หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 441 กระบี่ล้ำค่ามอบแก่วีรบุรุษ(3)
“นี่คือ…” หนานกงอี้ที่อยู่ข้างๆ สี่หน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ยืนขึ้นสัมผัสกระบี่ในมือของหนานกงอวี้เบาๆ กระบี่เป็นบรรพบุรุษของทหารนับร้อย แม้ว่าจะเป็นที่รู้จักในฐานะวีรบุรุษ แต่ก็ยังคงเป็นอาวุธสังหารคน และทำให้คนรู้สึกได้ถึงความเมตตากรุณาอย่างแท้จริงไม่ใช่กระบี่ล้ำค่าแหลมคมที่มีไอสังหาร ตั้งแต่โบราณมาจนถึงปัจจุบันเลยพบเห็นได้ยากนัก หลังจากเงียบไปนานหนานกงอี้ก็พูดออกมาสองคำ “จ้านหลู นี่คือกระบี่จ้านหลู”
หนานกงอวี้มองกระบี่ในมือด้วยความตกอกตกใจ เมื่อได้สติกลับมาเขาก็รีบเก็บกระบี่ลงในฝักที่วางอยู่ตรงหน้าอย่างระมัดระวัง จ้านหลูเป็นกระบี่ที่มีชื่อเสียงสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ไม่มีกระบี่โบราณอื่นใดในวังหลวงของแคว้นเย่ว์ที่มีชื่อเสียงเท่ากับจ้านหลู แม้ว่าเขากับหลิวอวิ๋นจะคุยกันถูกคอ แต่มิตรภาพก็ไม่ได้ดีถึงขั้นให้ของล้ำค่าเช่นนี้
มู่ชิงอีเลิกคิ้วเอ่ย “หนานกงไม่ชอบกระบี่เล่มนี้หรือ”
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร” หนานกงอวี้รีบกล่าวทันที มีหรือที่เขาจะไม่ชอบกระบี่เล่มนี้ เขาแค่กลัวว่าตัวเองจะไม่คู่ควรกับกระบี่เล่มนี้
“หลิวอวิ๋น...กระบี่จ้านหลูเล่มนี้ล้ำค่ามากเกินไป ข้า…” หนานกงอวี้พูดอธิบาย มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “กระบี่จ้านหลูอยู่กับตระกูลกู้มานานกว่าสองร้อยปี น่าเสียดายที่ตระกูลกู้เป็นนักปราชญ์มาหลายชั่วอายุคน ทำให้กระบี่ล้ำค่าเล่มนี้ถูกฝุ่นเกาะกุม วันนี้มอบให้หนานกงแล้ว ข้าเชื่อว่าวันหนึ่งหนานกงจะกลายเป็นแม่ทัพที่มีชื่อเสียงไม่แพ้แม่ทัพใหญ่หนานกง แม่ทัพที่มีชื่อเสียงคู่กับกระบี่ที่มีชื่อเสียง เป็นการส่งเสริมซึ่งกันและกันไม่ใช่หรือ”
หนานกงอวี้ยิ้มอย่างลำบากใจ ‘เขาไม่เคยลงสนามรบเลยแม้แต่ครั้งเดียว จะเป็นแม่ทัพที่มีชื่อเสียงได้อย่างไร’
ราวกับเข้าใจความคิดของเขา มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “หากรอให้หนานกงกลายเป็นแม่ทัพที่ไม่มีใครเทียบได้แล้วค่อยมอบให้ จะไม่ดูเหมือนว่าข้ายึดติดในอำนาจหรือ เมื่อหนานกงมีชื่อเสียงแล้ว คนทั้งใต้หล้ารู้ว่าข้าเป็นคนมอบกระบี่ให้แม่ทัพหนานกง ก็นับว่าข้าเป็นคนมองการณ์ไกลไม่ใช่หรือ หรือว่า…หนานกงกังวลว่าข้าจะใช้สิ่งนี้มาขู่เข็ญหนานกง ให้ท่านต้องติดหนี้บุญคุณข้า?”
