หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 510 ตัดสินผู้ครองบัลลังก์เบื้องต้น(3)
สีหน้าทุกคนในห้องโถงไม่สู้ดีนัก พวกเขาคิดไม่ถึงว่าคนไร้ประโยชน์ทำอะไรไม่เป็นอย่างหรงจิ่นจะมีวรยุทธ์สูงส่งเช่นนี้ แม้แต่บรรดาองค์ชายและพระราชนัดดาไม่มีใครกล้าพูดว่าตัวเองก็มีวรยุทธ์เช่นนี้ และคนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้…อายุเพียงสิบเก้าชันษาเท่านั้น
“อะแฮ่ม…” หรงเซวียนที่นั่งอยู่ข้างๆ กระแอมเบาๆ เรียกสติทุกคนกลับมา “น้องเก้า…วรยุทธ์ไม่เลวเลย”
หรงจิ่นเอ่ยเสียงเรียบ “เพียงแค่วรยุทธ์ง่ายๆ เท่านั้น ตอนนี้ยังมีใครมีความเห็นต่างอีกบ้าง ยืนขึ้นให้ข้าดูเสียหน่อย”
ทุกคนล้วนเงียบปาก หรงเหยี่ยนจ้องเขาพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “หรือว่าน้องเก้าคิดจะใช้วรยุทธ์มาข่มขู่พวกเรา หรือว่าน้องเก้าคิดจะฆ่าพวกเราบรรดาพี่น้องทั้งหมด”
หรงจิ่นมองเขาด้วยความตกใจกล่าว “พี่สี่หมายความว่าพวกท่านต่อให้ต้องถูกฆ่าก็จะขัดพระราชโองการของเสด็จพ่ออย่างนั้นหรือ”
ข้าพูดเช่นนั้นตั้งแต่เมื่อไร
หรงซิงที่ถูกตรึงไว้กับเสากำลังเริ่มคืนสติกลับมา กัดฟันเอ่ย “เจ้าอย่าลืมไปว่าคนข้างนอกล้วนเป็นคนของเรา ต่อให้วรยุทธ์เจ้าสูงส่งแล้วจะทำอย่างไรได้”
หรงจิ่นเอียงศีรษะพลางมองเขาด้วยรอยยิ้ม ต้องยอมรับว่าหากองค์ชายเก้าไม่พูดก็จะไม่ดูน่ากลัว รูปร่างหน้าตาของเขาทำให้คนมองรู้สึกพึงพอใจ แต่ในเวลานี้เขานั่งลงบนเก้าอี้นุ่มด้วยท่าทางขึงขัง เสื้อผ้าสีดำราวกับน้ำหมึกและใบหน้าหล่อเหลา ทำให้ดูเหมือนผลงานชิ้นเอกที่วาดโดยนักวาดชื่อดัง
แต่คำพูดที่ออกมาจากปากกลับเป็นคำพูดที่ไม่น่าฟังเสียเท่าไร มองสำรวจคนที่กำลังนั่งอยู่ ริมฝีปากบางๆ ขององค์ชายเก้าพ่นคำพูดใจร้ายออกมาอย่างเย็นชา “พวกคนโง่เขลา! หากพวกเจ้าฆ่าข้าเสียตั้งแต่แรกแล้วทำลายพระราชโองการละก็ แต่ตอนนี้…มันสายเกินไปแล้ว…”
ทุกคนต่างตกตะลึง ในขณะที่กำลังมึนงงอยู่นั้น ที่นอกประตูก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงก้องกังวานดังขึ้นในตอนกลางคืน “ตงฟังซวี่กองทัพอวี่หลินได้รับคำสั่งให้มาคุ้มกันพ่ะย่ะค่ะ!”
ตงฟังซวี่? บุตรชายคนโตขององค์หญิงใหญ่…ปกติไม่เคยมีมิตรภาพกับองค์ชายองค์ไหน นอกจาก…หรงจิ่น! ตงฟังซวี่ถูกฮ่องเต้แคว้นเย่ว์จัดให้อยู่ในกองทัพอวี่หลินเพราะเคยช่วยหรงจิ่นในตอนนั้น!
