หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 529 จวนตระกูลกู้ขอยา (3)
หนานกงอี้เอ่ย “ท่านพ่อบอกว่าก่อนที่อดีตฮ่องเต้จะสวรรคตคืนนั้น เว่ยอู๋จี้นำกองทัพรักษาพระองค์เสินเช่อขวางทางท่านพ่อเอาไว้ แต่…เว่ยอู๋จี้ไม่ใช่คนของหรงจิ่น อีกอย่างกู้หลิวอวิ๋นกับเซี่ยซิวจู๋ก็เพิ่งโผล่ไปตอนหลัง แถมสุดท้ายเว่ยอู๋จี้ยังโดนคนของกู้หลิวอวิ๋นสกัดเอาไว้ด้วย เพียงพอจะยืนยันได้แล้วว่าพวกเขาไม่ใช่พวกเดียวกัน ถ้าอย่างนั้น…ตกลงแล้วเว่ยอู๋จี้เป็นคนของใครกันแน่”
หรงเซวียนสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย ควรรู้ว่าเว่ยอู๋จี้เป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งในใต้หล้า ทรัพย์สินในมือมหาศาลเทียบเท่าเจ้าเมืองเมืองหนึ่ง คนที่พอจะใช้งานเว่ยอู๋จี้ได้ย่อมไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปแน่นอน หากไล่ดูจากองค์ชายแต่ละคนในเมืองหลวงก็เหลือเพียงหรงจังแล้ว
“พี่สามเก็บความลับเก่งเสียจริง” ผ่านไปนานหรงเซวียนถึงผ่อนลมหายใจยาว
หนานกงอี้หลุบตาเอ่ย “เก็บความลับเก่งแล้วอย่างไรเล่า สุดท้ายก็ถูกอวี้อ๋องชิงตัดหน้าไปก่อนหนึ่งก้าว”
หรงเซวียนเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ส่ายศีรษะเอ่ย “เอาเถอะ ปล่อยไปพวกเขาแก่งแย่งกันไป ข้าเหนื่อยแล้วจริงๆ” ครั้นยกสองมือที่ผอมแห้งติดกระดูกของตนขึ้นมา หรงเซวียนก็นึกเศร้าใจ ไม่รู้ว่าความพ่ายแพ้จะไปพร้อมร่างกายที่ใกล้หมดอายุขัยนี่เมื่อไร มีอะไรให้น่าช่วงชิงกัน แต่…ต่อให้เขาไม่ได้เป็นฮ่องเต้ เขาก็ไม่ปล่อยให้หรงเหยี่ยนใช้ชีวิตเป็นสุขหรอก!
น้องสี่ หากจะโทษก็โทษที่ตอนแรกเจ้าไม่ได้ฆ่าพี่รองของเจ้าให้ตายเถิด
“ท่านพ่อ” หรงยางเดินเข้ามา ใบหน้าอ่อนเยาว์แต่งแต้มไปด้วยความโกรธที่ข่มเก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่อีกต่อไป หรงเซวียนกลับไม่ได้ตกใจอะไร เลิกคิ้วกล่าว “อาสิบของเจ้าพูดอะไรอีกเล่า”
หรงยางเงียบกริบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ย “เปล่าพ่ะย่ะค่ะ…แต่ไหนแต่ไรมาอาสิบก็ปากไม่มีหูรูดอยู่แล้ว ท่านพ่ออย่าเก็บมาใส่ใจเลย”
หรงเซวียนยิ้มเยาะ ไม่ต้องถามก็พอจะเดาได้ว่าหรงซิงพูดอะไรจึงเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าคิดว่าเขาเอาชนะไม่ได้เลยพาลด่าข้า? เขาจงใจพูดให้เจ้าฟังต่างหาก”
หรงยางผงะไป จ้องมองหรงเซวียนด้วยท่าทีฉงน หรงเซวียนมุ่นคิ้วเอ่ยอย่างปวดเศียรเวียนเกล้าพลางโบกมือกล่าว “เอาเถอะ เจ้าแค่จำไว้แค่ว่าจุดจบของหรงไหวเป็นเช่นไรก็พอ เสียงนกเสียงกาที่คนอื่นพูดกันก็เหมือนกับคนกินยาผิดแล้วพูดจาเหลวไหลข้างนอกเท่านั้น” แก่งแย่งอะไรกันอีก สุขภาพตนก็ไม่ไหว ลูกชายก็ไม่เอาถ่าน คนซื่อบื้ออย่างหรงยางยังไม่พอให้หรงจิ่นกับกู้หลิวอวิ๋นใช้ยัดซอกฟันด้วยซ้ำ
