หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 467 ปะทะกันในพระตำหนัก (2)
“หืม” มู่ชิงอีเลิกคิ้วรูปงามเล็กน้อย ยิ้มบางเอ่ย “ใต้เท้าเหอหมายถึงอ๋องท่านใดหรือ”
ขุนนางที่ไว้เครายาวผู้นั้นยกยิ้มแต้มใบหน้ากล่าว “ย่อมหมายถึงอวี้อ๋องอยู่แล้ว”
“อวี้อ๋องเป็นอันใดไปหรือ” มู่ชิงอียิ้มเอ่ย
ใต้เท้าเหอผู้นั้นเอ่ยอย่างระมัดระวัง “คือว่า…เหมือนวันนี้อวี้อ๋องจะต่างไปจากทุกวัน”
มู่ชิงอีแหงนหน้ากวาดตามองหรงจิ่นที่อยู่ด้านหน้าแวบหนึ่ง เขายังคงใบหน้าดื้อรั้นและดุดันเช่นเคย สิ่งเดียวที่เปลี่ยนไปคือสายตาที่เคยถมึงทึงและเบื่อหน่ายกลับกลายดูมีความอดทนขึ้นกว่าในยามปกติ แต่มู่ชิงอีกล้าเดิมพันได้ว่านัยน์ตาคู่นั้นกำลังรอดูเรื่องสนุกๆ แถมแฝงไปด้วยความหวังและมีความสุขบนความทุกข์ของใครบางคนต่างหาก
“อ๋อ คือว่า…” ครั้นเห็นเหล่าขุนนางรอบกายกำลังลอบเงี่ยหูฟัง มู่ชิงอีก็ยิ้มบางเอ่ย “น่าจะเพราะวันนี้อวี้อ๋องอารมณ์ดีกระมัง”ยามเห็นคนโชคร้าย เขาจะไม่อารมณ์ดีได้เช่นไร โดยเฉพาะคนที่ตนเห็นแล้วขัดหูขัดตามาโดยตลอด พลันมู่ชิงอีก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาไม่น้อย
พวกเขาล้วนเป็นขุนนางระดับสามทั้งสิ้น หนานกงอี้ยืนห่างจากมู่ชิงอีไม่มากนัก เขาย่อมได้ยินคำพูดของมู่ชิงอีอยู่แล้ว ครั้นเห็นสีหน้าผิดหวังของทุกคน หนานกงอี้ก็ยิ้มพลางมองมู่ชิงอีแวบหนึ่ง เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “วันนี้ใต้เท้ากู้ก็อารมณ์ดีไม่เลวเลย”
“ก็พอไหวขอรับ” มู่ชิงอีเอ่ยเสียงเรียบ
ความสัมพันธ์ระหว่างจวนจวงอ๋องและอวี้อ๋องลึกซึ้งมากจริงๆ ไม่ใช่แค่อวี้อ๋องที่เห็นแก่หน้าจวงอ๋องเท่านั้น กระทั่งความสัมพันธ์ระหว่างกู้หลิวอวิ๋นและหนานกงอี้ก็ดีไม่ใช่เล่น เพียงแต่…เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใดกันนะขณะที่ทุกคนต่างขบคิดไปต่างๆนาๆ ก็ลอบกังวลใจว่าความเปลี่ยนแปลงนี้จะทำให้เหตุการณ์ที่กำลังใกล้มาถึงเกิดความเปลี่ยนแปลงใดขึ้นอีกหรือไม่ มู่ชิงอีกลับแอบยิ้มในใจ คนพวกนี้ไม่มีทางรู้ว่าความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นเมื่อใดได้แน่นอน เพราะความเปลี่ยนแปลงมากมายเหล่านี้เกิดขึ้นจากความคิดชั่วขณะของหรงจิ่นทั้งสิ้น
“สวินอ๋องเสด็จ!” มีเสียงรายงานดังขึ้นมาจากด้านนอก ทุกคนต่างชะงักเหมือนสถานการณ์อวี้อ๋องก่อนหน้านี้ไม่ต่างกัน สวินอ๋องหรงจังไม่ได้เข้าราชสำนักมาราวๆ ยี่สิบปีแล้ว มีเพียงบางครั้งที่เหล่าขุนนางในราชสำนักจะได้เห็นองค์ชายสามซึ่งเคยถือว่าน่าเกรงขามมากคนหนึ่งในงานเลี้ยงใหญ่ๆ จากมุมไกลๆ บ้าง แต่ในระยะเวลายี่สิบปีกว่ามานี้ ทุกคนต่างชินชากับคนที่ร่างกายบอบบางอย่างองค์ชายสามซึ่งมักจะตีตัวออกห่างจากงานราชสำนักเช่นนี้นานแล้ว วันนี้เป็นวันอะไรกัน แม้แต่องค์ชายสามยังมาด้วยเลย
หลังจากนั้นสายตาของทุกคนก็จับจ้องหรงจังที่ร่างผอมบางสวมเครื่องแบบเต็มยศสีขาวทั้งร่างย่างกรายเดินเข้ามาอย่างช้าๆ เครื่องแบบสีขาวปักลายสีเงินยิ่งขับให้เขาดูบอบบางไร้เรี่ยวแรง ราวกับหากมีลมพัดทีร่างก็คงปลิวอย่างไรอย่างนั้น
