หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 464 แผนร้ายของหรงไหว (3)
หนานกงเจวี๋ยเอ่ยอย่างไม่ชอบใจว่า “เดิมทีเรื่องนี้ก็ไม่เหมาะสมอยู่แล้ว ถึงแม้จะไม่รู้ว่าข่าวลือระหว่างกู้หลิวอวิ๋นกับอวี้อ๋องจะเป็นจริงหรือไม่ แต่หากเป็นความจริงหย่าเอ๋อร์แต่งออกเรือนไปก็คงต้องช้ำใจมิใช่หรือ” หนานกงเจวี๋ยเป็นแม่ทัพ แม้ว่าบัดนี้จะห่างหายจากงานราชการไปนานและไม่ชอบพูดจาอ้อมค้อมเหมือนพวกมีความรู้ แต่เขากลับรักบุตรสาววัยเยาว์ผู้นี้มากจริงๆ
หนานกงอี้พยักหน้าเอ่ย “ท่านพ่อชี้แนะถูกแล้ว ตอนนั้นลูกมองพลาดเอง แต่…ถึงแม้เรื่องแต่งงานครั้งนี้จะไม่สำเร็จ ทว่าดูจากท่าทีของกู้หลิวอวิ๋นในหลายวันนี้แล้ว อวี้อ๋องเอนเอียงไปทางพี่ชายมากพอสมควร”
หรงเซวียนมุ่นคิ้ว เอ่ยถามอย่างฉงน “กู้หลิวอวิ๋นตัดสินใจแทนน้องเก้าได้หรือ”
“แม้จะทำไม่ได้ แต่ท่าทีของกู้หลิวอวิ๋นสามารถแสดงความคิดแนวทางของอวี้อ๋องได้” หนานกงอี้เอ่ย “หลายวันนี้ใช่ว่าจะไม่มีใครเข้ามาตีสนิทกู้หลิวอวิ๋นเลย แต่ท่าทีของกู้หลิวอวิ๋นกลับไม่เข้าฝักฝ่ายใดเลย เหมือนจะอ่อนโยนสนิทสนมแต่ความจริงกลับเย็นชาห่างเหิน มีเพียงตระกูลหนานกงเท่านั้นที่ถือว่า…แน่นอน เรื่องนี้คงอธิบายได้ว่าคุณชายกู้คงเห็นแก่น้องรอง”
แต่พวกเขาต่างเข้าใจดี มิตรภาพระหว่างเพื่อนกับอิทธิพลของราชสำนักคนละเรื่องกัน
หรงเซวียนเอ่ยเสียงเรียบ “หากเป็นเช่นนั้นก็คงไม่ใช่เรื่องดีอะไร บางทีข้าควรจะหาเวลาไปเยี่ยมน้องเก้าที่จวนสักครั้ง เรื่องที่ผ่านมาหลายวันนี้…ข้ามักรู้สึกไม่สบายใจอยู่เรื่อย” หลายวันมานี้แรงตอบโต้ระหว่างจวนฉินอ๋องกับจวงอ๋องถึงขั้นดุเดือดแล้ว ทว่าเสด็จพ่อที่นั่งอยู่บนบัลลังก์สูงส่งกลับไม่แสดงท่าทีใดเลยสักนิด สถานการณ์เช่นนี้ชวนให้หรงเซวียนรู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย เขามักรู้สึกว่ามีเรื่องบางอย่างที่อยู่เหนือการควบคุมของเขา
ครั้นได้ยินหรงเซวียนกล่าวเช่นนั้น หนานกงอี้ก็มุ่นคิ้วขบคิดอยู่นาน ขมวดคิ้วเอ่ย “พี่ชายต้องระวังตวนอ๋องไว้บ้าง” เมื่อเทียบกับอ๋องคนอื่นๆ แล้ว หนานกงอี้รู้สึกว่าตนไม่ชอบตวนอ๋องที่สุดแล้ว ถึงแม้ในบรรดาเหล่าองค์ชายทั้งหมดถือว่าตวนอ๋องจะนิสัยดีกว่าใคร แต่หากมีแค่นี้จริงๆ องค์ชายที่มีแม่ภูมิหลังธรรมดาๆ จะสามารถเป็นคานอำนาจระหว่างฉินอ๋องและจวงอ๋องได้เลยหรือ ควรรู้ว่าฉินอ๋องและจวงอ๋องมีตระกูลโจวและตระกูลหนานกงเป็นแรงหนุนเบื้องหลัง
หรงเซวียนจะไม่เข้าใจคำเตือนของหนานกงอี้ได้เช่นไร เพียงแต่สถานการณ์ตอนนี้หรงไหวบีบบังคับเขาจนเขาต้องเป็นฝ่ายจัดการกับหรงไหวก่อนอย่างอดไม่ได้ แต่หากสุดท้ายถูกหรงเหยี่ยนชุบมือเปิบได้ผลประโยชน์ไป นั่นต่างหากถึงจะได้ไม่คุ้มเสีย
หนานกงเจวี๋ยขมวดคิ้วสีขาวเทาแน่น จากความเข้าใจที่เขามีต่อฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ เขาคิดว่าเรื่องคงไม่ง่ายดายขนาดนั้น บัดนี้ในราชสำนักโกลาหล ทว่าแต่ไรแต่ไหนมาฮ่องเต้แคว้นเย่ว์กลับไม่ใช่คนที่จะยอมให้ใครปีนข้ามหัวเขาไปได้ง่ายๆ
