมองสำรวจปู้อวี้ถังอยู่นาน ถอนหายใจเอ่ย “เช่นนั้นก็ลำบากอวี้ถังแล้ว”
ปู้อวี้ถังเงยหน้าพลางยิ้มเอ่ย “ไม่ลำบาก แค่ใต้เท้าไม่รังเกียจก็พอ เมื่อเทียบกับจวนอวี้อ๋องแล้ว…ข้ารู้สึกว่าติดตามใต้เท้ากู้นั้น…ปลอดภัยเสียยิ่งกว่า”
เมื่อไม่มีการควบคุมของหัวหน้าผู้ดูแลกู้ อวี้อ๋องก็เป็นเพียงองค์ชายปีศาจ ปู้อวี้ถังไม่ใช่คนโง่ รีบพูดกับใครบางคนราวกับไม่ได้ตั้งใจว่าใต้เท้ากู้พึ่งเข้ารับตำแหน่งต้องการคนไว้คอยช่วยเหลืออย่างแน่นอน ดังนั้นอวี้อ๋องจึงไล่คุณชายปู้ออกจากจวนอ๋องอย่างไม่ปรานี
ที่แท้ที่บอกว่าหวงแหนความสามารถนั้นเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ…
ฉินฮุยที่อยู่ข้างๆ อายุเกือบห้าสิบปีแล้ว แม้ว่าจะยังคงเป็นฝู่เฉิงระดับสี่ แต่ก็นับว่าเป็นผู้มีประสบการณ์เก่าแก่ในตำแหน่งขุนนาง รีบลุกขึ้นแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ยินดีกับใต้เท้า พึ่งจะเข้ารับตำแหน่งก็ได้รับผู้ที่มีความสามารถมาเป็นผู้ช่วย” แน่นอนว่าฉินฮุยรู้จักปู้อวี้ถัง การที่มีองค์ชายสิ้นพระชนม์ในพื้นที่ที่ตัวเองปกครองแล้วยังสามารถหนีเอาชีวิตรอดเข้ามาเป็นรองหัวหน้าผู้ดูแลจวนอวี้อ๋องได้ ประสบการณ์ชีวิตของปู้อวี้ถังนับว่าเป็นตำนานไปแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือกู้หลิวอวิ๋นพึ่งจะเข้ารับตำแหน่ง อวี้อ๋องก็รีบส่งคนอย่างปู้อวี้ถังมาเป็นผู้ช่วย เห็นได้ว่าอวี้อ๋องให้ความสำคัญกับใต้เท้ากู้ อย่าลืมว่าปู้อวี้ถังอายุยังน้อย หากไม่นับเรื่องความโชคดี ผลการสอบก็นับว่ายอดเยี่ยมเสมอมา หากไม่ใช่เพราะเหตุการณ์ขององค์รัชทายาทเต้ากงในครั้งนั้น เกรงว่าอนาคตของเขาคงจะสดใสอย่างมาก
แน่นอนว่ามู่ชิงอีมองเห็นความไม่เต็มใจจางๆ ในสายตาของฉินฮุย ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจเอ่ย “ขอบคุณคำอวยพรของใต้เท้าฉิน ข้าพึ่งจะเข้ารับตำแหน่งมีหลายเรื่องที่ยังไม่คุ้นเคย แต่ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือภัยพิบัติหิมะนอกเมืองกับความปลอดภัยของราษฎร นอกจากนี้ยังมีความเสียหายของพืชผลทางการเกษตรและมาตรการในการแก้ไขพายุหิมะครั้งนี้ ทั้งหมดนี้…ต้องรบกวนให้ใต้เท้าฉินเขียนรายงานให้ข้าดูสักหน่อยจะได้หรือไม่”
