หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 443 การช่วยเหลือของเว่ยอู๋จี้ (1)
“สามารถดึงองค์ชายเก้าไปเป็นพรรคพวกได้ง่ายดายขนาดนั้นเชียวหรือ” มู่ชิงอีเลิกคิ้ว
หรงจิ่นยิ้มเอ่ย “ก่อนหน้านี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ก็ไม่ได้หมายความว่าตอนนี้จะทำไม่ได้ ก็เหมือนเมื่อก่อนเวลาที่ข้าไม่มีความสุขก็จะใช้แส้เฆี่ยนตี แต่ตอนนี้กลับทำได้เพียงเตะไปหนึ่งที”
มู่ชิงอีเข้าใจทันที ยิ้มเอ่ย “จะว่าไปช่วงนี้อารมณ์ขององค์ชายเก้าดีขึ้นเยอะเลย” อย่างน้อยช่วงนี้สถานการณ์ที่องค์ชายเก้าทำร้ายผู้คนทั้งในและนอกเมืองหลวงได้ลดลงมาก ดูเหมือนว่าชื่อเสียงอันตรายของอวี้อ๋องยังพอมีหวังที่จะเปลี่ยนเป็นดีได้ อย่างน้อยหลังจากเรื่องภัยพิบัติหิมะครั้งที่แล้ว ราษฎรทั่วไปยังคงรู้สึกซาบซึ้งต่อพระคุณขององค์ชายเก้า อย่างไรเสียต่อให้เมื่อก่อนอำนาจองค์ชายเก้าจะมากแค่ไหนก็ยังไม่ถึงขั้นทำร้ายราษฎรที่อยู่นอกเมืองหลายสิบลี้ได้
หรงจิ่นสบถเบาๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร จริงอยู่ว่าเขาเป็นคนอารมณ์ร้อน แต่เมื่อเขาสามารถควบคุมตัวเองได้อารมณ์ของเขาก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เห็น ความโหดร้ายและเอาแต่ใจเป็นเพียงเปลือกภายนอกเท่านั้น หากหรงจิ่นเป็นคนประเภทที่ไม่มีสมอง เอาแต่ทุบตีผู้คนและสร้างปัญหา เขาก็คงไม่มีวันนี้ ตอนนี้ได้เริ่มเข้าไปข้องเกี่ยวกับการฟาดฟันในราชสำนักแล้ว แน่นอนว่าต้องยับยั้งความใจร้อนในอดีต
“หนานกงอี้ต้องการดึงองค์ชายเก้ามาเป็นพรรคพวก แล้วองค์ชายเก้าเต็มใจให้เขาดึงไปเป็นพรรคพวกหรือไม่” มู่ชิงอีถามด้วยรอยยิ้ม หรงจิ่นเลิกคิ้วพลางเอ่ยด้วยความรังเกียจ “หากเขาน่าสนใจ ข้าก็จะฝืนใจให้เขาดึงไปเป็นพรรคพวก”
เมื่อได้ยินดังนั้นมือของมู่ชิงอีก็หยุดลงพลางมองไปที่เขาด้วยความประหลาดใจ หรงจิ่นเอ่ย “ทำไมชิงชิงมองข้าเช่นนั้นเล่า”
มู่ชิงอีขมวดคิ้วพลางครุ่นคิด กล่าวว่า “การที่มู่หรงอวี้พึ่งพาหรงเหยี่ยนนั้นมีผลกระทบมากขนาดนั้นเชียวหรือ” ผลกระทบมากจนหรงจิ่นไม่ลังเลที่จะโอนเอนไปทางหรงเซวียนเพื่อปรับสมดุลตำแหน่งระหว่างหรงเซวียนกับหรงเหยี่ยนอีกครั้ง
หรงจิ่นกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “การที่มู่หรงอวี้พึ่งพาหรงเหยี่ยนนั้นย่อมไม่ได้มีผลกระทบมากนัก แต่หากหรงไหวแพ้ คนที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือหรงเหยี่ยน หรงเซวียน หรงหวง และหรงไหวต่างก็มีความแค้น หากหรงไหวพ่ายแพ้ คนเก่าคนแก่ในจวนจื้ออ๋องและจวนฉินอ๋องส่วนใหญ่คงจะนึกถึงหรงเหยี่ยน เมื่อถึงเวลานั้น…อำนาจของหรงเซวียนจะอ่อนแอลงอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าตระกูลมารดาของหรงเซวียนจะไม่มีอำนาจ แต่ตระกูลหนานกงก็ไม่มีความได้เปรียบในราชสำนัก ตาเฒ่าชื่นชอบการถ่วงดุลอำนาจไม่ใช่หรือ ข้าจะช่วยเขาทำให้มันสมดุลเอง”