หลังจากขบคิดแล้ว หนานกงเจวี๋ยก็พยักหน้าเอ่ย “จวงอ๋องไปเยี่ยมเยียนอวี้อ๋องก็ดี ต่อให้อวี้อ๋องจะไม่ยอมช่วยเหลือ แต่ทางที่ดีก็ควรผูกมิตรไว้ดีกว่า” บางทีช่วงเวลาที่อับจนหนทาง อวี้อ๋องอาจช่วยจวงอ๋องได้บ้าง หนานกงเจวี๋ยไม่ชอบการช่วงชิงในราชสำนัก แต่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ไม่อนุญาตให้เขาออกไปบัญชาการทหารนานแล้ว สัญชาตญาณยามเจออันตรายของแม่ทัพที่รบราฆ่าฟันอยู่ในสมรภูมิรบมาครึ่งชีวิตชักเริ่มสังหรณ์ใจไม่ค่อยดีเท่าไร
ภายในจวนฉินอ๋อง เทียบกับความเห็นพ้องต้องกันของจวงอ๋องและตระกูลหนานกงแล้ว จวนฉินอ๋องไม่ได้มีความสุขขนาดนั้น ถึงแม้หรงไหวจะอายุน้อย แต่นี่ไม่ได้หมายถึงอายุของเขาแต่เป็นประสบการณ์ของเขาต่างหาก จากคนที่แทบไม่เคยทำอะไรเลยคนหนึ่งจู่ๆ กลับต้องมาแบกรับช่วงอำนาจต่อจากจื้ออ๋อง อีกทั้งเรื่องภายในก็ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น
ขุนนางที่เคยรับใช้จงรักภักดีต่อจื้ออ๋องมากมายใช่ว่าจะยอมรับหรงไหวเสียทีเดียว อีกทั้งหรงไหวยังต้องเผชิญกับปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนเก่าแก่ของจื้ออ๋องและคนสำคัญของหรงไหวก่อนหน้านี้ด้วย ทั้งๆ ที่รู้แก่ใจว่าคนที่ท่านพ่อทิ้งไว้ให้ต่างหากถึงจะเป็นกำลังสำคัญของจวนฉินอ๋อง แต่จิตใจคนเรามักลำเอียง หลายครั้งที่หรงไหวเอนเอียงเข้าข้างคนของตัวเองโดยไม่รู้ตัว นี่จึงเป็นต้นเหตุทำให้หลายคนไม่พอใจมาก ขณะเดียวกันหรงไหวเองก็ไม่พอใจคนเก่าๆ ที่ตำหนิติเตียนเขาด้วยเช่นกัน
ภายในห้อง หรงไหวนั่งมองอัครเสนาบดีคนแรกสุดด้วยสายตาเกรี้ยวโกรธ แม้แต่คนที่ใจเย็นอย่างอัครเสนาบดีโจวยังยากจะระงับความโกรธไว้ได้ “ท่านอ๋อง เรื่องครั้งนี้ท่านทำเกินไปแล้ว”
หรงไหวเอ่ยอย่างไม่ชอบใจ “ท่านว่าข้าเช่นนี้หมายความเช่นใด”
อัครเสนาบดีโจวเงยหน้าขึ้นเอ่ย “อำนาจในราชสำนักของท่านอ๋องยังไม่มั่นคงดีก็เริ่มตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับจวงอ๋องแล้ว…ยังไม่ต้องพูดถึงว่าใครแพ้ใครชนะ ต่อให้ท่านอ๋องชนะ แล้วฝ่าบาทจะทรงมองเช่นไร ขุนนางในราชสำนักจะมองเช่นไร”
หรงไหวยิ้มเยาะก่อนเอ่ย “มิเช่นนั้นท่านปู่จะให้ข้าทำเช่นใด ข้าเป็นฝ่ายตั้งแง่กับหรงเซวียนก่อนหรือ ทั้งๆ ที่เขาเป็นฝ่ายบีบให้ข้าอดต่อกรด้วยไม่ได้แท้ๆ! ท่านปู่อย่าลืมสิว่าความแค้นของท่านพ่อยังอยู่บนตัวหรงเซวียน” อัครเสนาบดีโจวถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายเอ่ย “ท่านอ๋อง กระหม่อมเคยโน้มน้าวท่านอ๋องแล้ว ตอนนี้พูดอะไรก็ยังเร็วไป มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นก็คือ…อดทน”
หรงไหวเขวี้ยงถ้วยชาในมือทิ้งอย่างหงุดหงิด ลุกขึ้นเอ่ย “อดทนๆ! พวกท่านก็ให้แต่ข้าอดทน! หรงจิ่นก็ต้องทน หรงเซวียนก็ต้องทน แค้นการตายของท่านพ่อก็ต้องทน ตอนนี้แม้แต่หรงเซวียนบีบบังคับข้า ข้าก็ยังต้องทน! หากข้ายังต้องทนต่อไป ข้าจะเป็นลูกหลานกษัตริย์อะไรอีกเล่า สู้เป็นตะพาบอยู่ในแม่น้ำจินสุ่ยเสียยังสบายกว่ากระมัง!”
