หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 530 จวนตระกูลกู้ขอยา (4)
พลั่ก!
กิ่งไม้ขนาดสิบนิ้วมือพลันผุดเสียงหักดังขึ้น
“พี่ใหญ่มีพรสวรรค์เหนือใคร หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นผ่านไปชั่วชีวิตนี้ยังไม่รู้เลยว่าจะวาดออกมาได้หรือไม่ พี่ใหญ่มอบภาพนี้ให้กับข้าเถิด ข้าจะเก็บไว้อย่างดีเลย!” มู่ชิงอีเอ่ยชมด้วยรอยยิ้ม เมื่อก่อนพี่ใหญ่วาดภาพเหมือนให้นางไม่น้อย เพียงแต่น่าเสียดายพอตระกูลกู้ถูกฆ่ายกครัว ภาพวาดเหล่านี้ก็ถูกเผาทำลายจนเกลี้ยง บัดนี้มีภาพตัวเองในอดีตไว้ดูบ้างเป็นครั้งคราวก็นับว่าไม่เลวทีเดียว
คุณชายซิ่วถิงยิ้มเอ่ยอย่างรักใคร่ “เจ้าอยากได้เท่าไรพี่จะวาดให้เจ้ามากเท่านั้นเลย”
“ชิงชิง ข้าก็วาดได้เหมือนกัน!” หรงจิ่นกระโดดลงมาจากบนต้นไม้แล้วเอ่ยพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
มู่ชิงอีกลับไม่ใส่ใจ “ท่านวาดสู้พี่ใหญ่ไม่ได้” หากว่ากันตามจริงภาพวาดของหรงจิ่นก็ไม่แย่ แต่ก็แค่ไม่แย่ ทว่าคุณชายซิ่วถิงเห็นได้ชัดว่าวันหน้าต้องเป็นปรมาจารย์แห่งยุคแน่นอน หากอยากให้ภาพวาดของหรงจิ่นมีคุณค่าทัดเทียมของคุณชายซิ่วถิงละก็ มีเพียงวิธีเดียว…ประทับตราหยกฮ่องเต้
ไม่มีทางผูกมิตรกับกู้ซิ่วถิงได้อย่างเป็นสุขจริงๆ! หรงจิ่นลอบสบถอย่างเคียดแค้นในใจ เวลานี้หรงจิ่นคาดหวังเหลือเกินว่ากู้ซิ่วถิงจะไม่ใช่พี่ชายของชิงชิง เพราะตนจะได้ใช้นิ้วโป้งอุดปากฆ่าเขาได้!
“ชิงชิง ข้าฝึกฝนได้ ข้าฉลาดจะตาย”
มู่ชิงอีไม่เข้าใจ มุ่นคิ้วกล่าว “ท่านว่างนักหรือเพคะ ไปตั้งใจทำงานจะดีกว่า เรื่องการวาดภาพต้องดูที่พรสวรรค์ ท่านเองก็วาดได้ดีมากแล้ว”
ครั้นเห็นท่าทีอัดอั้นหมดคำพูดของหรงจิ่น ใบหน้าหล่อเหลาของคุณชายซิ่วถิงก็ระบายยิ้มอ่อนๆ ออกมา “ชิงอี เจ้ามาดูตรงนี้ทีเหมือนตรงนี้จะดูแปลกๆ”
“เจ้าค่ะ ข้าจะไปดู” ครั้นได้ยินพี่ใหญ่พูดเช่นนั้น มู่ชิงอีก็รีบหันไปดูภาพวาดทันที “เอ๊ะ แปลกจริงๆ ด้วย พี่ใหญ่ว่า…ถ้าแบบนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
กู้ ซิ่ว ถิง! ข้ากับเจ้าต้องตายกันไปข้าง!
กู้ซิ่วถิงก้มหน้ามองน้องสาวที่กำลังมองภาพวาดด้วยท่าทีจริงจังก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นยกยิ้มอย่างมีความสุขส่งให้หรงจิ่น
นี่มันยั่วโมโหกันชัดๆ! หรงจิ่นกัดฟันกรอด แต่เขาต้องยอมรับอย่างเศร้าใจว่าเขาทำอะไรกู้ซิ่วถิงไม่ได้ หากเป็นเว่ยอู๋จี้เขาคงพุ่งเข้าไปซัดจนอาการปางตายแล้ว แต่หากซัดหมัดใส่กู้ซิ่วถิงเพียงแค่หนึ่งทีก็คงปลิดชีวิตนั้นได้แล้ว หากเป็นคนอื่นตนคงวางแผนจัดการจนไม่กล้ามาแย่งนางไปจากตนอีก แต่กู้ซิ่วถิง...ไม่ได้ฉลาดน้อยไปกว่าตนเลย!