มู่ชิงอีเลิกคิ้วพลางยิ้มเย้ยหยัน ความสมดุลของสามก๊กนั้นแตกต่างจากความสมดุลของสองก๊กอย่างสิ้นเชิง เริ่มแรกนั้นมั่นคงแต่ภายหลังกลับอันตรายมาก เพียงแค่ความผิดพลาดเล็กน้อยในด้านใดด้านหนึ่งจะทำให้สถานการณ์ทั้งหมดแย่ลง แต่ว่า… “ตอนนี้หรงไหวก็ยังดีอยู่ ท่านก็คิดไปถึงอนาคตแล้ว องค์ชายเก้าระวังว่าคิดมากไปจะแก่เกินวัยเพคะ”
หรงจิ่นยิ้มเอ่ย “หรือว่าชิงชิงคิดไม่ถึง”
มู่ชิงอีถอนหายใจเอ่ย “ไม่ใช่ว่าคิดไม่ถึง เพียงแต่…” คิดเรื่องนี้ในตอนนี้จะถือว่าเร็วเกินไปหรือไม่ แม้ว่าดูเหมือนหรงไหวจะกำลังตกอยู่ในอันตราย แต่หากฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เปลี่ยนใจหรือตัดสินใจอย่างแน่วแน่ที่จะสนับสนุนเขา เกรงว่าการที่จะล้มหรงไหวนั้นไม่ง่ายเลย
ความเย็นชาผ่านเข้ามาในสายตาของหรงจิ่นอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยๆ ยกมุมปากที่แฝงไว้ด้วยไอสังหาร ยิ้มพลางเอ่ยเสียงเรียบว่า “ดังนั้นพวกเราก็ต้องช่วยเขา…ให้เขาเดินทางที่ตัวเองควรจะเดินให้สำเร็จโดยเร็ว จะได้ไปพบกับเสด็จพ่อของเขา เสด็จพี่ของข้าจะได้ไม่ต้องรอนาน”
เมื่อเทียบกับหรงหวงและหรงเซวียนแล้ว คนที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงอย่างหรงไหวสมควรตายยิ่งกว่า!
หรงไหวผู้น่าสงสารที่มีความเย่อหยิ่งนั้นไม่รู้อะไรเลย เมื่อเขาทำตัวโอหังหาเรื่องหรงจิ่นและมู่ชิงอี เขาก็ได้ทำให้ตัวเองต้องเดินบนเส้นทางที่หันหลังกลับไม่ได้แล้ว แต่ไหนแต่ไรองค์ชายเก้าหรงก็ไม่เคยเป็นคนใจกว้าง
“ท่านพูดถูกแล้ว” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง มู่ชิงอีก็กล่าวพลางพยักหน้าเล็กน้อย ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะขมวดคิ้วพลางถามว่า “สุขภาพฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง”
หรงจิ่นประหลาดใจเล็กน้อย “ชิงชิงถามถึงเรื่องนี้ทำไม”
มู่ชิงอีกล่าวว่า “ฝ่าบาทอายุมากแล้ว หากเกิดเรื่องหลายครั้งติดต่อกันเข้า…ย่อมต้องพิจารณาสุขภาพของฝ่าบาท”
หรงจิ่นตระหนักได้ทันที ยิ้มเย้ยหยันเอ่ย “เกรงว่าชิงชิงจะคิดมากไป ข้าว่า…ต่อให้บรรดาองค์ชายตายหมด ตาเฒ่าก็ไม่มีทางได้รับผลกระทบทางจิตใจแม้แต่น้อย อย่างมากก็แค่เริ่มพิจารณาเรื่องที่จะให้หลานชายสืบราชบัลลังก์”
มู่ชิงอีส่ายหน้า กล่าวว่า “คนไม่ใช่ต้นไม้ใบหญ้า จะไร้ความรู้สึกได้อย่างไร” แม้ว่าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์จะไม่สนใจบรรดาบุตรชายจริงๆ แต่ก็ไม่มีทางถึงขั้นไม่รู้สึกอะไร
“เช่นนั้นก็รอดูไปเถิด” หรงจิ่นกล่าวด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงของเขาแฝงไว้ด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย ราวกับว่ารู้สึกสนใจเป็นอย่างมากหากสมมุติว่าบรรดาองค์ชายสิ้นพระชนม์จนหมด ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์จะเสียพระทัยหรือไม่
เมื่อรู้ถึงปมในใจของเขา มู่ชิงอีก็ทำได้เพียงแอบถอนหายใจ เด็กที่โตในตระกูลราชวงศ์มักจะไม่ค่อยปกติ และหรงจิ่น...น่าจะเป็นคนที่ผิดปกติที่สุดในบรรดาพวกเขาทั้งหมด