ยังไม่จบเพียงแค่นั้น ไม่ช้าก็มีน้ำเสียงเรียบนิ่งและไม่คุ้นเคยดังมาจากข้างนอกอีกครั้ง “กู้หลิวอวิ๋นผู้ว่าการเฟิ่งเทียนได้รับคำสั่งให้นำกองทัพรักษาพระองค์เสินเช่อและกองทัพประจำการเมืองหลวงมาคุ้มกันพ่ะย่ะค่ะ”
“อดีตผู้บัญชาการทหารองครักษ์นำบรรดาองครักษ์มาต้อนรับฮ่องเต้องค์ใหม่ด้วยความเคารพพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อเสียงหนึ่งสงบลงอีกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นแทน
หรงจิ่นเชิดคางขึ้นด้วยรอยยิ้มเอ่ย “ที่แท้อดีตทหารองครักษ์ยังอยู่ ข้าคิดว่าตายหมดแล้วเสียอีก” ในกลางดึกกองทัพอวี่หลินบุกเข้ามาในราชวังไม่เห็นทหารองครักษ์แม้แต่คนเดียว คิดว่าตายกันหมดแล้วเสียอีก
“คนเหล่านี้…เป็นคนของเจ้า?” หรงเหยี่ยนสีหน้าซีดเซียว น้ำเสียงของเขาแหบแห้งอ่อนแรง
หรงจิ่นกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ทหารองครักษ์…ไม่น่าจะใช่” หากเขาสามารถควบคุมทหารองครักษ์ได้เขาคงได้ครองบัลลังก์ไปนานแล้ว เหตุใดต้องรอจนถึงตอนนี้เล่า
“เป็นไปไม่ได้ เจ้าสามารถควบคุมกองทัพรักษาพระองค์เสินเช่อกับกองทัพประจำการเมืองหลวงได้อย่างไร” หรงเหยี่ยนไม่เชื่อ เขาไม่เชื่อว่าหรงจิ่นจะมีอิทธิพลมากมายเช่นนี้ในขณะที่มีพวกเขาจำนวนมากจับตาดูอยู่ หรือว่าบรรดาองค์ชายอย่างพวกเขาตาบอดกันหมด
เมื่อเห็นสีหน้าผิดหวังของเขา หรงจิ่นก็ยกยิ้มด้วยความพอใจเอ่ย “ข้าไม่ต้องการสิ่งเหล่านั้น ข้าต้องการเพียงป้ายคำสั่งธนูกับจื่อชิงก็พอแล้ว จื่อชิง เข้ามาก่อนเถิด” เสียงของหรงจิ่นไม่ดังมาก แต่น่าแปลกที่ดังผ่านพระตำหนักใหญ่ตรงออกไปถึงข้างนอก
ไม่นานประตูพระตำหนักด้านนอกก็ถูกผลักออก มีเสียงฝีเท้านุ่มนวลดังมาจากข้างนอก ไม่นานมู่ชิงอีที่สวมชุดสีขาวก็ปรากฏตัวขึ้นที่ประตูพระตำหนักด้านในพร้อมกับมั่วเวิ่นฉิง
หรงเหยี่ยนและคนอื่นๆ จ้องมองไปที่เด็กหนุ่มรูปงามที่อยู่ตรงหน้า เป็นเด็กหนุ่มที่ดูเหมือนอ่อนแอผู้นี้ที่ทำให้พวกเขาทั้งหลายไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ และแผนการทั้งหมดก็พังทลาย เด็กหนุ่มที่ยังไม่ได้สวมกวานผู้นี้สามารถควบคุมกำลังทหารส่วนใหญ่ในเมืองหลวงได้อย่างง่ายดาย! คืนนี้อย่าว่าแต่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์มอบบัลลังก์ให้หรงจิ่นเลย ต่อให้ชื่อในพระราชโองการไม่ใช่หรงจิ่น แล้วพวกเขาจะทำอย่างไรได้
มู่ชิงอีเดินไปหาหรงจิ่น มองหรงจิ่นที่นั่งอยู่ด้วยสีหน้าปกติ แววตาค่อยเผยให้เห็นถึงความโล่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก้มหน้ายิ้ม ยกชายเสื้อขึ้นแล้วกำลังจะคุกเข่า “กระหม่อมกู้หลิวอวิ๋นถวายบังคมฝ่าบาท!”
“จื่อชิง!” หรงจิ่นเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ก่อนที่มู่ชิงอีจะคุกเข่าลงได้ถูกเขาคว้าแขนไว้ให้ยืนขึ้น หรงจิ่นจ้องมู่ชิงอีด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย มู่ชิงอีอมยิ้ม ต่อหน้าคนนอกจะเสียมารยาทไม่ได้
“ใต้เท้ากู้ เจ้าเป็นเพียงผู้ว่าการเฟิ่งเทียน นำทหารเข้าวังกลางดึก คิดจะก่อกบฎหรือ” หรงเหยี่ยนกล่าวพลางจ้องมู่ชิงอีด้วยสายตาน่ากลัว เขารู้ดีว่าหากไม่ยับยั้งหรงจิ่นกับกู้หลิวอวิ๋นในเวลานี้ เช่นนั้นคืนนี้พวกเขาก็นับว่าพ่ายแพ้อย่างราบคาบแล้ว
มู่ชิงอีหันกลับมา มองหรงเหยี่ยนด้วยรอยยิ้มแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “กราบทูลท่านอ๋อง กระหม่อมได้กล่าวไปแล้วว่ามีรับสั่งให้นำกองกำลังทหารมาคุ้มกัน”
หรงเหยี่ยนแสยะยิ้มเอ่ย “นำทหาร? ข้าราชการพลเรือนอย่างเจ้าจะนำทหารได้อย่างไรกัน กองทัพรักษาพระองค์เสินเช่อย่อมมีผู้บัญชาการกองทัพรักษาพระองค์เสินเช่อ กองทัพประจำการเมืองหลวงย่อมมีแม่ทัพกองทัพประจำการเมืองหลวง ไหนเลยจะต้องให้ใต้เท้ากู้มานำทัพ”
มู่ชิงอีเอ่ยเสียงเรียบ “นี่น่ะหรือ ผู้บัญชาการกองทัพรักษาพระองค์เสินเช่อย่อมต้องอยู่ที่ค่ายเพื่อปลอบใจทหาร ส่วนเสิ่นติ้งอู่แม่ทัพกองทัพประจำการเมืองหลวงถูกประหารชีวิตไปแล้วโทษฐานไม่เคารพคำสั่ง”
หรงเหยี่ยนสูดหายใจเข้าลึก “บังอาจยิ่งนัก! ขุนนางพลเรือนระดับสามอย่างเจ้ากลับกล้าตัดคอแม่ทัพระดับสาม!”
