หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 474 แพ้ทั้งสองฝ่าย (1)
หนานกงเจวี๋ยส่ายศีรษะ ดวงตาวัยชราทอประกายความเศร้าสร้อยและระอาใจ ยิ่งไปกว่านั้นยังแฝงความเหน็ดเหนื่อยที่มองเรื่องที่เกิดขึ้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เซี่ยซิวจู๋เมื่อครู่เป็นถึงยอดฝีมืออันดับต้นๆ ในใต้หล้า แถมยังมีกู้หลิวอวิ๋นนั่นอีก แต่ละคนไม่ธรรมดาทั้งนั้น การรวมพลคนรอบกายของอวี้อ๋องจะเป็นเพียงแค่ข้าบริวารขององค์ชายที่อยู่ว่างไปวันๆ เช่นนั้นหรือ
“จากนี้เจ้าวางแผนการใดต่อ” หนานกงเจวี๋ยเอ่ยถาม หนานกงเจวี๋ยอาศัยความน่าเกรงขามและคุณงามความดีทางการทหารเข้าราชสำนัก ทว่ากลับไม่ค่อยถนัดเรื่องอุบายในราชสำนักเท่าไรนัก
หนานกงอี้กัดฟันเอ่ย “หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง หรงเหยี่ยนคิดว่าเขาทำเป็นคนเดียวหรืออย่างไร” ถึงแม้องค์ชายเหล่านี้ล้วนระมัดระวังตัว แต่ใช่ว่าคนเบื้องล่างของพวกเขาจะระแวดระวังกันมากเสมอไป ดังนั้นไม่ว่าหรงเหยี่ยนหรือหรงจังจะแอบเก็บข้อมูลอีกฝ่ายเพื่อป้องกันไว้ก่อน แต่หรงเหยี่ยนคิดว่ามีเพียงเขาที่ใช้ลูกไม้นี้เป็นเท่านั้นหรือ
หนานกงเจวี๋ยขมวดคิ้วเอ่ย “เจ้าหมายความว่า…”
หนานกงอี้พยักหน้าเอ่ย “ใช่แล้ว ในเมื่อเขาไปร้องทุกข์ถึงที่ว่าการเฟิ่งเทียนได้ เช่นนั้นพวกเราก็ส่งคนไปเหมือนกัน ครั้งนี้เขาลากกู้หลิวอวิ๋นมาพัวพันด้วย องค์ชายเก้าคงไม่ชอบใจไปด้วย หลังจากนั้น…ย่อมต้องมีเรื่องสนุกๆ ให้ดูแน่”
หนานกงเจวี๋ยขบคิด พยักหน้าเอ่ย “เอาเถิด ทำตามที่เจ้าว่าแล้วกัน”
หนานกงอี้เงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “ท่านพ่อ ตกลงฝ่าบาททรงคิดจะจัดการ…จวงอ๋องเช่นใดหรือ”
หนานกงเจวี๋ยมองลูกชายด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่ง หนานกงเจวี๋ยย่อมเข้าใจความคิดของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์มากกว่าเด็กๆ เหล่านี้อยู่แล้ว “เกรงว่าฝ่าบาทจะทรงเชื่อคำพูดของฉินอ๋องกับโจวเหวินปินเข้าแล้ว”
“หากเป็นเช่นนั้น เหตุใดฝ่าบาทถึงทรง…”
“เหตุใดถึงยังลงโทษฉินอ๋องอย่างนั้นหรือ ย่อมเป็นเพราะฉินอ๋องล่วงเกินกฎข้อห้ามของฝ่าบาท หรือกล่าวได้ว่า…ฉินอ๋องล้ำเส้นคนอื่น ฝ่าบาทก็แค่ไม่อยากปกป้องเขาแล้วก็เท่านั้น” หนานกงเจวี๋ยเอ่ยตอบ
“เช่นนั้น…จวงอ๋องจะเป็นเช่นใดบ้าง”
หนานกงเจวี๋ยนิ่งไป ผ่านไปนานถึงพูดขึ้นว่า “ไม่รู้เหมือนกัน” ใจกษัตริย์ยากแท้หยั่งถึง ความคิดของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ยิ่งคาดเดาได้ยากเข้าไปใหญ่ บางทีอาจจะไม่มีอะไรเลย แต่บางทีอาจเหมือนฉินอ๋อง หรือบางที…อาจเหมือนคนเหล่านั้นเมื่อยี่สิบปีก่อน
