หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 495 ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ประชวรหนัก(3)
มู่ชิงอีดึงมือของเขาออกอย่างเอือมระอา เอ่ยถาม “ในวังเป็นอย่างไรบ้างเพคะ เมื่อครู่เหมือนท่านอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก” ในสถานการณ์ปกติหากหรงจิ่นอารมณ์ไม่ดีก็จะยิ่งชอบรังแกหั่วเอ๋อร์อยู่เรื่อย
หรงจิ่นแววตาเป็นประกาย เอ่ยเสียงเรียบ “วันนี้ตอนที่ข้าไปตำหนักเหมย ข้าแวะไปที่พระตำหนักชิงเหอด้วย”
มู่ชิงอีชะงักไป แม้แต่มือที่กำลังลูบไล้ขนของหัวเอ๋อร์ก็ชะงักไปด้วย มุ่นคิ้วเอ่ย “พระตำหนักชิงเหอหรือ ท่านไป…” พระตำหนักชิงเหอเพิ่งมีข่าวลือว่าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ทรงเขียนคำสั่งเสีย หากหรงจิ่นไปหาตอนนี้จะไม่ดูร้อนใจไปหน่อยหรือ หากใครเห็นเข้า อาจมีเรื่องไม่คาดคิดโผล่ตามหลังมาก็ได้
หรงจิ่นยิ้มกล่าว “ข้าจะโง่ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ข้าย่อมไม่ได้ไปเพราะสาสน์สั่งเสียพวกนั้น แต่ไปเพื่อ…ดูอาการป่วยของตาเฒ่านั่นให้มั่นใจก็เท่านั้นแต่กลับทำให้ข้าได้ค้นพบเรื่องที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง”
มู่ชิงอีเลิกคิ้วแล้วมองเขาด้วยท่าทีประหลาดใจ หรงจิ่นยกยิ้มที่มุมปากกล่าว “มีคนวางยาตาเฒ่านั่น”
“วางยาหรือ” มู่ชิงอีผงะไป ในวังหลวงคุ้มกันอย่างเข้มงวด สิ่งที่ฮ่องเต้ต้องกินยิ่งต้องผ่านการตรวจสอบหลายขั้นตอนแต่ยังมีคนสามารถวางยาฮ่องเต้แคว้นเย่ว์สำเร็จภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ คนที่ทำได้คงมีเพียง…เย่าหวังกู่!
มั่วเวิ่นฉิงไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้แน่นอน เช่นนั้นคงมีเพียงหลิงซูแล้ว
“นางคิดจะทุ่มแรงทั้งหมดเพื่อทำลายเย่าหวังกู่เลยหรือ หากฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ทรงสวรรคตเพราะโดนวางยาขึ้นมาจริงๆ นี่จะไม่ใช่แค่เรื่องของหลิงซูหรือหมอคนใดคนหนึ่ง เกรงว่ายอดฝีมือที่มีชื่อเสียงในแคว้นเย่ว์ก็คงเดือดร้อนตามไปด้วย มั่วเวิ่นฉิงย่อมหนีไม่พ้นเช่นกัน”
หรงจิ่นยิ้มเย็นชากล่าว “หากตาแก่กินยาชะล้างหยกไปจริงๆ ในระยะเวลาสั้นๆ นี้ไม่มีทางที่จะมียาพิษใดมีผลต่อเขาได้แน่นอน หากไม่ได้กินยาชะล้างหยกก็คงมีชีวิตรอดไปได้อีกไม่กี่วัน แต่วางยาพิษที่ออกฤทธิ์ช้าๆ เช่นนี้จะมีประโยชน์อันใดเล่า”
พอนึกถึงคนบงการเบื้องหลังอย่างหลิงซู มู่ชิงอีก็ถอนหายใจแผ่วเบา มองหรงจิ่นแล้วเอ่ยเสียงเบา “หรงจิ่น ท่านจะไม่นึกเสียใจทีหลังจริงๆ น่ะหรือ”
คนเหล่านั้นใช่ว่าจะเป็นคนอื่นคนไกลที่ไม่ได้มีสายสัมพันธ์ใดด้วยเสียหน่อย อย่างไรเสียเขาก็เป็นบิดาแท้ๆ ของหรงจิ่น...หรืออาจเป็นเสด็จปู่ แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่ใช่คนอื่น หากหรงจิ่นไม่สนใจเลยสักนิดจริงๆ ขณะที่เอ่ยถึงพวกเขา หรงจิ่นคงไม่มีทางเผยอารมณ์เย็นชาและไม่สบอารมณ์เช่นนี้แน่นอน
หรงจิ่นชะงักงันหลุบตาลงเล็กน้อย จากนั้นก็ยกมือขึ้นโอบเอวเล็กบางของนางไว้พร้อมคว้าตัวหั่วเอ๋อร์มาวางไว้ที่หน้าตักตนในคราเดียว ต่อมาก็เอียงตัวเอาศีรษะหนุนบนตักของมู่ชิงอีเอ่ยเสียงเบา “เหตุใดต้องเสียใจด้วย อืม…บางทีรอพวกเขาตายแล้วข้าอาจจะพิจารณาดูว่าควรนึกเสียใจหรือไม่ก็แล้วกัน” แต่เวลานี้เขาอยากให้คนพวกนี้ตายไปเสียให้สิ้น!
