หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 438 ขุนนางใหม่เข้ารับตำแหน่ง(4)
ชายหนุ่มที่อายุสิบกว่าปีได้เข้ารับตำแหน่งทำหน้าที่ได้เร็วเช่นนี้ ทำให้ผู้ที่รอดูสถานการณ์ล้วนผิดหวัง ทำได้เพียงถอนหายใจและยอมรับว่าฝ่าบาทนั้นมีพระปรีชาและสกุลกู้ก็มีความสามารถจริงๆ
ในทางกลับกันฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ก็ยึดมั่นในคำพูดเรื่องมอบหมายกิจการบางอย่างของราชสำนักให้หรงจิ่นจัดการ สิ่งนี้ทำให้หลายคนที่เดิมทีมุ่งความสนใจไปที่มู่ชิงอีหันมาสนใจหรงจิ่น อย่างไรเสียเมื่อเทียบกับอวี้อ๋อง เห็นได้ชัดว่ากู้หลิวอวิ๋นนั้นไม่มีความสำคัญพอให้จับตามอง
และหรงจิ่นที่เคยเกียจคร้านและไร้ประโยชน์ ได้จัดการสิ่งที่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์มอบหมายให้ได้อย่างเหมาะสม ควันดินปืนที่มองไม่เห็นค่อยๆ ลอยขึ้นในราชสำนักชั่วขณะหนึ่ง
ในห้องตำราที่ว่าการเฟิ่งเทียน มู่ชิงอีกำลังจมอยู่ในกองเอกสารกองใหญ่ ที่หน้าต่างด้านข้างซึ่งอยู่ไม่ไกล เซี่ยซิวจู๋กำลังถือม้วนตำราการทหารและดูอย่างตั้งใจ ข้างนอกห้องยังคงหนาวเหน็บและมีลมแรง ตอนกลางคืนไร้ซึ่งดวงดาว แต่ห้องตำรากลับอบอุ่นและเงียบสงบ
“จื่อชิง!” เสียงของหรงจิ่นดังมาจากนอกประตู มู่ชิงอีเงยหน้าขึ้นก็เห็นหรงจิ่นที่สวมชุดสีดำเดินเข้ามาด้วยท่าทางเหนื่อยล้า
มู่ชิงอีเงยหน้าขึ้น ใบหน้าแฝงไว้ด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “ไปไหนมาหรือ เหตุใดจึงได้กลับมาเอาป่านนี้เล่า”
หรงจิ่นสบถด้วยท่าทางไม่พอใจ ดึงมู่ชิงอีให้ลุกขึ้น “ตาเฒ่าให้ข้าออกไปจัดการงานนอกเมืองหลวงจะได้ออกไปเดินเล่นในสถานที่อื่นบ้าง เจ้ากำลังดูอะไรอยู่หรือ ดึกขนาดนี้แล้วยังไม่กลับจวนอีก”
มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “ไม่มีอะไรเพคะ ก็แค่ดูไปเรื่อยเปื่อย ฝ่าบาททรงคิดอะไรอยู่ถึงได้ส่งท่านออกไปทำงานนอกเมืองหลวง” เมื่อก่อนต่อให้หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ให้หรงจิ่นเข้ามาเกี่ยวข้องเรื่องราชสำนัก แต่ตอนนี้กลับให้หรงจิ่นออกไปทำงานนอกเมืองหลวง เมื่อก่อนมีท่าทีไม่วางใจหรงจิ่น แต่ตอนนี้กลับดูวางใจมากเกินไป โบราณกล่าวไว้ว่าสิ่งผิดปกติย่อมมีบางอย่างแอบแฝงอยู่
หรงจิ่นยิ้มอย่างเย็นชา “ครั้งที่แล้วที่พวกเราออกจากเมืองหลวงได้สลัดคนที่ติดตามมาไม่ใช่หรือ ตาเฒ่าคงจะสงสัยกระมัง คราวนี้จึงแอบส่งคนติดตามข้า”
“เช่นนั้นท่านทำอย่างไร” มู่ชิงอีถามพลางขมวดคิ้ว หรงจิ่นยิ้มกว้างจนเห็นฟัน “ข้าพาพวกเขาเดินอ้อมไปหนึ่งรอบ นี่…ข้าตั้งใจไปซื้อที่ชิงโจวมาให้ชิงชิง” หรงจิ่นดึงเจ้าตัวเล็กที่มีขนยาวออกมาจากเสื้อคลุมอย่างมีความสุข