“น้องสาม”
“พี่สาม…” พวกองค์ชายรีบรุดหน้าเข้ามาทำความเคารพ ถึงแม้หรงจังจะไม่สนใจงานในราชสำนักมานานแล้ว แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นองค์ชาย อีกทั้งยังเป็นองค์ชายที่มีความอาวุโสเป็นลำดับต้นๆ บัดนี้ในบรรดาลูกหลานฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ นอกจากหรงเซวียนแล้ว เหล่าองค์ชายองค์หญิงคนอื่นๆ ต่างต้องเรียกเขาว่าพี่สามทั้งสิ้น
หรงจังพยักหน้ากล่าว “พี่สอง น้องสี่ น้องห้า น้องหก…” องค์ชายที่อยู่ลำดับหลังจากองค์ชายหกต่างอายุน้อยกันทั้งนั้นจึงไม่ค่อยสนิทเท่าไร หรงจังเองก็ไม่ได้ทักทายทุกคน เพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อย “พี่ๆ น้องๆ ทุกคนมาเร็วกันนัก”
หรงเหยี่ยนชั่งใจครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถามในเรื่องที่ทุกคนต่างข้องใจเช่นกัน “พี่สาม…สุขภาพดีขึ้นแล้วหรือ เหตุใดวันนี้ถึงมาฟังงานในราชสำนักได้เล่า”
หรงเซวียนยิ้มกล่าว “ก็เหมือนเดิม แต่…หรงไหวส่งคนมาบอกข้าว่าวันนี้มีธุระอยากทูลในราชสำนักเลยให้ท่านอาอย่างข้ามาร่วมฟังด้วยกัน เมื่อวานข้าเพิ่งส่งสาสน์ให้เสด็จพ่อ วันนี้ข้าก็แวะมาร่วมวงด้วยเลย”
สายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปทางหรงไหว ทว่าหรงไหวกลับทำสีหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เอ่ยอย่างเย่อหยิ่ง “ใช่แล้ว ข้าเชิญท่านอามาเอง”
“ช่างชอบก่อเรื่องเสียจริง” หรงเหยี่ยนส่ายศีรษะ จากนั้นก็มองหรงไหวพลางตัดพ้อว่า “พี่สามสุขภาพไม่ดี มีเรื่องใหญ่อะไรนักหนาถึงขนาดต้องรบกวนเขาเชียว”
หรงไหวยิ้มเย็นชาเอ่ย “ก็แค่เชิญอาสามมายืนที่นี่ครู่เดียว ไม่ใช่เรื่องที่ต้องเปลืองแรงอะไรมากมาย ส่วนมีเรื่องอะไรนั้น…ประเดี๋ยวอาสี่ก็รู้เอง”
หรงเหยี่ยนส่ายศีรษะแล้วไม่พูดอะไรอีก
“ฝ่าบาทเสด็จ!” จากนั้นก็มีเสียงแหลมสูงดังตามมา ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์สวมชุดคลุมสีทองอร่ามเดินเข้ามาจากหลังพระตำหนัก
“กระหม่อมขอถวายบังคมฝ่าบาท!” เหล่าขุนนางในพระตำหนักต่างคุกเข่าเปล่งเสียงอย่างพร้อมเพรียง
ครั้งนี้ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ไม่ได้เรียกให้ลุกขึ้นทันทีเหมือนทุกครั้งแต่กลับนิ่งไปพักใหญ่ กระทั่งเจี่ยงปินเป็นกังวลจึงเอ่ยเตือนเสียงกระซิบว่า “ฝ่าบาท”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ถึงได้สติกลับมาแล้วตรัสเสียงเรียบ “ลุกขึ้นเถิด”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” ทุกคนลุกขึ้นพร้อมกล่าวขอบพระทัย
สายตาของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์กวาดมองหรงจิ่นก่อนตามความเคยชิน แต่ไม่นานสายตาก็มาหยุดอยู่บนร่างคนๆ หนึ่งที่อยู่ด้านหน้า…สวินอ๋องหรงจังนั่นเอง