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร หลิวอวิ๋นไม่ใช่คนแบบนั้น” หนานกงอวี้กล่าวอย่างหนักแน่น มองไปที่มู่ชิงอีด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างจริงใจ แล้วมองดูกระบี่ล้ำค่าในกล่องที่วางอยู่บนโต๊ะ หนานกงอวี้สูดหายใจเข้าลึก เอื้อมมือไปจับกระบี่ยาวอีกครั้ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงกังวาล “เช่นนั้นก็ขอบคุณหลิวอวิ๋นที่มอบกระบี่ให้ข้า”
มู่ชิงอีพยักหน้าอย่างพอใจ ยิ้มเอ่ย “ต้องอย่างนี้สิ ผู้ชายอกสามศอกเหตุใดต้องอารมณ์อ่อนไหวเพราะสิ่งเร้ารอบกาย”
“น้องสอง…” หนานกงอี้ขมวดคิ้ว กระบี่จ้านหลูมีค่าเกินไป มิตรภาพระหว่างน้องสองกับกู้หลิวอวิ๋นนั้นดีกว่าคนที่บังเอิญรู้จักกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น การที่รับของขวัญล้ำค่าเช่นนี้สุ่มสี่สุ่มห้านั้นไม่สมควรอย่างยิ่ง
หนานกงอวี้เป็นคนง่ายๆ สบายๆ เมื่อเขาได้พบกับกู้หลิวอวิ๋นเป็นครั้งแรกก็เหมือนกับรู้จักกันมานาน แม้ว่ามู่ชิงอีจะให้เขายืมเงินหลายหมื่นตำลึงในคราวเดียวเขาก็ไม่ได้สงสัยเลยแม้แต่น้อย หากเปลี่ยนเป็นหนานกงอี้เกรงว่าคงจะครุ่นคิดว่ากู้หลิวอวิ๋นมีความรักเกลียดชอบชังกับตระกูลหนานกงหรือไม่
หนานกงอวี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น แม้ว่าหลังจากที่รู้ว่ากู้หลิวอวิ๋นเป็นสหายสนิทกับหรงจิ่นที่โกงเขา เขาก็ยังคงมองหรงจิ่นกับกู้หลิวอวิ๋นว่าแตกต่างกัน แม้ว่าเขาจะตกใจเมื่อเห็นกระบี่จ้านหลูเมื่อครู่นี้ แต่หลังจากที่เขารับของขวัญอันล้ำค่านี้ก็ไม่ได้คิดมากอีกต่อไป เพียงแต่ว่าน้ำใจนี้จะอยู่ในใจตลอดไป
“หลิวอวิ๋น ขอบใจเจ้ามาก” หนานกงอวี้กล่าวอย่างจริงใจ
มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “กระบี่ล้ำค่าควรมอบให้แก่ผู้ที่สามารถใช้มันได้อย่างดี สำหรับคนอย่างข้าต่อให้เป็นกระบี่ที่ล้ำค่ามากแค่ไหนก็เป็นเพียงของที่ถูกวางไว้เฉยๆ ในห้องตำราเท่านั้น” หนานกงอวี้จับกระบี่ในมือด้วยความหวงแหน พูดอย่างจริงจังว่า “หนานกงอวี้จะไม่ผิดต่อมิตรภาพที่หลิวอวิ๋นมอบกระบี่ให้ในวันนี้อย่างแน่นอน”
