หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 488 การตายของมู่หรงอวี้(4)
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์จับมือเจี่ยงปินเพื่อพยุงตัวเองลุกขึ้น ตรัสด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “มู่หรงอวี้ผู้นั้น เจ้าหาวิธีจัดการเองเถิด” มู่ชิงอีก้มหน้าพลางรับคำ ในใจก็รู้ว่าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ต้องการปิดบังเรื่องนี้ ดูเหมือนว่าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์จะชราภาพมากแล้วจริงๆ หากเป็นเมื่อยี่สิบปีก่อน บรรดาองค์ชายเหล่านี้เกรงว่าจะมีจุดจบไม่ดีสักคน เพียงแต่ว่า…เกรงว่าเรื่องนี้จะไม่ใช่เรื่องที่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์สามารถปิดบังได้ตามต้องการ ไม่ว่าจะเป็นหรงเซวียนและตระกูลหนานกงที่ถูกทำร้ายหรือหรงจังที่ยืนดูความทุกข์ของผู้อื่น เกรงว่าคงไม่มีทางปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปอย่างราบรื่น
“เราจะกลับวังแล้ว พวกเจ้า…จัดการกันเองเถิด”
“น้อมส่งฝ่าบาท” มู่ชิงอียกมือคารวะกล่าวด้วยความเคารพ
หลังจากฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เสด็จกลับ มู่ชิงอีก็มองไปที่หรงจิ่นซึ่งนั่งอยู่ด้านข้าง “เกิดอะไรขึ้น เหตุใดไม่เห็นโต้เถียง” หรงจิ่นลืมตาเอ่ย “ตาเฒ่าป่วยจริงๆ ด้วย”
“หือ?” มู่ชิงอีเลิกคิ้ว หรงจิ่นเอ่ยต่อไปว่า “บนตัวเขามีกลิ่นยาชะล้างหยก”
“มันคืออะไรหรือเพคะ”
หรงจิ่นเอ่ยตอบ “มันคือยาอายุวัฒนะที่มีเฉพาะในราชวงศ์ของแคว้นเย่ว์ เดิมทีเป็นอันตรายต่อร่างกาย หากไม่ได้ป่วยหนักจนไม่สามารถรักษาได้จริงๆ มักไม่มีใครยอมกิน ตอนที่ข้าอายุแปดขวบ ใกล้จะจากโลกนี้ไป สุดท้ายก็ได้ใช้ยาชะล้างหยกครึ่งเม็ดชุบชีวิตกลับมาแล้วไปหาคนให้ช่วยรักษา”
เมื่อได้ฟังดังนั้น มู่ชิงอีก็ตกใจ “มีอันตรายอะไรหรือ หรือว่าท่าน…” คิดถึงอารมณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้เป็นครั้งคราวของหรงจิ่น ความบ้าคลั่งวู่วามและการอาเจียนออกมาเป็นเลือดอย่างเจ็บปวดในบางครั้ง หากนี่เป็นความอันตรายของยาชะล้างหยก แสดงว่าจะไม่มีใครทานมันเว้นแต่จะเป็นทางเลือกสุดท้าย
หรงจิ่นส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ยาไม่ได้ส่งผลเสียต่อร่างกายโดยมีผลลัพธ์ที่แน่นอน บางคนหูหนวก บางคนตาบอด และบางคนถึงกับเป็นอัมพาตไปครึ่งตัว แต่ผลของยาในตัวข้ายังไม่ทันได้แสดงออกมาอย่างเต็มที่ก็มีบางอย่างเกิดขึ้น ผลกระทบของยาที่มีต่อข้าถือว่าน้อยที่สุดแล้ว อีกอย่างตอนนั้นข้าอายุเพียงแปดขวบ ดังนั้นจึงกินไปแค่ครึ่งเม็ด ประสิทธิภาพของยาชะล้างหยกนี้ไม่ได้ง่ายเช่นนั้น ผลของยาเม็ดกับยาเพียงครึ่งเม็ดนั้นไม่เหมือนกัน แต่สำหรับตาเฒ่าแล้วก็คงไม่ได้แตกต่างอะไร บางทีเขาอาจจะอดทนอยู่ไม่ถึงตอนที่พิษกระจายไปจนทั่ว”
มู่ชิงอีมุ่นคิ้วเอ่ย “หากเป็นอย่างที่ท่านพูด ตอนนี้ฝ่าบาทก็ควรจะเตรียมเลือกผู้สืบทอดบัลลังก์ได้แล้ว เหตุใดฝ่าบาทจึงยังต้องปิดบังเรื่องตวนอ๋องต่อไป หรือว่าเขาไม่กลัวว่าลับหลังเขา…พี่น้องจะต่อสู้แย่งชิงกัน”
หรงจิ่นเองก็ขมวดคิ้วเช่นกัน เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวเสียงเบา “บางทีอาจจะถูกตาเฒ่าหลอก! หากเขากินยาชะล้างหยกเข้าไปจริงๆ เกรงว่าคงจะกลัวข้ามองออกจึงต้องหลบไปให้ไกล จะมาที่ว่าการเฟิ่งเทียนโดยเฉพาะได้อย่างไร ชิงชิงไม่ต้องกังวล ข้าจะตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดเจน ตอนนี้…เชื่อฟังตาเฒ่าจัดการเรื่องมู่หรงอวี้ก่อน เดี๋ยวจะเกิดความวุ่นวายอะไรตามมาอีก” มู่หรงอวี้มีชีวิตอยู่นานเกินไปแล้ว!