หรงจิ่นเลิกคิ้ว มองหรงเหยี่ยนอย่างไม่เห็นด้วย “ตัดคอแล้วจะทำไม”
“เจ้าปล่อยให้ผู้ใต้บังคับบัญชาการตัดศีรษะขุนนางในราชสำนัก เจ้าคิดว่าขุนนางในราชสำนักจะสนับสนุนให้เจ้าขึ้นครองบัลลังก์อย่างนั้นหรือ” หรงซิงกล่าวพลางยิ้มอย่างเย็นชา
หรงจิ่นกล่าวอย่างทะนงตนว่า “แคว้นเย่ว์นี้เป็นของข้า ข้าไม่ต้องการการสนับสนุนจากพวกเขา พวกเขาต้อง…เชื่อฟังเท่านั้น! ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเมื่อเทียบกับภรรยา บุตร ทรัพย์สมบัติและชีวิตแล้ว พวกเขาจะยังดึงดันไปได้อีกสักเท่าไร เจี่ยงปิน ไปประกาศพระราชโองการเถิด”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” เจี่ยงปินถือพระราชโองการด้วยความเคารพ แอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก องครักษ์ชุดดำคุ้มกันเจี่ยงปินออกไปประกาศพระราชโองการด้านนอก ผู้คนที่รออยู่ด้านนอกพระตำหนักหลวงไม่ได้มีเพียงกองทัพอวี่หลินกับทหารองครักษ์ แต่ยังมีบุคคลสำคัญในราชสำนักที่รออยู่นานแล้ว
“ลู่อ๋อง ฉีอ๋อง?” หรงจิ่นเอ่ยเสียงเรียบ
หรงมู่หลี่กับหรงมู่เฟิงมองหน้ากันก่อนจะคุกเข่าลงอย่างว่าง่าย “กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท!”
ไม่นานเสียงเจี่ยงปินที่ประกาศพระราชโองการก็ดังขึ้นจากด้านนอก เมื่อเสียงของเจี่ยงปินเงียบลง ข้างนอกก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะกลับมาครึกครื้นอีกครั้ง “กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท!”
หรงจิ่นชำเลืองมองหรงเหยี่ยนและคนอื่นๆ อย่างอารมณ์ดี “ดูเหมือนว่า…พี่สี่ คนสนิทของท่านก็ไม่ได้ภักดีต่อท่านขนาดนั้น จื่อชิง พวกเราออกไปกันเถอะ”
ไม่ได้สนใจหรงเหยี่ยนที่สีหน้าดูไม่ดีเป็นอย่างมาก มู่ชิงอียิ้มเล็กน้อยเอ่ย “เชิญฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
บรรดาขุนนางกลุ่มใหญ่ที่แต่งกายเครื่องแบบราชสำนักระดับหนึ่งคุกเข่าที่บันไดด้านนอกประตูพระตำหนักชิงเหอ แม้ว่าสีหน้าจะแตกต่างกันแต่ก็เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครมีความสุข หลังจากทำงานหนักมานาน ทุ่มเททั้งชีวิตให้กับมัน แต่สุดท้ายก็เลือกข้างไม่ถูก หากมีความสุขสิจึงจะเป็นเรื่องที่น่าแปลก
ประตูพระตำหนักชิงเหอถูกเปิดกว้างจากด้านใน หรงจิ่นเดินออกมาด้วยท่าทางเศร้าหมองเล็กน้อย เดิมทีเขาจับมือมู่ชิงอีเดินออกมาด้วยกัน แต่น่าเสียดายที่ชิงชิงไม่ยอมเดินออกมาด้วยกันกับเขา ยืนกรานที่จะเดินอยู่ข้างหลังเขาให้ได้ ทำให้องค์ชายเก้าไม่พอใจเล็กน้อย