ฉินฮุยอดสำลักไม่ได้ เดิมทีเขาคิดว่ากู้หลิวอวิ๋นเป็นเพียงคุณชายร่ำรวยที่โง่เขลา แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดถึงประเด็นสำคัญทันทีที่เอ่ยปาก นับว่ามีการจัดการอย่างชัดเจนมากกว่าขุนนางที่รับผิดชอบมานานกว่าสิบปี และในเมื่อมอบหมายงานทุกอย่างให้เขา แน่นอนว่าเขาไม่สามารถปฏิเสธได้ ขุนนางใหม่ที่เข้ารับตำแหน่งผู้ว่าการยังไม่รู้อะไร หากมีความผิดอะไรเกิดขึ้นย่อมเป็นความผิดของเขาที่เป็นรองผู้ว่าการ
“น้อมรับคำสั่งใต้เท้า” ฉินฮุยทำได้เพียงกล่าวด้วยความนอบน้อม
มู่ชิงอียิ้มอย่างอ่อนโยน “เช่นนั้นก็รบกวนใต้เท้าฉินแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วน รีบดำเนินการโดยเร็วที่สุด นอกจากนี้ส่งเอกสารทั้งหมดของที่ว่าการเฟิ่งเทียนในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมาไปที่ห้องตำราของข้าด้วย”
ฉินฮุยตกตะลึง “ยี่สิบปี? ใต้เท้า เรื่องเหล่านั้นนานเกินไปที่จะต้องเอามาเป็นกังวลแล้วกระมัง” แม้ว่าขุนนางที่เคยดำรงตำแหน่งจะมีธรรมเนียมในการตรวจสอบเอกสารฉบับก่อนๆ แต่ต้องการตรวจสอบยี่สิบปีในคราวเดียวก็นับว่านานเกินไป อย่าว่าแต่เอกสารของรุ่นที่แล้ว รุ่นก่อนๆ ก็มีทั้งหมด ยี่สิบปีมานี้ที่ว่าการเฟิ่งเทียนได้เปลี่ยนผู้ว่าการอย่างน้อยสิบกว่าคนแล้ว
มู่ชิงอียิ้มแผ่วเบา “เดิมทีข้าไม่ใช่คนแคว้นเย่ว์ เพียงเพราะพระมหากรุณาธิคุณของฮ่องเต้จึงได้มาเป็นผู้ว่าการเฟิ่งเทียน หากดูข้อมูลเพิ่มเติมสักหน่อยก็จะเข้าใจขนบธรรมเนียมชีวิตความเป็นอยู่ของคนในเมืองหลวงแคว้นเย่ว์”
“เช่นนี้นี่เอง” ฉินฮุยรีบตอบตกลง “ผู้น้อยจะให้คนจัดการแล้วนำไปส่งให้ใต้เท้าประเดี๋ยวนี้”
“รบกวนด้วย”
ฉินฮุยถอยออกมาอย่างนอบน้อม ยืนอยู่ที่หน้าประตูพลางยกมือลูบหน้าผากโดยไม่รู้ตัว เม็ดเหงื่อเย็นๆ บนหน้าผากของเขาทำให้ฉินฮุยแอบรู้สึกตกใจ ผู้ว่าการคนใหม่อายุเพียงสิบสี่สิบห้าปี แต่กลับให้ความรู้สึกกดดันแก่เขายิ่งกว่าผู้ว่าการคนก่อนเสียอีก ลูกคิดเล็กๆ ที่แอบคำนวณอยู่ในใจของเขาได้ถูกฝังลงไปในส่วนลึกของหัวใจโดยไม่รู้ตัว ไม่กล้าเคลื่อนไหวตามใจชอบ
แต่ว่า…หันกลับไปมองคนสองคนที่กำลังพูดคุยกันอย่างยิ้มแย้มในห้องโถงใหญ่ ปีนี้เขาอายุสี่สิบเก้าปีแล้ว เขาได้ใช้เวลามาสิบปีกับตำแหน่งรองผู้ว่าการนี้ เดิมทีคิดว่าหลังจากอดีตผู้ว่าการถูกสั่งประหาร ในที่สุดก็จะถึงตาของตัวเองที่จะได้เป็นผู้ว่าการ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะส่งชายหนุ่มอายุสิบกว่าปีมา หรือว่าเขายังต้องรอไปอีกสิบปี?