มู่ชิงอียิ้มขมขื่น หากรอพวกเขาตายคงไม่ทันแล้วกระมัง
มู่ชิงอีไม่ใช่คนอ่อนแอ เพราะแม้แต่องค์ชายแห่งแคว้นหวานางยังวางแผนจัดการได้โดยไม่คิดปรานีสักนิด ทว่านางกลับกลั้นใจทำกับฮ่องเต้แคว้นเย่ว์และหรงจังไม่ค่อยลง ไม่ใช่เพราะพวกเขา แต่เป็นเพราะบุรุษตรงหน้านางที่บางครั้งก็เย่อหยิ่งและหัวรั้น แต่บางทีก็อ่อนแอเหมือนเด็กอ่อนหัดคนหนึ่งมากกว่า
สุดท้ายนางก็วางเขาไว้ในใจของนาง
“ได้เพคะ เชื่อท่านก็แล้วกัน” มู่ชิงอียิ้มบางกล่าว หากวันหน้าท่านนึกเสียใจ ข้าจะรับบาปกรรมครั้งนี้ไว้เอง หรงจิ่นยกมือขึ้นกุมมือเรียวงามที่อยู่บนใบหน้าตนอย่างอาลัยอาวรณ์ก่อนยิ้มเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ชิงชิง ข้าต้องเป็นคนจัดการเรื่องนี้เอง ชิงชิงรอดูอยู่เฉยๆ ก็พอ ขอแค่จบเรื่องเหล่านี้ด้วยตัวเอง ข้าถึงจะมีความสุข” เขาจะไม่รู้ทันความคิดของชิงชิงได้เช่นใด แต่เขาจะทนเห็นนางแบกรับเรื่องเหล่านี้ได้หรือ ในเมื่อเขารู้ดีต่อให้ชิงชิงจะฆ่าใคร เขาก็ไม่มีทางโทษนางแน่นอน แต่เขาไม่อยากทำให้นางไม่สบายใจ
“หรงจิ่น ท่านโง่หรืออย่างไรกัน” มู่ชิงอีมุ่นคิ้วกล่าว
หรงจิ่นยิ้มตาหยีกล่าว “เพราะข้าฉลาดเหนือใครต่างหาก ฉะนั้นการตัดสินใจของข้ามักถูกเสมอ” ดังนั้นข้าจะยอมให้ชิงชิงมีปมในใจเพราะคนพวกนั้นได้เช่นไรเล่า
ช่วงต้นเดือนสาม หลังจากเกิดเรื่องวุ่นวายระหว่างจวงอ๋องและตวนอ๋องจนดังกระฉ่อนราวเดือนกว่า ในที่สุดทุกเรื่องก็ได้ยุติลงชั่วขณะภายใต้อิทธิพลของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ สุดท้ายหรงเหยี่ยนถูกลดขั้นเป็นเพียงจวิ้นอ๋อง พรรคพวกของตวนอ๋องล้มกันไม่เป็นท่า ถึงแม้หรงเซวียนจะรักษาตำแหน่งชินอ๋องไว้ได้แต่ก็นอนป่วยติดเตียง ทุกคนต่างรู้ดีว่าเขาไร้ซึ่งอิทธิพลอำนาจใดแล้ว ชั่ววินาทีนั้นเหล่าองค์ชายวัยละอ่อนทั้งหลายก็เริ่มอดผุดความคิดบางอย่างขึ้นมาไม่ได้ ทว่าพวกเขายังไม่ทันคิดวางแผนตระเตรียมสิ่งใด ข่าวเรื่องที่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ทรงประชวรหนักก็แพร่งพรายไปทั่วแล้ว ประชุมราชสำนักตอนเช้ายังไม่ทันจบดี ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ก็กระอักเลือดออกมากลางราชสำนัก จากนั้นก็ล้มตัวพิงพนักเก้าอี้หมดสติลุกไม่ขึ้น
เวลานี้เหล่าองค์ชายและขุนนางในราชสำนักถึงสังเกตเห็นว่าฝ่าบาทที่พวกเขาเคยหวาดกลัวและเกรงขามกลายเป็นเพียงชายชราที่ซูบผอมและแก่เฒ่าคนหนึ่ง ท่าทีสูงส่งยิ่งใหญ่ในความทรงจำเมื่อวันวานหลงเหลือเพียงริ้วรอยเหี่ยวย่นและเส้นผมขาวโพลนตามอายุที่ล่วงเลยมา
“เสด็จพ่อเป็นอย่างไรบ้าง” เหล่าขุนนางต่างชะโงกหน้ามองอยู่ด้านนอก ส่วนภายในห้องบรรทมมีเหล่าองค์ชายคอยจับจ้องหมอหลวงที่กำลังตรวจเส้นชีพจรให้ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์อย่างจดจ่อ