มู่ชิงอีรับมาด้วยความประหลาดใจ มองดูอยู่นานก่อนจะกล่าวด้วยความสงสัย “นี่คือ…จิ้งจอกหรือ” มันดูเหมือนสุนัขจิ้งจอกมากแม้ว่ามันจะเล็กกว่าสุนัขจิ้งจอกทั่วไปก็ตาม แต่สีขนนี้…ขนสีแดงเพลิงทั้งตัว ต่อให้เป็นจิ้งจอกแดงก็เกรงว่าจะไม่ได้มีสีแดงเช่นนี้
หรงจิ่นยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “นี่ไม่ใช่จิ้งจอกแดงธรรมดา นี่คือจิ้งจอกเพลิง พบได้เฉพาะในภูเขาลึกของชิงโจว ดูสิเวลากอดรู้สึกอบอุ่นเป็นอย่างมากใช่หรือไม่ ได้ยินว่าผู้ที่มีความเย็นในร่างกายเมื่อได้ทานเนื้อจิ้งจอกเพลิงก็จะช่วยปรับความเย็นในร่างกายได้ ชิงชิงอยากลองทานหรือไม่ หากได้ผล คราวหน้าพวกเราค่อยไปจับอีก”
“อิ๋ง อิ๋ง...” ไม่รู้ว่าฟังคำพูดของหรงจิ่นเข้าใจหรือว่าสัมผัสได้ถึงแววตาที่ไม่เป็นมิตรของหรงจิ่น เจ้าตัวน้อยที่พึ่งเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของมู่ชิงอีส่งเสียงร้องพลางมุดเข้าไปในอ้อมแขน หรงจิ่นที่มองอยู่เผยให้เห็นความเยือกเย็นในสายตาอยู่ครู่หนึ่ง แยกเขี้ยวใส่เจ้าตัวน้อย “ดูมันเดินทางมาไกลเช่นนี้ก็ยังดูมีเรี่ยวมีแรงขนาดนี้ หากได้ทานรสชาติต้องดีมากแน่ๆ”
มู่ชิงอีรู้สึกเอือมระอา กอดเจ้าตัวเล็กที่ขนสีแดงดั่งเปลวไฟแล้วหันหนีสายตาของหรงจิ่น “อย่าทำให้มันตกใจสิ ท่านไปถึงชิงโจวเพื่อหาสิ่งนี้อย่างนั้นน่ะหรือ”
หรงจิ่นยักไหล่ “มีคนติดตามเป็นขบวน ข้าก็ทำอะไรไม่ได้อย่างนั้นหรือ จะว่าไปแล้วก็ต้องขอบคุณคนเหล่านั้นที่ทำให้ข้าจับเจ้าตัวนี้ได้”
มู่ชิงอีเลิกยิ้มอย่างลำบากใจ คนเหล่านั้นที่ถูกฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ส่งไปติดตามหรงจิ่นจะต้องรู้สึกเบื่ออย่างมากแน่ๆ ไม่เพียงแต่ไม่พบสิ่งใดซ้ำยังถูกใช้ให้จับสุนัขจิ้งจอก ไม่รู้ว่าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ที่อยู่ในวังตอนนี้จะมีสีหน้าอย่างไร
หรงจิ่นนั่งลงอย่างเกียจคร้านบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ ถามอย่างเหนื่อยล้าว่า “หลายวันมานี้มีความเคลื่อนไหวอะไรหรือไม่” คำถามนี้กลับถามกับเซี่ยซิวจู๋ที่อยู่ข้างๆ
เซี่ยซิวจู๋ปิดตำราม้วนในมือพลางเอ่ยเสียงเรียบว่า “มีเพียงแค่ลูกสมุนเล็กๆ แค่จัดการไล่ไปก็พอแล้ว”
หรงจิ่นพยักหน้า มีเซี่ยซิวจู๋อยู่ หากพวกเขาไม่ใช่ผู้มีฝีมือขั้นสูงก็นับว่าไม่ใช่ปัญหาอะไร หากพี่น้องของเขามีผู้ที่มีฝีมือขั้นสูงเช่นนี้ก็ไม่จำเป็นส่งใครมาทดสอบชิงชิงแล้ว
เซี่ยซิวจู๋มองหรงจิ่น เก็บตำราในมือแล้วลุกขึ้นเอ่ย“ในเมื่อท่านอ๋องมาแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อน”
เมื่อเห็นเซี่ยซิวจู๋เดินออกไป หรงจิ่นก็ส่ายหน้าเอ่ย“ดูเหมือนว่าสหายเซี่ยจะมีข้อผูกมัดอยู่บ้าง” หรงจิ่นก็ไม่ใช่ผู้ที่ไม่เห็นคนอื่นในสายตาคิดว่าตัวเองไม่มีใครเทียบได้ เพียงแต่มารยาทของเขาจะมีต่อคนที่ตัวเองเห็นชอบและคนที่สามารถทำให้เขายอมรับในความสามารถได้ และเห็นได้ชัดว่าเซี่ยซิวจู๋เป็นคนผู้นั้น