ในห้องโถง ปู้อวี้ถังมองฉินฮุยที่เดินออกไปอย่างครุ่นคิด “คนผู้นี้มีความคิดแอบแฝง ใต้เท้าระวังไว้ด้วยจะดีกว่า”
มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “อวี้ถัง ท่านอย่าเรียกข้าว่าใต้เท้าเลย ฟังแล้วรู้สึกอึดอัด”
ปู้อวี้ถังเองก็ไม่ได้ใส่ใจ เขาไม่ใช่ขุนนางอย่างเป็นทางการแล้ว ย่อมไม่จำเป็นต้องเรียกตำแหน่งทางการ จึงไหลไปตามน้ำ “คุณชาย”
มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “ข้าอายุน้อยกว่าท่านหลายปี เรียกชื่อข้าเฉยๆ หรือเรียกว่าจื่อชิงก็ได้” ปู้อวี้ถังลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวขึ้นมาว่า “ตำแหน่งสูงต่ำนั้นแตกต่างกัน เรียกคุณชายดีกว่า” แม้ว่าคุณชายกู้จะเป็นคนสบายๆ แต่คนผู้นั้นที่อยู่ในจวนอวี้อ๋องไม่ใช่เจ้านายที่เรียบง่าย สัญชาตญาณของการเป็นขุนนางมาหลายปีบอกกับตัวเองว่าหากตีสนิทคุณชายกู้มากเกินไป…อาจจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นได้
เมื่อนึกถึงท่าทางขึงขังของใครบางคน มู่ชิงอีจึงไม่ได้เซ้าซี้ปู้อวี้ถัง แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เรื่องของฉินฮุยผู้นี้ไม่ต้องกังวล หากที่ว่าการเฟิ่งเทียนต้องการให้ข้าแก้ไขอย่างไม่มีช่องโหว่จริงๆ…คนอื่นต่างหากที่จะต้องกังวลเรื่องนี้”
ปู้อวี้ถังเข้าใจในทันที เหลือบมองไปยังทิศทางใจกลางเมืองอย่างคลุมเครือพลางยิ้มเอ่ย “ข้าอายุมากกว่าหลายปีกลับพิจารณาได้ไม่รอบคอบเท่าคุณชาย” มู่ชิงอียิ้มอย่างเก้อเขิน เอ่ยเสียงเรียบว่า “ไม่หรอก เพียงแค่…คิดมากไปเท่านั้น” ยิ่งผ่านประสบการณ์มามากมาย ก็ย่อมคิดมากเป็นธรรมดา แม้ว่าปู้อวี้ถังจะเคยมีประสบการณ์เข้าเรือนจำ แต่เมื่อเทียบกับทุกอย่างที่ตระกูลกู้ประสบพบเจอ นั่นเลยไม่นับว่าเป็นปัญหา แน่นอนว่าเขาย่อมไม่เข้าใจว่าทำไมมู่ชิงอีถึงได้พิจารณาอย่างรอบคอบทั้งที่อายุยังน้อย
ปู้อวี้ถังพยักหน้าเอ่ย “หมายความว่าการที่คุณชายอ่านเอกสารในช่วงที่ยี่สิบปีที่ผ่านมานั้นมีความหมายแอบแฝงอย่างนั้นน่ะหรือ”
มู่ชิงอีจ้องไปที่เขา เอ่ยเสียงเรียบ “ก็ไม่ได้มีความหมายอะไรแอบแฝง เพียงแค่…อยากจะตรวจสอบอะไรบางอย่างก็เท่านั้น”
เข้าราชสำนักมาเป็นขุนนางนั้นไม่ได้ง่ายอย่างที่หลายคนคิด แต่ความจริงแล้วก็ไม่ได้ยากขนาดนั้น เพราะว่ามีปู้อวี้ถังคอยแอบช่วยเหลือ เวลาสั้นๆ เพียงครึ่งเดือน มู่ชิงอีก็สามารถค่อยๆ จัดการดูแลทุกอย่างในที่ว่าการเฟิ่งเทียนได้แล้ว ด้วยเหตุนี้โลกนี้มักจะกล่าวเสมอว่าสตรีสามารถอยู่ได้เพียงในห้องเท่านั้น ไม่สามารถทำเรื่องใดๆ สำเร็จได้ ซึ่งจริงๆ แล้วไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย การที่จะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้หรือไม่นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเป็นหญิงหรือชาย แต่ขึ้นอยู่กับความสามารถและความรู้ของคนผู้นั้นต่างหาก
เพิ่มขนาดช่อง ดึงมุมขวามือลง