หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 482 ความเศร้าของหมาก(1)
เมื่อถูกนางมองเช่นนั้นก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย หนานกงอี้ถามอย่างระมัดระวัง “ข้ามีอะไรไม่เหมาะสมอย่างนั้นหรือ”
มู่ชิงอีส่ายหน้าอย่างเงียบๆ “ไม่มีอะไร ท่านทำเหมาะสมแล้ว หวังว่าใต้เท้าหนานกง...จะคิดเช่นนี้ตลอดไป”
หนานกงอี้มองไปที่ชายหนุ่มรูปงามตรงหน้าด้วยสีหน้าที่อธิบายไม่ถูก
เห็นได้ชัดว่ามู่หรงอวี้ไม่ได้โชคดีที่ยังคงสามารถกินดีอยู่ดีเหมือนกับบรรดาใต้เท้าที่อาศัยอยู่หลังสำนักงานที่ว่าการเฟิ่งเทียน เพราะว่าเขาถูกมู่ชิงอีจับโยนเข้าไปในคุกที่ว่าการเฟิ่งเทียน คุกที่ว่าการเฟิ่งเทียนไม่ใช่สถานที่สำหรับผู้กระทำความผิดร้ายแรง คนธรรมดาที่ฆ่าคนอย่างไร้ความปรานีจะถูกส่งไปยังคุกหลวง ดังนั้นองครักษ์ที่นี่จึงไม่ได้เข้มงวดมาก แต่นั่นเป็นเมื่อก่อน ตั้งแต่มู่ชิงอีเข้ารับตำแหน่งผู้ว่าการเฟิ่งเทียน ด้วยคำแนะนำของอดีตราชองครักษ์และความช่วยเหลืออย่างไม่มีเงื่อนไขขององค์ชายอวี้อ๋อง การคุ้มกันในคุกของที่ว่าการเฟิ่งเทียนเทียบได้กับคุกหลวงและวังหลวงที่มีผู้คุ้มกันหลายชั้น และทั้งหมดนี้เตรียมไว้เพื่อมู่หรงอวี้
มู่ชิงอีส่งมู่หรงอวี้ไปที่ห้องคุมขังด้วยตัวเอง เมื่อเห็นมู่หรงอวี้ขมวดคิ้วมองความมืดมิดในห้องขังด้วยท่าทางขยะแขยง ในใจก็อดรู้สึกดีไม่ได้ เมื่อตกอยู่ในมือของนาง มู่หรงอวี้ยังคงมีเวลามารังเกียจสภาพห้องขังเพราะมั่นใจว่าจะมีคนมาช่วยเขากระมัง คิดไม่ถึงจริงๆ ว่ามู่หรงอวี้ที่ผ่านเรื่องราวมามากมายเช่นนี้แต่กลับไร้เดียงสามากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ต้องพูดถึงว่าอาจจะมีคนมาช่วยเขา ต่อให้มีคนมาจริงๆ นางก็ไม่มีทางปล่อยให้มู่หรงอวี้มีชีวิตรอดออกจากคุกที่ว่าการเฟิ่งเทียนได้อีก
หลังจากมองสำรวจห้องขัง มู่หรงอวี้ก็หันกลับมาจับจ้องมู่ชิงอีเอ่ย “เจ้าเป็นใครกันแน่”
มู่ชิงอีเม้มริมฝีปาก ยิ้มบางเอ่ย “อานซุ่นจวิ้นอ๋องเลอะเลือนแล้วหรือ ข้าก็คือกู้หลิวอวิ๋น”
“เจ้าโกหก!” มู่หรงอวี้จ้องนางพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “กู้หลิวอวิ๋นตายไปตั้งแต่ยังไม่ถึงแปดขวบ! เจ้าไม่มีทางเป็นกู้หลิวอวิ๋น” มู่ชิงอีเอียงศีรษะ มองไปยังบุรุษท่าทางหงุดหงิดที่อยู่ตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้น…กงอ๋องก็ลองเดาดูว่าข้าเป็นใครกันแน่”
มู่หรงอวี้พลันหายใจไม่ทั่วท้อง หากเขาเดาออกก็คงเปิดเผยสถานะของกู้หลิวอวิ๋นผู้นี้ไปนานแล้ว กู้หลิวอวิ๋นคุณชายสองตระกูลกู้เสียชีวิตแล้วอย่างแน่นอน ลูกหลานของตระกูลกู้มีน้อยมากเนื่องจากจำนวนประชากรลดลง ต่อให้มู่หรงอวี้คิดจนหัวจะระเบิดก็คิดไม่ออกว่ากู้หลิวอวิ๋นที่อยู่ตรงหน้าเป็นใครกันแน่ มีความเกลียดชังอะไรกับตนจึงได้พยายามทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับตัวเองเช่นนี้
มู่หรงอวี้แค่นเสียงเอ่ยอย่างดูหมิ่น “แม้แต่ชื่อแซ่ก็ไม่กล้าบอก เจ้าก็เป็นเพียงแค่คนขี้ขลาด”
มู่ชิงอีกลับไม่โกรธเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่กะพริบตาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พูดเช่นนี้…อานซุ่นจวิ้นอ๋องกล้าพูดต่อหน้าคนทั้งใต้หล้าว่าท่านแซ่มู่หรง แซ่จู หรือว่าแซ่มั่วกันแน่อย่างนั้นหรือ เมื่อเทียบกับอานซุ่นจวิ้นอ๋องที่ดำรงตำแหน่งองค์ชายแคว้นหวามาเป็นเวลายี่สิบกว่าปี อย่างน้อยข้าก็ไม่ได้ดึงดันครอบครองสิ่งที่ไม่ได้เป็นของตัวเองไม่ใช่หรือ จะว่าไปแล้วไม่แน่ตอนนี้ฮ่องเต้แคว้นหวาคงจะรู้สึกขอบคุณข้าอยู่ในใจ หากไม่มีข้าแล้วฮ่องเต้แคว้นหวาโชคไม่ดีมอบบัลลังก์ให้อานซุ่นจวิ้นอ๋องขึ้นมาจริงๆ ทุกสิ่งทุกอย่างของตระกูลมู่หรงก็คงจะถูกทำลายไปหมดแล้ว”