แต่ไหนแต่ไรมาพ่อที่มีอำนาจแข็งแกร่ง ส่วนมากลูกชายมักไม่ได้เรื่อง องค์ชายแคว้นเย่ว์ที่ตกอยู่ภายใต้ความกดดันของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์รุ่นนี้ยังพอทำอะไรได้เรื่องบ้าง แต่กลับเป็นการดิ้นรนเพื่อเติบโตซะมากกว่า ทว่าการสั่งสอนรุ่นหลานกลับยังไม่ได้เรื่อง ดังนั้นรุ่นหลานจึงยังไม่ค่อยเอาถ่านกันเท่าไร เดิมทีนึกว่าฮ่องเต้จะอายุยืนยาว ลูกชายที่อยู่ในอาณัติเก่งกาจเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดีเช่นกัน เวลานี้ฮ่องเต้มาด่วนจากไปกะทันหัน ต่อให้นึกเสียใจก็ไม่ทันแล้ว
หรงยางพลันนึกถึงหรงไหวที่ก่อนหน้านี้ยังเชิดหน้าชูตาในช่วงหนึ่งขึ้นได้ทันที ฉับพลันก็รู้สึกว่ายามมีพ่อคอยคุ้มหัวก็นับว่าเป็นเรื่องดีไม่น้อย หากเทียบกับหรงไหวที่ขึ้นไปมีสถานะสูงส่งแล้วตกลงมาอย่างรวดเร็วแล้ว หรงยางก็รู้สึกว่าการเป็นหลานเฉยๆ ก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่เสียทีเดียว
“ลูกเข้าใจแล้ว ลูกจะไม่เอาคำพูดของอาสิบมาใส่ใจ” ถึงแม้จะอิจฉาที่อาเก้าได้ขึ้นครองราชย์ แต่หรงยางเกลียดคนที่ปากไม่มีหูรูดใส่ความว่าร้ายคนอย่างหรงซิงมากกว่า
หรงเซวียนพยักหน้าเอ่ย “เข้าใจก็ดี” หากไม่มีความสามารถเก่งกาจอะไรก็อยู่เฉยๆ อย่างสงบสุขไปดีกว่า ในฐานะคนในเชื้อพระวงศ์เพียงอยู่อย่างสงบสุขได้ก็นับว่าเป็นบุญแล้ว หรงเซวียนมองหนานกงอี้ก่อนยิ้มอย่างจนใจ “น้องชาย วันหน้าต้องลำบากเจ้าเรื่องยางเอ๋อร์แล้ว”
หนานกงอี้ถอนหายใจพลันเข้าใจความหมายของหรงเซวียนดี หรงเซวียนล้มเลิกความคิดเรื่องชิงบัลลังก์อย่างสิ้นเชิง เช่นนี้ก็ดี นอกเสียแต่หรงเซวียนจะขึ้นครองราชย์ มิเช่นนั้นไม่ว่าตระกูลหนานกงจะเข้าพวกกับใคร สุดท้ายก็ใช่ว่าจะมีจุดจบที่ดีนัก สู้ติดตามฮ่องเต้องค์ใหม่ที่ได้รับสืบทอดตำแหน่งจากองค์เก่าอย่างสงบสุขดีกว่า อย่างน้อย…ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับฮ่องเต้องค์ใหม่ก็นับว่าไม่แย่มิใช่หรือ
“พี่ชายวางใจเถิด”
หรงเซวียนชี้ไปที่หรงยางแล้วถอนหายใจกล่าว “ข้าไม่ได้หวังให้เขาสำเร็จเป็นใหญ่เป็นโตอะไร ขอแค่วันหน้าแบกรับชีวิตคนในจวนจวงอ๋องได้ก็พอ ท่านอา พวกท่านกลับไปก่อนเถิด ข้าอยากอยู่เพียงลำพัง”
หนานกงเจวี๋ยและหนานกงอี้สบตากัน รู้ดีว่าอารมณ์ของหรงเซวียนในเวลานี้คงไม่ค่อยดีนักจึงพยักหน้ารับ หนานกงอี้เอ่ย “ซื่อจื่อ ออกไปเดินเล่นกับพวกเราเถิด จะได้ไปหาอัครมหาเสนาบดีกู้ที่จวนตระกูลกู้ด้วยเลย”
“ขอรับ ท่านอา”
ภายในห้องหนังสือเหลือเพียงหรงเซวียนเพียงลำพัง เขาเหม่อมองภาพวาดแม่น้ำภูเขาที่กว้างใหญ่ไพศาลจากมุมที่ไม่ไกลนักแน่นิ่ง ผ่านไปนานทันใดนั้นก็ยกมือขึ้นเขวี้ยงถ้วยชาในมือไปทางภาพวาด หากเป็นเมื่อก่อนถ้วยชาน่าจะเหวี่ยงโดนภาพวาดอย่างแรง กระทั่งเศษถ้วยที่แตกอาจจะปักลงบนภาพวาดก็เป็นได้ แต่ตอนนี้ถ้วยชากลับลอยออกไปไกลเพียงสองสามจั่งก่อนจะตกลงพื้นแตกเสียงดัง เพล้ง!