ในชั่วพริบตาก็มาถึงวันแต่งงานของมู่หรงอวี้กับผิงหูจวิ้นจู่ พึ่งจะต้นเดือนสอง ยังคงเป็นต้นฤดูใบไม้ผลิที่อากาศหนาว จวนอานซุ่นจวิ้นอ๋องในเมืองหลวงมีชีวิตชีวาและครึกครื้นเป็นอย่างมาก ความจริงแล้วในช่วงฤดูหนาวนี้จวนอานซุ่นจวิ้นอ๋องนับว่าไม่เงียบเหงาเลย ในตอนนี้ทั้งเมืองหลวงมีใครบ้างที่ไม่รู้ว่าจวนของอานซุ่นจวิ้นอ๋องมีหมอหลายท่านมีทักษะการรักษาดีกว่าหมอหลวงในวังเสียอีก และในบรรดาหมอยังมีหญิงสาวนามว่าหลิงซูที่รู้จักกันในนามมืออันบริสุทธิ์ของพระแม่กวนอิมแห่งยุทธภพ ฤดูหนาวเป็นฤดูที่บรรดาชนชั้นสูงในเมืองหลวงเจ็บป่วยได้ง่าย ดังนั้นจวนอานซุ่นจวิ้นอ๋องจึงเต็มไปด้วยแขกเหรื่ออยู่เสมอ เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะมีสักกี่คนที่ยอมรับความเจตนาดีของอานซุ่นจวิ้นอ๋อง
“ใต้เท้ากู้” ทันทีที่มู่ชิงอีก้าวเข้ามาในจวนอานซุ่นจวิ้นอ๋องก็ได้ยินเสียงบุรุษที่คุ้นเคยดังขึ้นจากทางด้านหลัง ใบหน้างดงามปรากฏรอยยิ้มที่ดูลำบากใจ เมื่อหันหลังกลับมาเผชิญหน้ากลับเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่สดใส กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ใต้เท้าหนานกง”
หนานกงอี้มองดูชายหนุ่มชุดขาวที่อยู่ตรงหน้าเขาด้วยความสงสัย เลิกคิ้วพลางถามว่า “ใต้เท้ากู้กับน้องสองได้มีโอกาสเจอกันเพียงไม่กี่ครั้ง แต่กลับแลกเปลี่ยนสิ่งของล้ำค่าซึ่งกันและกันได้ มิตรภาพของข้ากับใต้เท้ากู้ก็ไม่ได้น้อยไปกว่าน้องสองไม่ใช่หรือ หรือว่าใต้เท้ากู้มีความเห็นใดเกี่ยวกับข้า”
มู่ชิงอีแอบถอนหายใจอย่างเอือมระอา ถูกคนปากเสียอย่างหรงจิ่นพูดถูกจนได้ หลังจากที่หนานกงอวี้ไปชายแดน มู่ชิงอีก็ตระหนักได้ทันทีว่าตัวเองมักจะพบเจอกับหนานกงอี้บ่อยๆ บางครั้งก็เป็นเรื่องส่วนรวม บางครั้งก็เป็นเรื่องส่วนตัว บางครั้งก็บังเอิญเจอทั้งๆ ที่ไม่มีเรื่องอันใด หลังจากที่ค่อยๆ คุ้นเคยเล็กน้อย หนานกงอี้ก็เผยให้เห็นท่าทีที่อยากจะเชื่อมความสัมพันธ์ด้วยการแต่งงาน เพียงแต่ยังไม่ได้บอกออกมาตามตรง มู่ชิงอีจึงไม่สามารถปฏิเสธออกไปตรงๆ ได้ ดังนั้นทุกครั้งที่เห็นหนานกงอี้มู่ชิงอีเลยรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที
คนอย่างหนานกงอี้ไม่ได้มีอะไรให้คนต้องเอาไปวิพากษ์วิจารณ์ แต่คนที่อยู่ในราชสำนักมานานมักจะไม่สามารถไปมาหาสู่ได้อย่างสบายใจเหมือนหนานกงอวี้ ยิ่งไปกว่านั้นทั้งสองคนอยู่ในหน่วยงานที่แตกต่างกัน การที่สามารถมีมิตรภาพที่จริงใจกับเขาได้นั้นจึงจะเป็นเรื่องแปลก
“ใต้เท้าหนานกงก็เรียกข้าว่าใต้เท้ากู้ไม่ใช่หรือ” มู่ชิงอียิ้มพลางเอ่ยเสียงเรียบ
หนานกงอี้ชะงักไปครู่หนึ่ง ก็ใช่น่ะสิ กู้หลิวอวิ๋นมักจะเฉยเมยกับเขา แต่เขาก็ไม่เคยเข้าใกล้กู้หลิวอวิ๋นอย่างจริงใจ หากกู้หลิวอวิ๋นสนิทกับเขาจริงๆ เขาก็จะสงสัย เมื่อมองไปที่ชายหนุ่มรูปงามที่อยู่ตรงหน้า หนานกงอี้ก็อดยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนไม่ได้ ชายหนุ่มผู้นี้อายุยังน้อย แต่แววตากลับเฉียบแหลม หากไม่พูดถึงแผนการอื่นใด กู้หลิวอวิ๋นผู้นี้นับว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่คู่ควรกับน้องสาวของเขา
เพิ่มขนาดช่อง ดึงมุมขวามือลง