หรงจิ่นค้นพบเรื่องที่น่าเศร้าใจว่า นอกจากยกเรื่องบ้านเมืองมาเป็นข้ออ้าง เขาก็จนปัญญาจะยื้อแย่งนางจากกู้ซิ่วถิงได้ แต่…เขาไม่อยากหารือเรื่องงานราชการกับชิงชิงเลย!
“รายงานคุณชาย ใต้เท้าหนานกงกับจวงอ๋องซื่อจื่อมาหาขอรับ” ผู้ดูแลที่อยู่ตรงประตูสวนดอกไม้กล่าวรายงานด้วยท่าทีนอบน้อม ครั้นเห็นหรงจิ่นที่ยืนอยู่อีกฝั่งกำลังโกรธแค้นในใจก็รีบงุดศีรษะลงทันที ราวกับเขาไม่เห็นฝ่าบาทที่ควรยุ่งเรื่องงานราชการในวังปรากฏตัวอยู่ในจวนอัครมหาเสนาบดี!
มู่ชิงอีเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ “หนานกงอี้ เขามาทำอะไรในเวลานี้กัน” หนานกงอี้มายังพอว่า แต่พาจวงอ๋องซื่อจื่อมาด้วยกลับดูแปลกพิกลไม่น้อย นับตั้งแต่หรงจิ่นมีราชโองการแต่งตั้งนางขึ้นเป็นอัครมหาเสนาบดี หลายวันมานี้จวนตระกูลกู้ก็ครึกครื้นไม่น้อย มู่ชิงอีนึกรำคาญใจเลยปิดประตูไม่รับแขกใดอีก ประจวบกับจะได้อยู่สนทนาเป็นเพื่อนพี่ใหญ่ด้วย
หรงจิ่นที่กำลังหงุดหงิดใจก็เอ่ยเสียงหัวเสียว่า “ใครสนใจเขากัน แค่มาถามข่าวคราวเท่านั้นกระมัง ตระกูลหนานกงไม่มีใครดีสักคน ชิงชิงอย่าไปสนใจเขาเลย” หรงจิ่นยังคับแค้นใจเรื่องที่ก่อนหน้านี้หนานกงอี้เคยวางแผนคิดจับคู่ชิงชิงกับหนานกงหย่าไม่หาย ถึงแม้ตอนหลังหนานกงหย่าจะรู้ความไม่พูดเรื่องที่ไม่ควรพูดกับใครแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นเหตุผลที่หรงจิ่นจะชอบคนในตระกูลหนานกง
กู้ซิ่วถิงขยับปลายพู่กันขีดเขียนบนภาพวาด เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ไปเจอเถิด เวลานี้จะถามข่าวคราวอะไรได้ ต้องมีเรื่องมาขอร้องแน่นอน”
ครั้นได้ยินเขาพูดเช่นนั้น หรงจิ่นก็เริ่มคัดค้าน “เช่นนั้นก็ยิ่งห้ามเจอเข้าไปใหญ่ ใครจะรู้ว่าพวกเขาจะขอร้องให้ชิงชิงช่วยทำอะไร ชิงชิงขี้ใจอ่อนขนาดนี้ พอถึงเวลานั้นทำใจปฏิเสธไม่ได้จะทำเช่นไร”
ใจอ่อน?คุณชายซิ่วถิงเลิกคิ้วอมยิ้มมองมู่ชิงอี เขาหมายถึงเจ้าหรือ
อวิ๋นเกอในวันวานอาจจะขี้ใจอ่อน แต่มู่ชิงอีในเวลานี้…ขี้ใจอ่อน? หรงจิ่นมองจากมุมไหนกัน
เขาปัญญาอ่อน ไม่ต้องไปสนใจเขา มู่ชิงอีคลี่ยิ้มอย่างระอาใจ
คุณชายซิ่วถิงขบคิดในใจ บางทีอาจใจอ่อนให้หรงจิ่นง่ายไปจริงๆ
“เชิญใต้เท้าหนานกงเข้ามาเถิด” มู่ชิงอีกำชับบอก
เรื่องที่กู้หลิวอวิ๋นเป็นลูกหลานของตระกูลกู้คนทั่วทั้งเมืองหลวงแคว้นเย่ว์ต่างรู้กันหมด เวลานี้ต่อให้กู้ซิ่วถิงมาปรากฏตัวในจวนตระกูลกู้คงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร
“ขอรับคุณชาย”
หรงจิ่นแค่นเสียงเบาอย่างไม่สบอารมณ์ จับจ้องกู้ซิ่วถิงตาเขม็งแวบหนึ่งก่อนหมุนตัวเดินหายเข้าไปในสวนดอกไม้ ปล่อยให้หนานกงอี้เห็นกู้ซิ่วถิงไปไม่เป็นไร แต่ตอนนี้จะให้คนอื่นเห็นไม่ได้ว่าฮ่องเต้ที่ยังไม่ได้สถาปนาขึ้นครองราชย์ไม่ทำการทำงานแต่วิ่งแจ้นมาถึงจวนอัครมหาเสนาบดีที่เพิ่งได้รับตำแหน่ง