“ยินดีด้วยที่เป็นไปดั่งที่ท่านอ๋องปรารถนา” ในห้องหนังสือของจวนตวนอ๋อง มู่หรงอวี้ยกจอกสุราให้หรงเหยี่ยนอย่างเป็นเกียรติพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หรงเหยี่ยนพยักหน้าแล้วดื่มสุรารสเลิศอย่างว่าง่าย ใบหน้าอ่อนโยนที่คอยกักเก็บความรู้สึกไว้ในเดิมทีอดผุดรอยยิ้มออกมาไม่ได้ มองมู่หรงอวี้เอ่ย “เรื่องครั้งนี้ต้องขอบคุณอานซุ่นจวิ้นอ๋อง วันหน้าข้าจะไม่มีทางลืมคุณงามความดีนี้ของจวิ้นอ๋องเลย”
มู่หรงอวี้ยิ้มกล่าว “ได้ทำงานให้ท่านอ๋อง นับว่าเป็นเกียรติของข้ายิ่งนัก”
หรงเหยี่ยนพิงกายบนเก้าอี้ ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วเอ่ย “แต่…บัดนี้เสด็จพ่อไม่มีท่าทีว่าจะจัดการพี่รอง เป็นไปได้หรือไม่ว่า…”
มู่หรงอวี้เอ่ย “แต่ไหนแต่ไรมาฝ่าบาททรงเย็นชาไร้ความปราณีอยู่แล้ว บัดนี้ยังทรงสงสัยในตัวจวงอ๋องอีกต่างหาก เกรงว่าจวงอ๋องคงไม่มีทางลุกขึ้นมาผงาดได้ง่ายๆ”
หรงเหยี่ยนส่ายศีรษะเอ่ย “ไม่จำเป็นเลย ตอนนี้เสด็จพ่อ…ทรงชรามากแล้ว หากเป็นเมื่อก่อน เจ้าคิดว่าหรงไหวกับคนในตระกูลโจวจะมีชีวิตรอดออกจากวังหรือ ยิ่งไปกว่านั้นหรงเซวียนเป็นที่โปรดปรานของเสด็จพ่อมาแต่ไหนแต่ไร หากเสด็จพ่อเกิดใจอ่อนขึ้นมา”
มู่หรงอวี้เงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นก็ผุดสีหน้าลำบากใจ มองหรงเหยี่ยนพลางเอ่ย “หากเป็นเช่นนั้น…ข้ายินดีจัดการปัญหานี้แทนตวนอ๋องเอง”
หรงเหยี่ยนก้มหน้าลง “จวิ้นอ๋องมีแผนการดีๆ อะไรหรือ”
มู่หรงอวี้เอ่ยเสียงขรึม “ในเมื่อฉินอ๋องกับจวงอ๋องไม่มีประโยชน์ใดแล้ว เหตุใดไม่ให้พวกเขาไปพร้อมกันเลยเล่า”
ดวงตาสะลึมสะลือของหรงเหยี่ยนพลันแผ่ไอสังหารออกมา ทว่ายามที่เงยหน้าขึ้นมากลับทำหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพียงเอ่ยเสียงเรียบ “ลำบากจวิ้นอ๋องแล้ว”
“ท่านอ๋องพูดเกินไปแล้ว เรื่องนี้ให้ข้าเป็นคนจัดการจะเหมาะสมกว่า แต่หลังจากจัดการเรียบร้อยแล้ว…” มู่หรงอวี้เอ่ยพลางจับจ้องหรงเหยี่ยนด้วยสายตาแน่นิ่ง
หรงเหยี่ยนยิ้มบางกล่าว “เรื่องนี้ข้าย่อมเข้าใจดี เรื่องที่ข้ารับปากจวิ้นอ๋อง ข้าเคยผิดคำพูดด้วยหรือ” มู่หรงอวี้พยักหน้า ลุกขึ้นเอ่ยลา “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าขอตัวก่อน”
“ไม่ส่งแล้วกัน”
หลังจากมองมู่หรงอวี้เดินออกประตูไป กระทั่งเสียงฝีเท้าเดินห่างจากประตูไกลออกไปเรื่อยๆ หรงเหยี่ยนก็แค่นเสียงเย็นชาเอ่ย “เจ้ามู่หรงอวี้ช่างเหิมเกริมยิ่งนัก”
“ความเหิมเกริมของเขามิใช่เรื่องดีหรือ เรื่องมากมายที่พวกเราไม่สะดวกจัดการก็โยนให้เขาจัดการได้หมด” บุรุษหนุ่มชุดผ้าแพรคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านในพลางยิ้มเอ่ย เขาก็คือหรงซิง องค์ชายสิบของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์นั่นเอง
หรงเหยี่ยนขบคิดครู่หนึ่งก่อนพยักหน้าเอ่ย “น้องสิบพูดถูก แต่คนๆ นี้…เหิมเกริมเกินไป มีความทะเยอทะยานสูง บงการได้ยาก รอหลังจากจัดการเรื่องนี้เสร็จ…เขาก็ควรไปในที่ที่เขาควรไปได้แล้ว” พอพูดจบพวกเขาสองคนก็สบตากันพร้อมรอยยิ้ม สถานที่ที่ควรไปพวกเขาย่อมรู้แก่ใจกันเป็นอย่างดี
หรงซิงนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามหรงเหยี่ยน เลิกคิ้วยิ้มเอ่ย “พี่สี่ ครั้งนี้พวกเราทำได้ไม่เลวเลย ประโยคเดียวก็ทำเอาหรงไหวกับหรงเซวียนลากลงคลองไปแล้ว”
หรงเหยี่ยนพยักหน้ากล่าว “อย่าเพิ่งประมาทไป อย่าลืมสิว่ายังมีหรงจิ่นอีกคน”
“หรงจิ่นหรือ” หรงซิงขมวดคิ้ว ถึงแม้เขาจะดูแคลนพี่เก้าไปบ้าง แต่หากจะให้เขาลงไม้ลงมือกับพี่เก้า ตนก็ยังขลาดกลัวอยู่บ้าง เพราะเสด็จพ่อที่ทรงโปรดปรานพี่เก้ามากเหลือเกิน เพียงแต่มักชวนให้รู้สึกว่าไม่ว่าพวกเขาจะทำเช่นใดก็สู้แม้แต่ปลายเส้นผมของหรงจิ่นไม่ได้ ดังนั้นหากคิดจะแอบซุ่มทำร้ายหรือต่อกรกับหรงจิ่น เขาจึงรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจนัก
“หรงจิ่นก็แค่เหมือนกับพวกคุณชายที่ใช้ชีวิตเสเพลกินดื่มเที่ยวไปวันๆ พี่สี่จะไปสนใจเขาทำไมกัน อาจทำให้เสด็จพ่อไม่พอใจขึ้นมา” หรงซิงชั่งใจครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็พูดออกมา
“น้องเก้าอาจจะเป็นคนไร้น้ำยาจริงๆ แต่ลูกน้องแต่ละคนไม่ธรรมดาทั้งนั้น กู้หลิวอวิ๋นนั่น...” หรงเหยี่ยนเอ่ยเสียงเรียบ
“กู้หลิวอวิ๋นอะไรกัน ก็แค่ผู้ว่าการเฟิ่งเทียนเท่านั้น” หรงซิงไม่เข้าใจ กู้หลิวอวิ๋นอาจมีความสามารถเหนือใคร แต่หลังจากปกครองที่ว่าการเฟิ่งเทียนมาหลายวันนี้ก็ไม่เห็นเขาจะทำเรื่องผิดพลาดอันใด ทว่ายังเด็กและประสบการณ์น้อยเกินไป ลำพังองค์ชายอย่างพวกเขาใช้นิ้วโป้งขยี้หน่อยก็บีบเขาตายได้แล้ว
หรงเหยี่ยนถอนหายใจกล่าว “ข้าคิดเรื่องนี้มาครึ่งปีแล้ว เพียงแต่พอยิ่งคิดก็ยิ่งหดหู่ใจ”
หรงซิงมองเขาอย่างประหลาดใจ หรงเหยี่ยนกล่าว “ปีก่อน ภายในระยะเวลาไม่กี่เดือนองค์ชายในแคว้นหวาก็ล้มตาย บาดเจ็บ ทรยศหักหลังกัน น้องสิบรู้ตัวต้นตอหรือไม่เล่า”
หรงซิงมุ่นคิ้วกล่าว “เกี่ยวข้องกับกู้หลิวอวิ๋นอย่างนั้นหรือ”
หรงเหยี่ยนพยักหน้ากล่าว “ตอนนั้นเขาเปลี่ยนชื่อเป็นจังชิงแล้วปรากฏตัวในเมืองหลวงแคว้นหวา นับดูแล้วความโกลาหลของเชื้อพระวงศ์ของแคว้นหวาเริ่มขึ้นหลังจากที่เขาปรากฏตัว แต่กระทั่งถึงตอนสุดท้าย…กลับไม่มีใครสงสัยเขาเลยสักคน”
ครั้นได้ฟังเช่นนั้น สีหน้าของหรงซิงก็อดนิ่งขรึมขึ้นมาไม่ได้ เหตุการณ์ในแคว้นหวาเป็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ซึ่งนับเป็นหายนะในราชวงศ์ คนนอกมองยังรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน ภายในระยะสองเดือนก็มีองค์ชายของแคว้นหวาสิ้นพระชนม์หลายรายแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังทรยศบ้านเมืองอีก หากเทียบกับเหตุการณ์เข่นฆ่าแก่งแย่งบัลลังก์นองเลือดในทุกสมัย ความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้กลับดูไร้ต้นสายปลายเหตุมากที่สุด หากทั้งหมดเป็นฝีมือของกู้หลิวอวิ๋นที่อายุยังไม่ถึงสามสิบผู้นี้จริงๆ เช่นนั้นเขาก็คือตัวหายนะยิ่งใหญ่แล้ว