มู่ชิงอีพยักหน้ารับคำ “หม่อมฉันทราบแล้ว”
ที่ห้องคุมขังในที่ว่าการเฟิ่งเทียน มู่หรงอวี้นั่งอยู่บนกองฟางรกร้างภายใต้แสงเทียนสลัว สีหน้าหดหู่ของเขาทำให้คนมองไม่ออกเลยว่าหนึ่งปีก่อนเขาเคยเป็นองค์ชาย องค์ชายหกกงอ๋องที่มีชื่อเสียงที่สุดในแคว้นหวา
เมื่อมองห้องคุมขังที่มืดมิดและเย็นยะเยือกที่อยู่ตรงหน้า มู่หรงอวี้ไม่รู้ว่าตัวเองจะยังทำหรือคิดอะไรได้อีก ความจริงเขาเข้าใจนานแล้วว่าเขาจบสิ้นตั้งแต่ตอนที่รับปากกับตวนอ๋องว่าจะหนีออกจากแคว้นหวาแล้ว เพียงแต่ว่าเขายอมไม่ได้จึงต้องการที่จะต่อสู้แย่งชิงก็เท่านั้น แผนการก่อนหน้านี้ใช้ความคิดและทำอย่างระมัดระวัง แต่สุดท้ายก็ยังไร้ประโยชน์
จู่ๆ เขาก็นึกถึงสตรีชุดแดงผู้นั้นที่เสียชีวิตจากกองไฟในหอนางโลมชุ่ยหงเมื่อหนึ่งปีที่แล้วโดยไม่รู้ตัว ความจริงนางไม่ได้ชอบชุดสีแดง คุณหนูใหญ่ตระกูลกู้ในอดีตไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์หรือความสามารถก็นับได้ว่าไม่มีใครในเมืองหลวงเทียบเทียมได้ หากไม่ใช่เพราะอายุต่างกันเกินไป ซ้ำเสด็จพ่อยังมีพระประสงค์ที่คิดจะกำจัดตระกูลกู้ ตอนนั้นเขาก็คงไม่ได้หมั้นหมายกับคุณหนูใหญ่ตระกูลกู้ เกรงว่ากู้อวิ๋นเกอคงได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระชายาของรัชทายาทไปนานแล้ว
เขาอดคิดไม่ได้ว่าหากตอนนั้นตัวเองไม่ได้มีความทะเยอทะยานและหยิ่งยโสเช่นนั้น เขาคงได้แต่งงานกับสตรีที่มีความสามารถโดดเด่นผู้นั้นไปแล้ว ยังคงเป็นกงอ๋องแห่งแคว้นหวาอย่างสบายใจ มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองไปนานแล้วใช่หรือไม่
น่าเสียดายที่โลกนี้ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรได้!
