หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 494 ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ประชวรหนัก(2)
หนานกงอี้อดชะงักไปไม่ได้ จากนั้นก็มองมู่ชิงอีแล้วเอ่ยถามอย่างฉงนว่า “นี่คือ?”
มู่ชิงอีลูบหลังหั่วเอ๋อร์เชิงปลอบใจ ยิ้มเอ่ย “ขอโทษด้วย หั่วเอ๋อร์มักขลุกตัวอยู่กับเมาเอ๋อร์บ่อยๆ มันเลยเข้าใจว่าเจ้าจะแย่งขนมของมัน”
ดังนั้นขนมที่วางไว้ตรงนี้มิใช่ไว้ให้คนกินหรอกหรือ
สมแล้วที่หนานกงอี้เป็นคนรุ่นใหม่แห่งตระกูลหนานกง เขาไม่ได้รู้สึกลำบากใจเลยแม้แต่น้อย เขายกมือขึ้นเอาขนมขนาดเล็กประณีตในมือไปวางไว้ตรงหน้าหั่วเอ๋อร์ หั่วเอ๋อร์มองเขาแน่นิ่งอย่างระแวง จนกระทั่งมู่ชิงอียกมือลูบหัวมัน มันถึงงับขนมมากัดกินอย่างชอบอกชอบใจ
“เจ้านี่ไหวพริบดีไม่หยอก” หนานกงอี้เอ่ยชื่นชม
ฮั่วซูที่อยู่ด้านข้างยิ้มเอ่ย “คุณชาย ส่งตัวหั่วเอ๋อร์มาให้ข้าเถิดเจ้าค่ะ เสื้อผ้าของคุณชายจะได้ไม่เปื้อน”
มู่ชิงอีเองก็รู้ว่าหนานกงอี้มาหาตนเพราะมีเรื่องอยากคุยด้วยเลยพยักหน้าก่อนส่งตัวหั่วเอ๋อร์ไปให้ หั่วเอ๋อร์ดีดดิ้นไปมาอยู่ในอ้อมอกฮั่วซูไม่กี่ที แต่พอค้นพบว่าเป็นคนคุ้นเคยถึงผ่อนคลายก่อนกินขนมของตัวเองต่อไป
มู่ชิงอีขยับเสื้อคลุมแล้วเอนกายพิงพนักเก้าอี้ยิ้มกล่าว “ระยะนี้ใต้เท้าหนานกงน่าจะยุ่งมากถึงจะถูก เหตุใดถึงมีเวลามาหาข้าได้เล่า”
หนานกงอี้ส่ายศีรษะ ยิ้มอย่างขมขื่น “ยุ่งอะไร…ข้าก็แค่ทำเท่าที่จะทำได้ก็เท่านั้น”
มู่ชิงอีเข้าใจในทันที ถึงแม้หรงเซวียนจะเอาชีวิตรอดมาได้ แต่ร่างกายกลับถูกทำลายไม่น้อย ด้วยฤทธิ์ยาของเย่าหวังกู่ ต่อให้หลิงซูไม่ได้ตั้งใจแต่ก็ไม่มีทางที่หรงเซวียนจะไม่เป็นอะไรเลยอยู่แล้ว ตำแหน่งฮ่องเต้แคว้นเย่ว์จะเอาคนร่างกายอ่อนแอที่ไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไรมารับตำแหน่งได้หรือ
ดังนั้นช่วงนี้พรรคพวกของจวงอ๋องถึงลำบากไม่น้อย แต่ก็ทำได้แค่พยายามกดหรงเหยี่ยนไว้เท่านั้น ต่อให้จวงอ๋องไม่ได้ครองบัลลังก์ แต่คนที่ได้รับตำแหน่งต่อไปห้ามเป็นตวนอ๋องเด็ดขาด
เพียงแต่สถานการณ์เช่นนี้หนานกงอี้มาเยี่ยมเยียนนางได้ก็นับว่าน่าอัศจรรย์ใจไม่น้อย
น้องชายที่จวงอ๋องเชื่อใจและไว้วางใจที่สุดกับอีกคนที่ใครๆ ต่างยอมรับว่าเป็นคนของอวี้อ๋อง หากเป็นยามปกติยังว่าไปอย่าง แต่สถานการณ์อ่อนไหวเช่นนี้กลับชวนให้ใครๆ ต่างคิดเลยเถิดไปไกล
มู่ชิงอีถือแก้วกระเบื้องขาวในมือเล่นโดยไม่พูดอะไร
หนานกงอี้เองก็ไม่รีบร้อน เพียงแต่ลอบถอนหายใจเสียงเบา ใครๆ ต่างบอกว่ากู้หลิวอวิ๋นสุขุมสง่างาม นิสัยอ่อนโยน แต่หลังจากไปมาหาสู่กันหลายครั้งหนานกงอี้ถึงรู้ว่า ความจริงกู้หลิวอวิ๋นไม่ใช่คนที่จะพูดอะไรด้วยได้ง่ายดายเลยสักนิด
หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง หนานกงอี้ก็มองมู่ชิงอีด้วยสีหน้าจริงจัง เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ใต้เท้ากู้ ไม่รู้ว่าอวี้อ๋องคิดอย่างไรกับสถานการณ์ในวังตอนนี้บ้างหรือ”
มู่ชิงอียิ้มบางเอ่ย “อวี้อ๋องเพิ่งเข้าราชสำนักได้ไม่นาน อีกทั้งไม่มีอิทธิพลและแรงสนับสนุนใด แล้วจะมีความคิดเห็นใดได้เล่า”
หนานกงอี้ส่ายศีรษะ เอ่ยอย่างระอาใจ “ใต้เท้ากู้อย่าพูดเช่นนี้เลย ถึงอย่างไรข้ามาที่นี่ก็เป็นการแสดงถึงความจริงใจของตระกูลหนานกงและจวนจวงอ๋องแล้ว หากอวี้อ๋องไม่มีความคิดเห็นใดเลยจริงๆ เหตุใดใต้เท้ากู้ถึงต้องยอมทนลำบากรับตำแหน่งเป็นผู้ว่าการเฟิ่งเทียนเล่า ข้ามองออกว่าใต้เท้ากู้ไม่ได้เป็นคนที่รักในชื่อเสียงและอำนาจเลยสักนิด”
มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “ไม่หรอก เกรงว่าใต้เท้าหนานกงจะมองกู้หลิวอวิ๋นผิดไปแล้ว หากหลิวอวิ๋นไม่รักในอำนาจแล้วจะอยู่ในเมืองหลวงแคว้นเย่ว์ไปทำไม ใต้หล้ากว้างใหญ่ขนาดนี้จะไม่มีที่ให้อยู่เลยหรือ”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้…” หนานกงอี้มีแสงประกายพาดผ่านดวงตาแล้วเอ่ยต่อ “คิดว่าข้อเสนอแนะของข้าคงไม่ได้ขัดแย้งกับใต้เท้ากู้กระมัง”
มู่ชิงอีถอนหายใจเสียงเบา “คิดว่าใต้เท้าหนานกงน่าจะรู้นิสัยของอวี้อ๋องอยู่บ้าง ข้าตัดสินเรื่องนี้โดยพลการไม่ได้จริงๆ เพราะเหตุนี้…ใต้เท้าหนานกงไม่จำเป็นต้องพูดหรอก”
ไม่ใช่เพราะมู่ชิงอีไม่เชื่อใจนิสัยของคนจวนจวงอ๋องหรือหนานกงอี้ แต่…ความจริงนางและหรงจิ่นต่างผูกปมที่แก้ไม่ได้กับหรงเซวียนไว้แล้ว นับตั้งแต่วางแผนฆ่าหรงหวงครั้งนั้น ถึงแม้ทุกอย่างจะไม่ใช่ฝีมือของพวกเขาเสียทั้งหมด แต่พวกเขาก็มีส่วนเกี่ยวอย่างเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน ในเมื่อหน้าต่างมีหูประตูมีช่อง หากไม่แน่ใจว่าจะผูกมิตรกับพวกเขาได้อย่างมั่นคงหรือไม่ สู้อยู่เคารพห่างๆ เช่นนี้ตั้งแต่แรกจะดีกว่า
หนานกงอี้ถอนหายใจอย่างผิดหวัง ความจริงในแง่มุมของเขากลับไม่ค่อยเข้าใจคำปฏิเสธนี้ของมู่ชิงอีนัก ในเมื่อหากพวกจวงอ๋องให้การสนับสนุนอวี้อ๋อง ลำพังแค่ความโปรดปรานของอวี้อ๋องก็ทำให้รับตำแหน่งฮ่องเต้ได้อย่างง่ายดายแล้ว เพราะเหตุนี้เลยทำความเข้าใจได้แค่ว่าเป็นปัญหาของหรงจิ่นจริงๆ พอนึกถึงนิสัยของอวี้อ๋องขึ้นมา หนานกงอี้ก็ทำได้แค่ส่ายศีรษะแล้วถอนหายใจ
ด้วยความเอาแต่ใจและหัวรั้นของอวี้อ๋อง เกรงว่าต่อให้รับข้อเสนอของเขาจริง วันหน้าก็ไร้หนทางจะควบคุมได้ บางทีความคิดนี้ของเขาและจวงอ๋องอาจผิดมาตั้งแต่ต้นแล้ว
ครั้นเห็นสายตาผิดหวังของหนานกงอี้ มู่ชิงอีก็ยกการินชาเต็มแก้วให้เขาด้วยรอยยิ้มเอ่ย “ไม่ง่ายเลยกว่าใต้เท้าหนานกงจะแวะมาสักครั้ง เหตุใดต้องคิดเรื่องวุ่นวายใจพวกนี้ด้วยเล่า”