ครั้นเห็นเขากล่าวเช่นนั้น อัครเสนาบดีโจวเลยทำได้แค่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ไม่ทนแล้วจะทำเช่นใด ฝ่าบาททรงเข้มงวดตั้งเงื่อนไขไว้สูง ไม่ว่าจะเรื่องประสบการณ์ ซึ่งหรงไหวมีน้อยที่สุดในบรรดาเหล่าองค์ชายลูกหลานในราชสำนัก หากว่าด้วยเรื่องลำดับอาวุโสก็เล็กที่สุด ตัวเองยังยืนไม่มั่งคงดีก็ดันคิดจะไปโค่นคนอื่นเสียแล้ว เกรงว่าสุดท้ายคนที่ล้มจะเป็นตัวเขาเองมากกว่า
อัครเสนาบดีโจวสามารถยืนหยัดเป็นอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์มาได้หลายปีโดยไม่ล้ม สิ่งสำคัญที่สุดคือการกระทำอย่างรอบคอบ เรื่องที่ไม่ควรทำก็อย่าทำให้มากนัก สิ่งที่ไม่ควรพูดก็อย่าพูดให้มากนัก ทว่าคนนิสัยใจร้อนน่าเอือมระอาอย่างหลานเขา นอกจากถอนหายใจแล้วจะทำอะไรได้อีก
ครั้นเห็นหน้านิ่วคิ้วขมวดของอัครเสนาบดีโจวเช่นนั้น หรงไหวเลยทำได้แค่เผยสีหน้าย่ำแย่ แต่ถึงอย่างไรก็ยังจดจำสถานะของเขาได้ เขาข่มไฟโทสะในใจลงเอ่ยเสียงขรึม “มาพูดเรื่องพวกนี้เอาป่านนี้ก็ไม่ทันแล้ว ท่านปู่ ท่านบอกมาว่าควรทำเช่นไรจะดีกว่า”
อัครเสนาบดีโจวยิ้มขมขื่นกล่าว “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วจะทำอันใดได้เล่า หากตีงูไม่ตายก็จะแว้งกลับมาทำร้ายตัวเอง ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วก็คงไร้หนทางจะทำอะไรได้ คนที่ท่านอ๋องส่งไปเมืองเผิงกลับมาแล้วหรือไม่”
หรงไหวพยักหน้าเอ่ย “กลับมาแล้ว คนที่แอบตามสืบบอกว่าเดิมทีท่านพ่อคว้าหญ้าเซียนเก้าเมฆามาได้แล้วเลยเตรียมตัวกลับเมืองหลวง เดิมทีท่านพ่อไม่ได้เดินทางกลับมากับหรงเซวียน แต่สุดท้ายไม่รู้ว่าเหตุใดกลายเป็นว่าหรงเซวียนปะทะกับท่านพ่อได้ อีกทั้ง…ยังมีแค่เขากลับมาคนเดียวด้วย!” พอพูดถึงตอนท้าย หรงไหวก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ถึงแม้ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์จะปิดคดีนี้ไปนานแล้ว แต่จวนฉินอ๋องไม่มีทางยอมปล่อยเรื่องที่หรงหวงตายโดยไม่ทราบสาเหตุไปง่ายๆ เขาจึงแอบส่งคนไปตามสืบต่อไม่น้อยทีเดียว
“ท่านพ่อของข้าต้องถูกหรงเซวียนทำร้ายแน่ๆ ไม่แน่…หญ้าเซียนเก้าเมฆาของเสด็จปู่ก็อาจจะอยู่ในมือเขาด้วยก็ได้!” หรงไหวตบโต๊ะเอ่ยเสียงเคร่งขรึม อัครเสนาบดีโจวพลันรู้สึกใจหายก่อนจะเงยหน้ามองหรงไหว หรงไหวเอ่ยถาม “ท่านปู่มีสิ่งใดจะพูดหรือ”