มู่ชิงอีรู้สึกระอาใจ ส่ายหน้าเอ่ย “ซิวจู๋เติบโตที่แคว้นหวา ญาติพี่น้องและสหายของเขาอยู่ที่นั้นทั้งหมด ตอนนี้ถูกบังคับให้มาอยู่แคว้นเย่ว์ เกรงว่าเขาคงจะยังไม่คุ้นเคย”
หรงจิ่นเลิกคิ้วเอ่ย“ข้าเห็นว่าเขากำลังอ่านตำราการทหารอยู่”
มู่ชิงอีมองเขาเหมือนยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้ม กล่าวว่า “ซิวจู๋เคยกราบไหว้อานซีจวิ้นอ๋องเป็นอาจารย์ แน่นอนว่าไม่ได้ร่ำเรียนเพียงวิชาการต่อสู้เท่านั้น หากจะอ่านตำราการทหารก็คงไม่แปลก เพียงแต่ว่า…ท่านคงไม่ได้ต้องการรับเขาไว้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาหรอกกระมัง นั่นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”
คนอื่นมองเซี่ยซิวจู๋ดูเหมือนจะอ่อนโยนไม่ชิงดีชิงเด่นกับใคร ปรับตัวไปตามสถานการณ์ แต่ความจริงแล้วเขาเป็นคนหัวแข็งเป็นอย่างมาก มิเช่นนั้นด้วยวรยุทธของเขาไม่ว่าจะไปที่ไหนก็สามารถอยู่ได้อย่างสบาย เหตุใดจึงต้องขังตัวเองไว้ในวังหลวงแคว้นหวามาหลายปีเพื่อตอบแทนบุญคุณของฮ่องเต้แคว้นหวาเช่นนี้ ตอนนี้ก็ถูกขังไว้ในแคว้นเย่ว์เป็นองครักษ์ประจำตัวนางเพราะบุญคุณที่หรงจิ่นช่วยชีวิตไว้
คนเช่นนี้โดยทั่วไปจะอ่อนโยนและไม่เป็นอันตราย แต่เมื่อใดที่ไปละเมิดขอบเขตขอบเขา เขาก็จะดื้อรั้นจนทำให้รู้สึกโมโหจนแทบจะเอาหัวชนฝา
หรงจิ่นเดินไปหามู่ชิงอี เอนตัวพิงพนักเก้าอี้แล้วเอื้อมมือไปดึงเจ้าตัวเล็กที่อยู่ในอ้อมแขนของนางออกมา “จงสงบลงเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นข้าจะเอาเจ้าไปตุ๋น”
“อิ๋ง อิ๋ง อิ๋ง...” เห็นได้ชัดว่าจิ้งจอกเพลิงน้อยกลัวหรงจิ่น ดิ้นไปมาอย่างบ้าคลั่งในมือของเขา รูปร่างเล็กๆ ของมันจะดิ้นหลุดจากมือของหรงจิ่นได้อย่างไร “อาวู่ววว...” ทำได้เพียงมองมู่ชิงอีอย่างน่าสงสารด้วยดวงตาที่เปียกโชก
สตรีมักอ่อนโยนต่อสัตว์น้อยน่ารักเสมอ เมื่อเห็นว่าขนสีแดงแวววาวนั้นดูเหมือนจะสูญเสียความแวววาวไป มู่ชิงอีจึงตีมือหรงจิ่นด้วยความรู้สึกสงสารเจ้าตัวน้อยแล้วอุ้มมันมาไว้ในอ้อมแขนอย่างระมัดระวัง ค่อยๆลูบหูเล็กๆ ของมันพลางเอ่ยปลอบ “เด็กดี ไม่ต้องกลัว…”
“วู่ววว...” จิ้งจอกน้อยเลียนิ้วมือของมู่ชิงอีอย่างเชื่อฟัง ซ้ำยังเอาหน้าเล็กๆ ของมันไปวางไว้บนมือของนาง ท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูเป็นอย่างมาก
“ฮ่า ฮ่า…” เมื่อเห็นเจ้าตัวเล็กท่าทางเชื่อฟังเช่นนี้ มู่ชิงอีก็อดยิ้มไม่ได้
“เหอะ! ชิงชิง…” องค์ชายเก้ากัดฟัน ของขวัญที่มอบให้ชิงชิงกลับขโมยความสนใจของชิงชิงที่มีต่อตัวเองไป นี่นับว่าเป็นการยกก้อนหินแล้วหล่นทับเท้าตัวเองใช่หรือไม่
มู่ชิงอีเองก็รู้ถึงขอบเขตความพอดี เพื่อไม่ให้ใครบางคนโกรธขึ้นมาจริงๆ จนอาศัยโอกาสที่นางไม่ทันระวังเอาเจ้าจิ้งจอกน้อยไปตุ๋น