“เป็นเจ้านี่เอง!” ดวงตามู่หรงอวี้ลุกเป็นไฟ สิ่งที่มู่ชิงอีกล่าวไม่เพียงแต่เตือนมู่หรงอวี้ถึงสถานะที่น่าอึดอัดของเขา ซ้ำยังเตือนว่าเขาเคยพลาดโอกาสขึ้นครองบัลลังก์แคว้นหวา
มู่ชิงอีพยักหน้าแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เป็นข้าเอง”
“กู้หลิวอวิ๋น! ข้าไม่มีวันปล่อยเจ้าไปอย่างแน่นอน!” มู่หรงอวี้เอ่ยอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน มู่ชิงอีมองเขาพลางส่ายหน้าอย่างทอดถอนใจ แต่ในวินาทีต่อมาสีหน้าของนางกลับเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง ยิ้มกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “มู่หรงอวี้ ท่านนับวันเริ่มโง่ขึ้นเรื่อยๆ ถูกยาของเย่าหวังกู่ล้างสมองแล้วอย่างนั้นหรือ ท่านคิดว่า…เหตุใดข้าจึงบอกท่านมากมายเช่นนี้”
แน่นอนว่ามู่หรงอวี้ไม่ใช่คนโง่ แทบจะตอบสนองกลับในทันที เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าจะฆ่าข้าปิดปากข้าหรือ” มู่ชิงอียิ้มเย้ย “ข้าต้องฆ่าคนปิดปากด้วยหรือ ท่านได้รับคำสั่งจากตวนอ๋องให้วางยาจวงอ๋องแต่ล้มเหลว เดิมก็สมควรตายไม่ใช่หรือ หรือท่านคิดว่าตวนอ๋องจะมาช่วยท่าน อีกอย่าง…ท่านไม่เคยสงสัยจริงๆ หรือว่ายาพิษเย่าหวังกู่เป็นหนึ่งในใต้หล้า ผู้อาวุโสเย่าหวังกู่อย่างหลิงซูลงมือด้วยตัวเอง แต่กลับไม่สามารถฆ่าคนธรรมดาอย่างหรงเซวียนได้…”
มู่หรงอวี้สีหน้าเปลี่ยนไป กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
มู่ชิงอีมองดูเขาอย่างขบขัน “ตัวท่านเองก็สงสัยอยู่ไม่ใช่หรือ ช่างโง่เขลาเสียจริง…คิดจริงๆ หรือว่าเย่าหวังกู่จะยอมให้คนที่ไม่รู้อะไรเลยอย่างท่านมาครอบครองได้ง่ายๆ เป็นเพราะมั่วเวิ่นฉิงฉลาดและไม่ฟังใคร ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการขับไล่มั่วเวิ่นฉิง และพอดีว่าท่านนั้นตรงกันข้ามกับมั่วเวิ่นฉิง...ทั้งเชื่อฟังและโง่งม…สายเลือดของเจ้าสำนักรุ่นก่อนจงรักภักดีต่อเจ้าสำนักเย่าหวังกู่ หลิงซูบอกท่านเช่นนี้ใช่หรือไม่ กงอ๋อง เหตุใดท่านไม่ลองคิดดู หากหลินซูจงรักภักดีต่อเจ้าสำนักเย่าหวังกู่เช่นนั้นจริงๆ จะกล้าขับไล่เจ้าสำนักเย่าหวังกู่คนก่อนได้อย่างไร หึหึ…”
“หุบปาก!” มู่หรงอวี้สีหน้าอึมครึม ตะโกนด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
เขาไม่อยากที่จะเชื่อคำพูดของกู้หลิวอวิ๋น แต่ในใจกลับอดคิดตามคำพูดของกู้หลิวอวิ๋นไม่ได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ ทุกอย่างในเย่าหวังกู่ล้วนเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ความจงรักภักดีที่หลิงซูมีต่อเขานั้นเกิดขึ้นมาอย่างกะทันหันโดยไม่มีต้นตอใดๆ หากเป็นกงอ๋องในเมื่อก่อน มู่หรงอวี้ไม่มีทางเชื่อหลิงซูง่ายๆ แต่อานซุ่นจวิ้นอ๋องในตอนนี้ เขาที่ไม่มีหลักประกันใดๆ อยู่ในมือไม่อาจไม่เชื่อความจงรักภักดีของหลิงซูได้ หากเป็นดั่งที่กู้หลิวอวิ๋นกล่าวจริงๆ…เช่นนั้นเขาก็ถูกปั่นหัวตั้งแต่ต้นจนจบ และผลที่ตามมา…
มู่หรงอวี้อดรู้สึกหนาวสั่นไม่ได้ มองมู่ชิงอีพลางเอ่ยอย่างแข็งกร้าว “เจ้าไสหัวออกไป! ข้าไม่มีวันเชื่อเจ้า!”