หรงเซวียนผงะไปครู่หนึ่ง บนใบหน้าค่อยๆ คลี่ยิ้มเหยเกออกมา เบ้าตาลึกโบ๋เพราะใบหน้าที่ตอบซูบพลันปรากฏหยดน้ำตาใสไหลรินอาบแก้ม
“หรงเหยี่ยน…หรงเหยี่ยน…ข้าจะทำให้เจ้าไม่ตายดี!”
เสียงร้องไห้อย่างหนักหน่วงดังขึ้นในห้องหนังสือ
ภายในสวนดอกไม้จวนตระกูลกู้ พวกเขากำลังนั่งชมดอกไม้อย่างผ่อนคลาย ท่าทีสบายๆ เช่นนี้แทบทำให้ใครต่างคิดไม่ถึงว่าเวลานี้ภายนอกกำลังเกิดเรื่องโกลาหลวุ่นวายอยู่
มู่ชิงอียืนอยู่ริมโต๊ะหินพลางมองผลงานของคุณชายซิ่วถิง ภาพสาวงามสะกดตาค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นจากปลายพู่กัน ท่ามกลางหมู่ดอกไม้สีขาวมีสาวน้อยชุดขาวกำลังเด็ดดอกไม้ด้วยรอยยิ้ม อีกทั้งหน้าตาของสาวน้อยผู้นั้นก็ละม้ายคล้ายมู่ชิงอีหกส่วน ดวงตากลมโตสุกใส งดงามชดช้อย บนใบหน้าของสาวน้อยแต่งแต้มรอยยิ้มเป็นสุข ราวกับช่วยขับให้ภาพวาดดูมีชีวิตขึ้นมาก็มิปาน
“ไม่เจอตั้งนาน ลายเส้นของพี่ใหญ่สวยขึ้นมากทีเดียว” มู่ชิงอีเอ่ยชมเสียงเบา พอมองสาวน้อยในภาพวาด ใบหน้าก็ปรากฏความเศร้าให้เห็น กู้ซิ่วถิงย่อมไม่ได้วาดมู่ชิงอีในเวลานี้แต่เป็นกู้อวิ๋นเกอในอดีต มู่ชิงอีคงไม่มีรอยยิ้มที่งดงามและบริสุทธิ์เช่นนี้ไปได้อีกชั่วชีวิตนี้แล้ว
“ชิงชิงพูดถูก หากวันใดคุณชายซิ่วถิงไม่มีเงินกินข้าว อย่างน้อยก็ยังหารับจ้างวาดรูปได้ รับรองลูกค้าแห่มาตรึมแน่นอน” เสียงหยอกเย้าดังแว่วมาพร้อมเสียงหัวเราะ “หึๆ” ปนความไม่สบอารมณ์ ลูกค้าต้องแห่มาตรึมแน่นอน เพราะต่อให้ภาพวาดของกู้ซิ่วถิงจะไม่ได้เรื่องแต่ลำพังแค่ใบหน้านั้นของเขาพวกผู้หญิงจะไม่แห่เข้ามาขอวาดรูปได้อย่างไร
คุณชายซิ่วถิงกลับไม่โกรธอะไร เงยหน้าอมยิ้มมองใบหน้าเคียดแค้นของหรงจิ่นที่นั่งอยู่บนต้นไม้จากมุมไม่ไกลนัก เลิกคิ้วยิ้มเอ่ย “ได้ยินว่าองค์ชายเก้าก็วาดได้ไม่เลวเหมือนกัน มาลองดูหน่อยเถิด”
หรงจิ่นแค่นเสียงเบาแล้วเมินใส่ราวกับว่าไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น ถึงแม้องค์ชายเก้าจะมั่นใจในฝีมือการวาดภาพสาวงามของตนมาก แต่หากเทียบกับคุณชายซิ่วถิงแล้วกลับห่างชั้นนัก
แน่จริงก็มาสู้เรื่องวิทยายุทธกับข้าสิ บ้าเอ๊ย!นอกจากนี้พอชิงชิงได้ยินว่ากู้ซิ่วถิงจะวาดภาพเหมือนให้นาง คิดไม่ถึงว่านางจะโยนภาพวาดที่ตนวาดอย่างลำบากลำบนให้ทิ้งทันที
ผู้ชายคนหนึ่งสามารถวาดภาพสตรีได้งดงามขนาดนี้ ไม่รู้ว่าเคยวาดภาพสาวงามมาตั้งกี่คนถึงฝึกฝนได้ขนาดนี้!
คุณชายซิ่วถิงหัวเราะร่า “ก็วาดมามากจริงๆ กว่าจะฝึกฝนออกมาได้ขนาดนี้ พูดถึงตอนนั้น…ตอนเพิ่งเริ่มเรียนวาดภาพก็ไม่ได้ดีขนาดนี้หรอก โชคดีที่น้องสาวยอมให้ข้าวาด วาดมาเป็นพันเป็นร้อยครั้ง ย่อมต้องฝีมือดีอยู่แล้ว องค์ชายเก้าเห็นด้วยหรือไม่เล่า”