“อัครมหาเสนาบดีกู้ ยินดีด้วย” พอเข้าสวนดอกไม้มา หนานกงอี้ก็มองบุรุษชุดขาวที่ยืนก้มหน้าก้มตาวาดภาพอยู่ริมโต๊ะแวบหนึ่ง จากนั้นก็หันไปประสานมือทำความเคารพมู่ชิงอีด้วยรอยยิ้มด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง
มู่ชิงอีอมยิ้มเอ่ย “ใต้เท้าหนานกงเกรงใจกันแล้ว กู้หลิวอวิ๋นขอคารวะจวงอ๋องซื่อจื่อ”
หรงยางกวาดตามองหนุ่มน้อยชุดขาวตรงหน้าด้วยท่าทีประหลาดใจ ก่อนหน้านี้เคยเห็นเขาจากมุมไกลๆ ตามงานเลี้ยงอยู่ไม่กี่ครั้ง เพียงแต่รู้สึกว่าหนุ่มน้อยหน้าตาหล่อเหลางดงาม แต่พอมองใกล้ๆ ถึงสังเกตเห็นว่าถึงแม้หน้าตาของหนุ่มน้อยจะหล่อเหลาสะกดตาคน แต่หว่างคิ้วกลับแฝงความน่าเกรงขามดูสูงส่งมิอาจเอื้อม ถึงแม้ใบหน้าจะแต่งแต้มรอยยิ้มที่แสนสง่างามและอ่อนโยน แต่พอยืนตรงหน้ากลับชวนให้อยากก้มศีรษะให้อย่างยำเกรง แถมแผ่กลิ่นอายที่ดูแคลนไม่ได้เลย
“อัครมหาเสนาบดีกู้อย่าพิธีรีตองนักเลย” หรงยางเอ่ยเสียงขรึม
หรงยางนึกแปลกใจในตัวมู่ชิงอี ส่วนมู่ชิงอีก็แปลกใจในตัวหรงยางเช่นกัน นางเคยเจอคนรุ่นหลานของเชื้อพระวงศ์แคว้นเย่ว์อยู่ไม่กี่คน มู่ชิงอีล้วนรู้สึกผิดหวังทั้งสิ้น อย่าพูดถึงเรื่องความแข็งแกร่งที่ทัดเทียมเสด็จปู่ของพวกเขาเลย แม้แต่รุ่นพ่อของพวกเขายังห่างชั้นหลายขุม จวงอ๋องซื่อจื่อ…ดูๆ แล้วท่าทีสุขุมเยือกเย็นไม่น้อย หว่างคิ้วปรากฏบุคลิกของนักสู้ให้เห็น ดูแล้วเจริญตากว่าองค์ชายคนอื่นๆ มากนัก คิดว่าคงได้ท่าทางนี้จากตระกูลหนานกงกระมัง
“ซื่อจื่อ ใต้เท้าหนานกง เชิญนั่งเถิด” มู่ชิงอีเอ่ยยิ้มเริงร่า พลางสั่งให้บ่าวรับใช้ในสวนดอกไม้ยกชามาให้
หนานกงอี้มองไปข้างๆ อย่างประหลาดใจกล่าว “คุณชายผู้นี้…หน้าคุ้นๆ”
มู่ชิงอีเองก็ไม่ได้ปิดบัง ยิ้มกล่าว “นี่คือท่านพี่ของข้า กู้ซิ่วถิง” หลายวันนี้ท่านอ๋องทุกคนถูกขังอยู่ในวัง ดังนั้นข่าวสารจึงล่าช้าลงไปบ้าง ถึงแม้นางไม่พูด อีกสองวันข่าวที่พี่ใหญ่มาถึงเมืองหลวงก็ต้องแพร่งพรายจนคนอื่นรู้ ปิดบังไปก็ไม่มีความหมาย
“ที่แท้ก็คุณชายซิ่วถิง เป็นเกียรตินัก” หนานกงอี้รีบเอ่ยขึ้น ความจริงชื่อเสียงของกู้ซิ่วถิงในแคว้นเย่ว์ไม่ได้โด่งดังนัก ในเมื่อเขายังอ่อนเยาว์ หากไม่มีเรื่องเคราะห์ร้ายครั้งใหญ่ของตระกูลกู้เมื่อหลายปีก่อน เวลานี้กู้ซิ่วถิงคงชื่อเสียงโด่งดังไปไกลแล้ว แต่ตระกูลหนานกงเป็นตระกูลทรงอำนาจในแคว้นเย่ว์มานาน ฉะนั้นย่อมรู้จักตระกูลชื่อดังของแคว้นหวาเป็นอย่างดี กู้ซิ่วถิงโด่งดังตั้งแต่เยาว์วัย หากจะกล่าวว่าเป็นเกียรตินักก็ไม่เกินไปเลย