มู่ชิงอีไม่ได้คิดอะไร เก็บพัดลวดลายงดงามในมือก่อนจะเดินวนไปวนมาอย่างไม่ใส่ใจ เอ่ยเสียงเรียบ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อานซุ่นจวิ้นอ๋องก็อยู่ที่นี่อย่างสบายใจเถิด หากมีเวลา…ข้าจะกลับมาเยี่ยมท่าน”
หันหลังเดินกลับไปที่ประตู มู่ชิงอีหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็หันไปมองมู่หรงอวี้ที่อยู่ในห้องคุมขังเอ่ย “จริงสิ กงอ๋อง ตอนนั้น…ที่ท่านใส่ร้ายตระกูลกู้เคยคิดถึงวันนี้บ้างหรือไม่”
ในขณะที่มู่หรงอวี้กำลังตกตะลึง มู่ชิงอีก็หันหลังกลับโดยไม่ลังเล มู่หรงอวี้จ้องมองไปยังประตูห้องคุมขังที่ว่างเปล่า สิ่งที่ปรากฏขึ้นในหัวของเขากลับเป็นรอยยิ้มจางๆ เมื่อครู่ของกู้หลิวอวิ๋นที่หันกลับมามองในตอนสุดท้าย เห็นอย่างชัดเจน ดูเหมือนว่าฝ่ายตรงข้ามจะแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มขี้เล่นเล็กน้อยราวกับ…
“อวิ๋นเกอ…อวิ๋นเกอ…” เป็นคนตระกูลกู้จริงๆ น่ะหรือ คนตระกูลกู้กลับมาแก้แค้นเขา แต่เหตุใดไม่ใช่กู้ซิ่วถิง กลับเป็นคนที่หน้าเหมือนนางอย่าง…กู้หลิวอวิ๋น
มู่ชิงอีที่ยืนอยู่นอกประตูห้องคุมขังได้ยินเสียงมู่หรงอวี้เรียกชื่อกู้อวิ๋นเกอดังมาจากข้างใน น้ำเสียงดูเหมือนจะมีความลึกซึ้งบางอย่างอยู่ในนั้น พลอยทำให้นางอดยกมุมปากยิ้มเยาะไม่ได้ เรียกหากู้อวิ๋นเกอตอนนี้ทำไมกัน ต่อให้กู้อวิ๋นเกอกลับมาก็เป็นเพียงวิญญาณชั่วร้ายที่ปีนขึ้นมาจากนรก
ตามที่มู่ชิงอีคาดไว้ ความหวังในตัวหรงเหยี่ยนของมู่หรงอวี้เป็นเพียงแค่ความเพ้อฝันเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงว่าตัวหรงเหยี่ยนเองตอนนี้ก็เอาตัวไม่รอด ต่อให้ไม่เป็นอะไร ความคิดแรกของหรงเหยี่ยนหลังจากที่ทำผิดพลาดเช่นนี้คือการปิดปากมู่หรงอวี้ ไหนเลยจะคิดที่จะช่วยเขา มู่หรงอวี้ถูกคุมขังเป็นเวลาสองวัน ที่ว่าการเฟิ่งเทียนถูกผู้ลอบสังหารโจมตีหลายครั้งติดต่อกัน แต่นักฆ่าเหล่านี้ไม่ได้ลงมือกับขุนนางของสำนักงานที่ว่าการเฟิ่งเทียนและไม่ได้ลงมือกับบรรดาขุนนางที่ถูกขังไว้หลังสำนักงาน แต่กลับตรงไปยังห้องคุมขังของที่ว่าการเฟิ่งเทียน เพียงแต่น่าเสียดายที่การคุ้มกันห้องคุมขังของที่ว่าการเฟิ่งเทียนได้แตกต่างจากเดิมไปนานแล้ว นักฆ่าธรรมดาไหนเลยจะสามารถเข้าใกล้ได้