“เช่นนั้นก็ขอให้หนานกงได้รับชัยชนะในสนามรบโดยเร็ว” มู่ชิงอีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ในจวนแม่ทัพใหญ่หนานกง หนานกงเจวี๋ยนั่งอยู่ในห้องโถงมองดูบุตรชายทั้งสองเดินเข้ามาทีละคน แต่กลับเห็นว่าบุตรชายคนโตมีสีหน้าเคร่งขรึมและมีเรื่องเป็นกังวลอยู่ในใจ แต่บุตรชายคนรองกลับถือกระบี่อยู่ในมือด้วยใบหน้าที่มีความสุขและหวงแหน กล่าวด้วยความสงสัยว่า “เกิดอะไรขึ้น”
ตอนนี้หนานกงเจวี๋ยอายุเกือบหกสิบปีแล้ว ผมของเขากลายเป็นสีเทาไปนานแล้ว แต่สายตายังคงหลักแหลมไม่ด้อยไปกว่าเด็กหนุ่มเลย ในฐานะเทพสงครามอันดับหนึ่งของแคว้นเย่ว์ แม้ว่าเขาจะอายุเกือบหกสิบปีแต่โครงหน้ายังคงชัดเจนและเปล่งปลั่ง
หนานกงอี้เหลือบมองน้องชายอย่างไม่พอใจ แล้วหันไปนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้าง “ท่านพ่อก็ถามเขาดูสิ”
หนานกงเจวี๋ยเลิกคิ้ว สายตามองไปที่กระบี่ในมือของหนานกงอวี้ เขาชะงักไปครู่หนึ่ง “อวี้เอ๋อร์ เอากระบี่ในมือเจ้าให้ข้าดูหน่อย”
หนานกงอวี้ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะประคองกระบี่จ้านหลูด้วยมือทั้งสองข้างมาให้บิดา หนานกงเจวี๋ยถือไว้ในมือ ยังไม่ทันได้ชักกระบี่ออกจากฝักก็ชื่นชมว่าเป็นกระบี่ที่ดีแล้ว หนานกงอี้กล่าวเย้ยหยันเบาๆ “ไม่เพียงแต่เป็นกระบี่ที่ดี แต่ยังเป็นกระบี่ที่มีชื่อเสียงอีกด้วยขอรับ”
หนานกงเจวี๋ยค่อยๆ ชักกระบี่ออกจากฝัก ตัวกระบี่อบอุ่นหากไม่ใช่เพราะเนื้อเหล็กที่ใช้ทำตัวกระบี่เป็นสีดำ เขาเกือบจะคิดว่ามันเป็นดาบหยก แต่หยกจะแข็งแกร่งและคมเช่นนี้ได้อย่างไร แต่เหล็กจะยืดหยุ่นเช่นนี้ได้อย่างไร
“นี่คือกระบี่จ้านหลู?” หนานกงเจวี๋ยสูดลมหายใจเข้าลึก ในฐานะผู้บัญชาการทหารเขารู้สึกประหลาดใจกับกระบี่เล่มนี้มากกว่าหนานกงอี้ ในฐานะแม่ทัพที่มีชื่อเสียง สิ่งที่เขารักที่สุดในชีวิตคือกระบี่ล้ำค่ากับม้าดี แม้ว่าเขาจะเป็นหนานกงเจวี๋ยที่ไม่มีใครเทียบเทียมได้ แต่ชีวิตนี้กลับไม่เคยได้รับกระบี่ที่มีชื่อเสียงในใต้หล้าเช่นนี้
อวี้เอ๋อร์เป็นคนที่มีวาสนา หนานกงเจวี๋ยแอบทอดถอนใจ ยังไม่ทันได้ลงสนามรบก็มีกระบี่ล้ำค่าและม้าดีที่แม่ทัพผู้ต่อสู้ในสนามรบฝันถึงอยู่ในมือเขาแล้ว หากเขาไม่สามารถมีชื่อเสียงได้ในการรบเพียงคราวเดียว เกรงว่าคงบอกได้เพียงว่าหนานกงอวี้ไร้ความสามารถ แน่นอนว่าหนานกงเจวี๋ยรู้ว่าบุตรชายของเขาไม่ใช่คนที่ไร้ความสามารถอย่างแน่นอน