นับดูแล้ว ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ไม่ได้สังเกตบุตรชายคนนี้อย่างละเอียดมาร่วมยี่สิบปีเต็ม ถึงแม้เขาจะรู้ว่าตนสูงส่งเหนือใครทำสิ่งใดย่อมถูกต้องเสมอ แต่เรื่องพระสนมเหมย ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์กลับรู้ดีว่าตนทำไม่ถูก มิเช่นนั้นปีนั้นเขาคงไม่ฆ่าคนตายมากมายเช่นนั้น เพราะเหตุนี้เขาเลยมีความคิดว่าหากไม่เห็นบุตรชายอย่างหรงจังคงเจริญตามากกว่า ส่วนหรงจังก็รู้ความ หลายปีนี้เขาเป็นคนป่วยมาตลอด ถึงแม้จะมาร่วมงานเลี้ยงในวังบ้างเป็นครั้งคราว แต่เขากลับเอาแต่งุดหน้าถ่อมตัวเงียบขรึม ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เลยเลือกที่จะไม่มองเขา
ครั้นจู่ๆ ตอนนี้มองอย่างชัดเจนกลับค้นพบว่าบุตรชายที่บุคลิกงามสง่าน่ายำเกรงในวันวาน บัดนี้อายุสี่สิบชันษาแล้ว ทว่าดูแล้วราวกับแก่กว่าอายุจริงอย่างมาก
“สวินอ๋อง สุขภาพดีขึ้นแล้วหรือ” ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ตรัสถามเสียงนิ่ง
หรงจังเดินออกจากแถว หลุบตาลงเอ่ยอย่างนอบน้อม “ขอบพระทัยในความเป็นห่วงของเสด็จพ่อ ลูกแข็งแรงดีทุกอย่างพ่ะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์พยักหน้า “ดีขึ้นแล้วก็ดี”
กลุ่มขุนนางในพระตำหนักต่างก้มหน้าอย่างพร้อมเพรียง ถึงแม้เรื่องพระสนมเหมยจะผ่านไปราวยี่สิบปีแล้ว อีกทั้งคนทั่วทั้งราชสำนักต่างก็ถูกฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ทรมานไม่ใช่แค่เพียงหนึ่งครั้ง แถมใช่ว่าจะไม่มีขุนนางเก่าๆ เมื่อยี่สิบปีก่อนหลงเหลืออยู่เลย ดังนั้นบรรยากาศภายในพระตำหนักจึงแปลกๆ ผู้คนต่างก็ทำตัวไม่ถูก
เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ไม่ค่อยชอบบรรยากาศเช่นนี้เท่าไรนัก จากนั้นก็มองเจี่ยงปินที่อยู่ด้านข้างด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่ง เจี่ยงปินตระหนักได้เลยเอ่ยเสียงแหลมสูงว่า “หากใครมีธุระก็ทูลรายงานมา ส่วนใครไม่มีธุระก็ออกจากราชสำนักไป”
เวลานี้ทุกคนถึงได้สติแล้วรีบรุดหน้าขึ้นมารายงานเรื่องของแต่ละคนต่อฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เพื่อตัดสินใจ
มู่ชิงอียังคงยืนนิ่งท่ามกลางฝูงชนเช่นนั้นเฉกเช่นปกติ ถึงแม้เรื่องของที่ว่าการเฟิ่งเทียนมีอยู่ไม่น้อย แต่เรื่องที่จำเป็นต้องนำมารบกวนฝ่าบาทกลับมีไม่มากนัก อย่างน้อยนับตั้งแต่มู่ชิงอีได้รับตำแหน่งผู้ว่าการมาก็ยังไม่เคยเกิดเรื่องใหญ่โตใดที่ยากจะควบคุมได้ เพราะเหตุนี้เวลาส่วนมากในราชสำนักยามเช้าจะมาฟังเหล่าขุนนางและท่านอ๋องทั้งหลายพูดกันมากกว่า
“ในเมื่อไม่มีเรื่องใดแล้วก็ออกไปได้” ครั้นเห็นว่าไม่มีเหล่าขุนนางคนใดอยากกล่าวรายงานอะไรอีก ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ก็โบกมือให้พลางตรัสเสียงขรึม
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อม…มีเรื่องอยากทูลรายงานพ่ะย่ะค่ะ!” อัครเสนาบดีโจวที่สวมชุดเครื่องแบบขุนนางราชสำนักระดับหนึ่งด้านหน้าสุดประคองร่างโงนเงนเดินออกมาพร้อมกล่าวเสียงสูง
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์สีหน้าหม่นลง มองเขาแล้วตรัสเสียงเรียบว่า “หืม...มีเรื่องอันใด”