หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 509 ตัดสินผู้ครองบัลลังก์เบื้องต้น(2)
แสงเย็นวาบพุ่งผ่านหน้าของหรงจิ่นไป เขายกมือปัดดาบที่ชี้มาที่คอของตัวเองตามสัญชาตญาณ “เจ้ากล้าไม่เบาเลย คิดจริงๆ หรือว่าเพียงแค่กองกำลังครึ่งเดียวของกองทัพอวี่หลินจะทำอะไรได้”
หรงซิงแสยะยิ้มเอ่ย “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ ตอนนี้เสด็จพ่อไม่อยู่แล้ว ยังจะกล้าอวดดีอีกหรือ เจ้าคิดว่ายังมีคนคอยหนุนหลังเจ้าอย่างนั้นหรือ”
หรงจิ่นเหยียดยิ้ม ยืนขึ้นพลางมองไปที่หรงมู่หลี่กับหรงมู่เฟิงด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ลู่อ๋อง ฉีอ๋อง พวกท่านมีอะไรจะพูดหรือไม่”
หรงมู่หลี่กับหรงมู่เฟิงมองหน้ากัน รู้ว่าหรงจิ่นกำลังบังคับให้พวกเขาเลือก ความจริงแล้วพวกเขาไม่ได้อยากเลือกหรงจิ่น แต่นามของหรงจิ่นเขียนไว้ในพระราชโองการของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ ที่สำคัญไปกว่านั้น ท่าทีของหรงจิ่นในเวลานี้บอกพวกเขาอย่างชัดเจนว่าใช่ว่าเขาไม่มีไพ่ไม้ตายเหลืออยู่ แต่พวกเขาไม่รู้ว่าไพ่ใบสุดท้ายของเขาคืออะไร ดังนั้นการเลือกครั้งนี้จึงมีความสำคัญและต้องรอบคอบเป็นพิเศษ หากเดิมพันผิด เกรงว่าตระกูลคงพังทลาย
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หรงมู่หลี่ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “แน่นอนว่าพวกเราต้องทำตามพระประสงค์ของฝ่าบาท”
หรงจิ่นพยักหน้าอย่างพอใจ หันหลังไปหยิบพระราชโองการที่วางอยู่บนโต๊ะ สีหน้าของหรงซิงเปลี่ยนไป เดินเข้าไปคิดที่จะไปแย่งมา หรงจิ่นสบถเบาๆ เพียงแค่สะบัดแขนเสื้อหรงซิงก็ถูกพลักออกไปด้านข้าง พระราชโองการตกอยู่ในมือของหรงจิ่นอย่างง่ายดาย หรงจิ่นถือพระราชโองการเล่นอยู่ในมือเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้…นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าเป็นฮ่องเต้ของแคว้นเย่ว์ คาดว่าคงไม่มีปัญหาอะไรแล้ว”
ในชั่วขณะหนึ่ง สีหน้าของทุกคนดูย่ำแย่ขึ้นมาเล็กน้อย หรงซิงถูกพยุงขึ้นในขณะที่กำลังมึนงง เขาไม่เข้าใจว่าหรงจิ่นผลักเขากระเด็นออกมาไกลขนาดนี้ได้อย่างไร ด้วยชื่อเสียงของหรงจิ่นที่ป่วยอยู่เป็นประจำ เขาย่อมไม่สงสัยว่าหรงจิ่นอาจจะมีวรยุทธ์ เลยคิดว่าเป็นอุบัติเหตุเท่านั้น
“เจ้าคิดว่าเพียงแค่มีพระราชโองการก็ขึ้นครองราชย์ได้แล้วหรือ” หรงซิงยิ้มเย้ยหยันอย่างดูหมิ่น รู้สึกลึกๆ ในใจว่าเสด็จพ่อทรงสอนหรงจิ่นให้ทั้งไร้เดียงสาและโง่เขลาจริงๆ
หรงจิ่นไม่ได้สนใจเขา กล่าวช้าๆ ว่า “เสด็จลุง เสด็จอา พวกท่านว่าอย่างไร”
“มีอะไรให้พูดอีก เจ้าไม่มีคุณสมบัติที่จะสืบทอดบัลลังก์ด้วยซ้ำ เหตุใดต้องบังคับให้ท่านอ๋องทั้งสองแสดงความคิดเห็นด้วย!” ชายหนุ่มที่หรงจิ่นรู้สึกไม่คุ้นหน้าในบรรดาโอรสและพระราชนัดดาของฮ่องเต้กล่าวขึ้นมาอย่างคัดค้าน
หรงจิ่นเลิกคิ้ว ถามด้วยความสงสัยว่า “เจ้า…มาจากไหน”
“เจ้า!” ชายหนุ่มผู้นั้นโกรธจนหน้าเขียวหน้าแดง “ข้าคือคุณชายสองจวนตวนอ๋อง!” แน่นอนว่าชายหนุ่มผู้นี้เป็นบุตรชายอนุจวนตวนอ๋อง แม้แต่บุตรชายภรรยาเอกเหล่านี้หรงจิ่นก็ใช่ว่าจะรู้จักทั้งหมด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบุตรชายอนุ
หรงจิ่นพยักหน้า กล่าวอย่างสบายๆ ว่า “พูดอย่างที่เจ้าพูดไปเมื่อครู่ให้ข้าฟังอีกครั้งสิ”
พระราชนัดดาที่ติดต่อกับหรงจิ่นมีไม่มากนัก ตอนนี้ก็ยิ่งไม่มีใครกลัวหรงจิ่น ชายหนุ่มผู้นั้นเลยพูดย้ำคำเมื่อครู่อีกครั้งโดยไม่ผิดไปแม้แต่คำเดียว
ก่อนหน้านี้ใบหน้าของหรงจิ่นยังเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่กลับเคร่งขรึมในวินาทีต่อมา ยิ้มอย่างหน้ากลัวเอ่ย “เจ้าต่อต้านพระราชโองการของฮ่องเต้องค์ก่อน คิดจะก่อกบฏอย่างนั้นหรือ ทหาร! เอาตัวไปประหาร!”
เงาสีดำสองเงาปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว ได้ยินเสียงตวัดดาบและแสงสะท้อนของดาบที่พุ่งเข้าฟันชายหนุ่มผู้นั้น ไม่ว่าชายหนุ่มผู้นั้นจะหลบไปทางไหนก็ยังคงโดนคมดาบอยู่ดี คนอื่นๆ ก็ตกตะลึงเช่นกัน พวกเขาคิดไม่ถึงว่าในพระตำหนักชิงเหอจะมีคนของหรงจิ่นซ่อนอยู่
“หยุดเดี๋ยวนี้!” หรงเหยี่ยนพลันเดือดดาล หากปล่อยให้หรงจิ่นฆ่าบุตรชายของเขาตามใจชอบเช่นนี้ เขาคงไม่มีหน้ามาต่อสู้เพื่อแย่งชิงบัลลังก์แล้ว
ขณะที่กำลังพูด หรงเหยี่ยนก็ตบไปที่ชายชุดดำที่อยู่ห่างจากตัวเอง โชคดีที่คุณชายสองจวนตวนอ๋องผู้นั้นไม่ใช่คนที่ไม่เป็นวรยุทธ์ อาศัยโอกาสที่หรงเหยี่ยนแอบโจมตีย่อตัวลงเพื่อหลบใบมีดที่พุ่งเข้ามาแล้วกลิ้งไปตามพื้นจนสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่ทว่า…
“อ๊าก!?” เลือดสาดกระเด็นไปทั่ว แม้ว่าจะรักษาชีวิตไว้ได้ แต่มือข้างหนึ่งถูกดาบฟันจนขาด ชายหนุ่มผู้นั้นร้องด้วยความเจ็บปวดก่อนจะหมดสติไป
“หรงจิ่น!” หรงเหยี่ยนโกรธจนเลือดขึ้นหน้า แม้ว่านี่จะไม่ใช่บุตรชายภรรยาเอกของเขา แต่หรงเหยี่ยนมีบุตรชายภรรยาเอกเพียงคนเดียวและบุตรชายอนุสองคนที่อยู่ในความดูแลของเขา ตอนนี้ได้ถูกคนตัดมือข้างหนึ่งในพระตำหนักชิงเหอแห่งนี้ จะให้เขาทนได้อย่างไร
“ข้าน้อยไร้ความสามารถ ขอองค์ชายโปรดลงโทษ!” เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ชายชุดดำทั้งสองก็รู้ว่าไม่มีโอกาสฆ่าคนแล้วจึงทำได้เพียงคุกเข่าเพื่อขออภัย หรงจิ่นชำเลืองมองคนที่หมดสติอยู่บนพื้น กล่าวอย่างเพิกเฉย “ช่างเถิด เห็นแก่เสด็จพ่อ ก็คงไม่ดีที่จะฆ่าพระราชนัดดาต่อหน้าป้ายวิญญาณของเขา แค่สั่งสอนก็พอแล้ว พวกเจ้าถอยออกไปเถิด”
ชายชุดดำทั้งสองดีอกดีใจ แม้จะทำงานไม่สำเร็จแต่ก็ไม่ถูกลงโทษ วันนี้องค์ชายต้องอารมณ์ดีมากแน่ๆ แม้ว่าฮ่องเต้จะสิ้นพระชนม์แล้วก็ยังอารมณ์ดี…ที่จริงเช่นนี้นับว่าไม่ใช่เรื่องดีเท่าไร แต่เพื่อรักษาชีวิตของพวกเขาไว้ ก็ทำได้เพียงขอให้อารมณ์ขององค์ชายดีเช่นนี้ตลอดไป
“หรงจิ่น! เจ้าทำเกินไปแล้ว!” หรงหยี่ยนกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เจ้ายังไม่ทันได้ขึ้นครองราชย์ก็กล้าฆ่าพระราชนัดดาตามอำเภอใจแล้ว หากให้เจ้าขึ้นครองราชย์จริงๆ จะเป็นอย่างไร”
หรงจิ่นสบถอย่างดูหมิ่น “เขากล้าสงสัยในพระประสงค์ของเสด็จพ่อ แสดงถึงความไม่จงรักภักดี หากข้าไม่ฆ่าเขาแล้วจะรวบรวมอำนาจได้อย่างไร รักษาชีวิตไว้ได้นับเป็นโชคดีของเขา ข้าจะไม่ลงมือกับคนไร้ประโยชน์เป็นครั้งที่สอง”