เวลานี้เป็นช่วงต้นเดือนสาม ทว่าหมอหลวงกลับเหงื่อชุ่มเต็มแผ่นหลัง จากนั้นก็วางมือผอมแห้งของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ลงอย่างระมัดระวังท่ามกลางสายตาของทุกคน เอ่ยเสียงสั่นเครือว่า “กระหม่อมทูลท่านอ๋อง ร่างกายของฝ่าบาท…อ่อนแรงมาก กระทั่ง…พวกกระหม่อมไร้ความสามารถ ไร้หนทางจะให้เสวยยาใดได้แล้วจริงๆ”
หรงซิงเอ่ยอย่างหงุดหงิดใจ “ข้าถามว่าเสด็จพ่อทรงประชวรเป็นโรคอะไรกันแน่”
หมอหลวงส่ายศีรษะกล่าว “ฝ่าบาทมิได้ประชวรพ่ะย่ะค่ะ”
ทุกคนต่างเงียบกริบ การไม่มีโรคถือว่าเป็นการป่วยที่ยุ่งยากที่สุด ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ใกล้เจ็ดสิบชันษาแล้ว ถือว่าอายุยืนที่สุดในราชวงศ์แล้วก็ว่าได้ พออายุมากขึ้นก็เหมือนไม้ใกล้ฝั่ง ฉะนั้นใครก็ย่อมไร้หนทางทั้งสิ้น เพียงแต่ปีก่อนฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ยังมีกำลังวังชา แผ่อำนาจน่าเกรงขามอยู่เลย ทว่าจู่ๆ กลับกลายเป็นเช่นนี้เลยชวนให้ใครๆ ต่างตั้งรับไม่ทันไปชั่วขณะ
“ออกไปต้มยาเถิด” สุดท้ายหรงเหยี่ยนก็เปิดปากเอ่ยเสียงขรึม ต้มยาที่กล่าวถึงคงทำได้แค่หายาบำรุงร่างกายเท่านั้น เพราะอย่างน้อยมีก็ยังดีกว่าไม่มี
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอตัว” หมอหลวงขานรับอย่างนอบน้อมแล้วถอยเดินออกไปอย่างเบามือเบาเท้า
ภายในห้องบรรทมพลันตกอยู่ในความเงียบงัน เหล่าองค์ชายต่างมองตากันด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป แต่สายตากลับอดมองฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ที่นอนหลับหมดสติบนเตียงไม่ได้ จากนั้นก็รู้สึกสับสนไปชั่วขณะ
“เสด็จพ่อฟื้นแล้ว!” ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์หมดสติไปไม่นาน หมอหลวงเพิ่งเดินออกไป เขาก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น องค์ชายสิบเอ็ดที่เห็นเป็นคนแรกเลยรีบพุ่งตัวเข้าไปหา
“จิ่นเอ๋อร์…” ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ตรัสเรียกเสียงเบา
สายตาของทุกคนจึงตกมาอยู่ที่ร่างของหรงจิ่น สายตาอิจฉาปนเกลียดชังจับจ้องไปที่สีหน้าราบเรียบของหรงจิ่น หรงจิ่นเลิกคิ้วก่อนเดินมาตรงหน้าเตียง “เสด็จพ่อ”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์หันไปกวาดตามองทุกคน ตรัสเสียงอ่อนแรงว่า “พวกเจ้ากลับไปเถิด เรามีเรื่องอยากคุยกับอวี้อ๋อง เราเอาสาสน์ส่งมอบตำแหน่งวางไว้หลังป้ายพระตำหนักชิงเหอแล้ว รอเราตาย พวกเจ้าค่อยไปหยิบมาดูแล้วกัน ส่วนตอนนี้…ให้เวลาเราได้อยู่อย่างสงบหน่อยเถิด!” ถึงแม้ร่างกายอ่อนแรง แต่คำพูดที่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ทรงตรัสออกมากลับแฝงไปด้วยไอสังหารเย็นยะเยือก
ชั่วขณะนั้นองค์ชายทุกคนต่างผุดความน้อยเนื้อต่ำใจขึ้นมาไม่ได้ หรือสำหรับในใจของเสด็จพ่อแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาองค์ชายอย่างพวกเขาไม่มีค่าใดเลย แต่กลับเป็นเพียงเครื่องมือสืบทอดตระกูลก็เท่านั้น ไม่แม้แต่จะเห็นพวกเขาเป็นลูกชายเลยด้วยซ้ำกระมัง