ผ่านไปครู่หนึ่ง หนานกงเจวี๋ยก็คืนกระบี่ให้หนานกงอวี้ เลิกคิ้วพลางถามว่า “ข้าจำได้ ดูเหมือนว่ากระบี่จ้านหลูควรจะอยู่ที่แคว้นหวา เหตุใดจึงมาอยู่ในมือเจ้า หรือว่า…กู้หลิวอวิ๋นมอบให้”
มีตระกูลที่มีชื่อเสียงมากมายในแคว้นหวา ตระกูลต้นกำเนิดที่มีชื่อเสียงเหล่านี้มักจะชอบสะสมของโบราณเพื่อแสดงถึงสถานะของตัวเอง และจ้านหลูก็เป็นหนึ่งในกระบี่ที่มีชื่อเสียงสืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่นซึ่งถูกรวบรวมโดยตระกูลกู้ในแคว้นหวา เพียงแต่ว่าหลังจากตระกูลกู้ถูกทำลายล้าง ผู้คนต่างก็คิดว่ากระบี่จะถูกเก็บไว้ในวังหลวงของแคว้นหวา คิดไม่ถึงว่าจะตกอยู่ในมือของหนานกงอวี้
หนานกงอวี้พยักหน้าพลางกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “ใช่แล้วขอรับ หลิวอวิ๋นเป็นคนมอบให้ข้า”
การตอบสนองของหนานกงเจวี๋ยกลับไม่มากเท่าหนานกงอี้ เพียงแค่กล่าวอย่างครุ่นคิดว่า “ในเมื่อใต้เท้ากู้มอบให้เจ้า เช่นนั้นก็เก็บไว้ให้ดี”
“ท่านพ่อ…” หนานกงอี้กล่าวอย่างลังเล กระบี่จ้านหลูไม่ใช่กระบี่เหล็กที่เพียงแค่ใช้เงินไม่กี่ตำลึงก็หลอมขึ้นมาได้ตามใจชอบ หากรับไว้ก็เท่ากับว่าตระกูลหนานกงติดหนี้บุญคุณอันใหญ่หลวงของกู้หลิวอวิ๋น น้องสองไม่เคยสนใจเรื่องบุญคุณคนมาแต่ไหนแต่ไร แต่พวกเขาไม่สนใจไม่ได้
หนานกงเจวี๋ยขมวดคิ้ว เดิมทีเขาก็เป็นแม่ทัพ ไม่ชอบกลอุบายเล็กๆ น้อยๆ เช่นกัน แต่น่าเสียดายที่สถานะในตอนนี้ของตระกูลหนานกงทำให้ต้องทำเช่นนี้ คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่หนานกงเจวี๋ยจะกล่าวว่า “ได้ยินว่าคุณชายกู้เป็นคนที่สง่างาม นำฉินเฟิ่งหมิงที่ท่านน้าของเจ้ามอบให้ส่งไปให้กู้หลิวอวิ๋นเถิด”
หนานกงอี้เงียบไป ฉินเฟิ่งหมิงเป็นฉินที่มีชื่อเสียงสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น เพียงแต่ว่าไม่มีชื่อเสียงเท่ากระบี่จ้านหลู แต่ในสายตาของผู้รู้หนังสือ ฉินเฟิ่งหมิงนั้นมีคุณค่าสูงกว่ากระบี่จ้านหลูที่พวกเขาใช้ไม่เป็นเสียอีก เดิมทีฮ่องเต้แคว้นเย่ว์มอบให้พระสนมหนานกงตอนที่ได้รับความโปรดปรานเมื่อนานมาแล้ว ต่อมาหนานกงเสียนอายุมากขึ้นนางจึงมอบฉินเฟิ่งหมิงให้กับหนานกงหย่าบุตรสาวคนเดียวของตระกูลหนานกงในวันเกิด และจะใช้เป็นสินสอดทองหมั้นของหนานกงหย่าในอนาคต