หนานกงอี้ยิ้มขมขื่น “จะไม่ให้คิดได้เช่นไร ใต้เท้ากู้โปรดบอกความคิดของข้าให้อวี้อ๋องทราบที ในเมื่อด้วยความโปรดปรานที่ฝ่าบาทมีต่ออวี้อ๋องแล้ว ไม่ว่าใครได้ขึ้นครองบัลลังก์ก็ไม่เป็นผลดีกับอวี้อ๋องทั้งสิ้น”
มู่ชิงอีก้มหน้าพลางเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณใต้เท้าหนานกงมากที่ช่วยเอ่ยเตือน แล้วข้าจะบอกให้”
ครั้นไม่บรรลุตามเป้าหมาย หนานกงอี้จึงไม่อยู่นาน นั่งเพียงครู่เดียวก็ขอตัวกลับ หนานกงอี้เพิ่งเดินออกไปไม่นาน ตรงมุมโค้งทางเดินอีกฝั่งก็ปรากฏร่างของหรงจิ่นอุ้มหั่วเอ๋อร์เดินย่างกรายมาอย่างช้าๆ
หั่วเอ๋อร์ดิ้นพล่านอยู่ในอ้อมอกหรงจิ่นพลางส่งร้องเสียง “จิ๊ๆ” อย่างยากลำบาก หรงจิ่นเอ่ยพลางขมวดคิ้ว “เหตุใดเจ้านี่ถึงลอกเลียนแบบเสียงร้องของหนูนะ คงไม่ใช่เพราะว่าไม่เคยเห็นจิ้งจอกมาตั้งแต่เล็กเลยไม่เข้าใจภาษาจิ้งจอกกระมัง ชิงชิง เจ้าอยากหาคู่หูจิ้งจอกให้มันสักสองสามตัวหรือไม่เล่า รอเจ้านี่โตจะได้มีคู่ครองที่เหมาะสมไปด้วยเลย”
หั่วเอ๋อร์เข้าใจภาษาจิ้งจอกหรือไม่ไม่มีใครรู้ แต่เจ้านี่ย่อมสัมผัสได้ถึงเจตนาร้ายของหรงจิ่นอย่างชัดเจน มันจึงดิ้นพล่านอย่างหนัก ฉวยโอกาสตอนหรงจิ่นคลายมือแปลงกายเป็นแสงสีแดงพุ่งตัวเข้าไปในอ้อมอกมู่ชิงอีทันที “จิ๊ๆ…หวู่ๆ”
มู่ชิงอีเองก็รู้สึกว่าภาษาของหั่วเอ๋อร์ค่อนข้างซับซ้อน ไม่แน่หากวันใดมันอ้าปากร้อง ‘เมี๊ยว’ นางคงไม่รู้สึกประหลาดใจเลยด้วยซ้ำ
“เหตุใดมาแล้วถึงไม่ออกมาเล่า” มู่ชิงอีอุ้มหั่วเอ๋อร์พลางเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
หรงจิ่นแค่นเสียงเบาแล้วนั่งลงพิงนาง จากนั้นก็หยอกเย้าเจ้าจิ้งจอกน้อยที่อารมณ์หงุดหงิดต่อ “ชิงชิงช่วยปฏิเสธแทนข้าไปแล้วมิใช่หรือ ข้าไม่ชอบเรื่องวุ่นวาย ทั้งๆ ที่รู้ว่าวันหน้าต้องแตกหัก เหตุใดต้องมัวเสียเวลาเล่า” มู่ชิงอีเอ่ย “อิทธิพลในกองทัพของตระกูลหนานกงดูแคลนไม่ได้จริงๆ หม่อมฉันคิดว่าท่านจะหวั่นไหวเสียอีก”
หรงจิ่นเกาจมูก “หนานกงเจวี๋ยแก่แล้ว หากหนานกงอวี้อยากเป็นยอดฝีมือคงต้องใช้เวลาไม่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นหนานกงเจวี๋ยก็ไม่ได้ออกสมรภูมิรบมานานมากแล้ว ถึงแม้จะยังชื่อเสียงโด่งดัง แต่หากกล่าวถึงอิทธิพลในกองทัพกลับไม่เท่าไร ถึงแม้จะน่าเสียดายไปบ้าง แต่…หากวันหน้าข้าทำอะไรหรงเซวียน เจ้าว่าหนานกงเจวี๋ยจะเปลี่ยนไปหรือไม่เล่า”
มู่ชิงอียิ้มบาง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคิดไปในทางเดียวกัน หรงจิ่นย่อมรู้ความคิดของนางจึงสยายผมนุ่มของนางอย่างสุขใจกล่าว “ข้ารู้ว่าข้ากับชิงชิงใจสื่อถึงกันได้”