เขาทำร้ายตระกูลกู้ ชีวิตรุ่งโรจน์ขึ้นมาทันใด แต่สิ่งที่ต้องแลกคือการแก้แค้นอย่างแสบทรวงของคนตระกูลกู้ เสด็จแม่ น้องชาย ภรรยาล้วนเสียชีวิตก่อนถึงวัยอันควร ส่วนตัวเองก็หนีออกมาจากแคว้นหวาอย่างน่าอนาถ
เขาใส่ร้ายมั่วเวิ่นฉิงชิงตำแหน่งเจ้าสำนักเย่าหวังกู่ แต่สุดท้ายกลับถูกคนเย่าหวังกู่หลอกใช้และทรยศ ดั่งคำว่ากรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนอง
“อวิ๋นเกอ…เมื่อร่างถูกฝังลงดินแล้วเจ้าจะอภัยให้ข้าหรือไม่” ในห้องขังที่ว่างเปล่า เสียงของมู่หรงอวี้ก้องกังวานอย่างแผ่วเบา
มีเสียงประตูเปิดดังขึ้น
ประตูห้องขังที่เดิมทีปิดสนิทถูกคนเปิดออกจากด้านนอก มู่ชิงอีก้าวเข้ามาช้าๆ พร้อมกับเหยือกสุราพลางมองมู่หรงอวี้อย่างเงียบเชียบ มู่หรงอวี้มองนางด้วยสีหน้ามึนงง จากนั้นก็ค่อยๆ เคลื่อนสายตาไปที่เหยือกสุราในมือนาง สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย “พิจารณาคดีเสร็จแล้วหรือ”
มู่ชิงอีวางเหยือกสุราลงบนโต๊ะที่อยู่ข้างๆ นั่งลงพร้อมกล่าวเสียงเรียบ “การสอบสวนทั้งหมดเดิมเป็นเพียงแค่ข้ออ้างเท่านั้น ท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือ ราชวงศ์จะปล่อยให้เรื่องอื้อฉาวดังกล่าวมีโอกาสแพร่กระจายออกไปได้อย่างไร”
มู่หรงอวี้อดหัวเราะอย่างน่าสมเพชไม่ได้ “ดังนั้นที่เจ้าให้ข้าชี้ตัวตวนอ๋องก็เพียงแค่ต้องการทำลายชื่อเสียงของเขาอย่างนั้นหรือ สุดท้ายโทษทัณฑ์ก็ยังตกอยู่ที่ข้า”
“หรือท่านคิดว่าตัวเองถูกใส่ร้าย” มู่ชิงอีเอียงศีรษะ ถามด้วยความแปลกใจ ไม่ว่าจะเอาผิดทางกฎหมายกับหรงเหยี่ยนได้หรือไม่ แต่เรื่องที่มู่หรงอวี้สั่งให้คนวางยาพิษจวงอ๋องนั้นเป็นความจริง มู่หรงอวี้ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยิ้มพลางส่ายหน้า “เจ้าพูดถูก ข้าไม่ได้ถูกใส่ร้าย”
หลังจากต่อสู้มานาน เขาเริ่มไม่รู้แล้วว่าตัวเองยืนหยัดไปเพื่ออะไรกันแน่ ที่แท้นับตั้งแต่วินาทีที่เขาออกมาจากแคว้นหวา เขาก็เป็นเพียงหมากลับของคนอื่นที่สามารถทิ้งได้ทุกเมื่อ เผยรอยยิ้มเศร้าใจ มู่หรงอวี้ถึงขั้นเกลียดตัวเองว่าทำไมไม่ตายอยู่ที่แคว้นหวาตั้งแต่แรก
มู่ชิงอียกเหยือกสุราขึ้นมารินใส่จอกด้วยท่าทางสบายๆ เอ่ย “กงอ๋องมีอะไรจะถามอีกหรือไม่”
มู่หรงอวี้จ้องมองมู่ชิงอีอยู่นาน ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “เจ้าเป็นใครกันแน่”
มู่หรงอวี้ถามคำถามนี้มากกว่าหนึ่งครั้งแล้ว แต่กลับไม่เคยได้รับคำตอบอย่างจริงจังเลย เขาอยากรู้ว่าตัวเองพ่ายแพ้ให้ใครกันแน่
ช่างเซ้าซี้เสียจริง! มู่ชิงอีรู้สึกขบขันเล็กน้อย “ข้าเป็นใครนั้นสำคัญด้วยหรือ”
มู่หรงอวี้ไม่ได้พูดอะไร แต่ดวงตาที่จ้องมองไปที่นางได้อธิบายความคิดของเขาแล้ว
มู่ชิงอีขมวดคิ้วเล็กน้อย ยกมือขึ้นดึงผมที่มวยไว้ลงมา เมื่อผมสีดำขลับถูกปล่อยลงมาก็ขับให้ใบหน้าที่อ่อนหวานอยู่แล้วยิ่งดูนุ่มนวลกว่าเดิม เดิมทีมู่หรงอวี้ไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางจึงทำเช่นนี้ แต่ไม่นานเมื่อนางใช้มือดึงหน้ากากออกมู่หรงอวี้ก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบว่าคนตรงหน้าที่เขาเห็นว่าเป็นชายหนุ่มชุดขาวมาโดยตลอดกลับเป็นหญิงสาวร่างบาง
“เจ้า…เจ้าคือมู่ชิงอี?” มู่ชิงอี ที่แท้จังชิงก็คือมู่ชิงอี กู้หลิวอวิ๋นก็คือมู่ชิงอี