หรงซิงใช้ดาบชี้พลางกล่าวด้วยความโกรธเคือง “หรงจิ่น เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร ข้าบอกว่าพระราชโองการเป็นของปลอมก็เป็นของปลอมสิ! บรรดาองค์ชายและพระราชนัดดาที่อยู่ที่นี่ต่างก็เป็นพยานได้ พวกท่านเห็นด้วยหรือไม่”
หลายคนยังคงตกใจเป็นอย่างมากกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ แต่หลังจากเปรียบเทียบความแตกต่างความแข็งแกร่งระหว่างทั้งสองฝ่ายพวกเขายังคงเข้าข้างหรงเหยี่ยนกับหรงซิงอย่างแน่วแน่ พยักหน้าพลางกล่าวเห็นด้วย
หรงซิงยิ้มอย่างภูมิใจเอ่ย “ได้ยินหรือไม่ ตัดมือของเจ้าเพื่อชดใช้ให้พี่สี่แต่โดยดี ไม่แน่พี่สี่อาจจะไว้ชีวิตเจ้า”
เดิมทีหรงจิ่นก็ไม่ใช่คนอดทนมากนัก การที่ต่อปากต่อคำกับคนกลุ่มนี้เกือบทั้งวันยิ่งทำให้อารมณ์ของเขาแย่กว่าเดิมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ขยะเหล่านี้จะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร ทยอยตายไปให้หมดจะไม่ดีกว่าหรือ ไอสังหารแทรกซึมอยู่ในดวงตาของหรงจิ่นอย่างเงียบเชียบ
มู่หรงหลี่ชายชราที่อายุเจ็ดสิบกว่าปีเคยมีประสบการณ์แย่งชิงบัลลังก์มาแล้วหนึ่งครั้ง ครั้งนี้ไม่ต้องให้มู่หรงเฟิงเตือนเขาก็ตระหนักได้ถึงไอสังหารบนตัวของหรงจิ่น พลันอดตกใจไม่ได้ เห็นเพียงหรงจิ่นค่อยๆ เงยหน้าขึ้น จ้องมองหรงซิงด้วยแววตามืดมน “เอาดาบห่วยๆ ของเจ้าออกไป ของเช่นนี้จะเอาไปทำอะไรได้”
หรงซิงแสยะยิ้มเอ่ย “หากเจ้าลองดูก็จะรู้เองว่ามันห่วยหรือไม่” หรงซิงพุ่งดาบไปทางหรงจิ่น แต่เมื่อถึงครึ่งทางปลายดาบกลับพุ่งไปที่พระราชโองการในมือของหรงจิ่น หรงจิ่นเหยียดยิ้ม โยนพระราชโองการไปที่เจี่ยนปินที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาอย่างไม่ใส่ใจแล้วคว้าดาบพุ่งไปที่คนที่มุ่งเป้าหมายมาที่ตัวเอง
หลังจากที่ได้ยินเสียงดาบกระทบกันไม่กี่ครั้ง ดาบยาวในมือของหรงซิงก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ หรงจิ่นสะบัดมือผลักหรงซิงกระเด็นออกไป ครั้งนี้กลับกระแทกเข้ากับเสาที่อยู่ข้างๆ
ฉึก ฉึก ฉึก! เศษดาบเล็กๆ ในมือของหรงจิ่นพุ่งออกไป ตอกหรงซิงไว้ที่เสา เศษดาบหักถูกตอกเข้าบนเสื้อผ้าของหรงซิงติดกับเสา หรงซิงรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าหากขยับอีกเพียงเล็กน้อยเศษดาบเหล่านี้ก็จะโดนตัวของเขา
“ไม่รู้จักประมาณตน” หรงจิ่นเหลือบมองหรงซิงที่ถูกตอกอยู่บนเสาจนหน้าซีดอย่างดูแคลน